วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568

นาทีชีวิต

 ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและสูญหาย




เหตุไฟไหม้โรงงาน สร้างความสูญเสียมากมายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ในฐานะคนที่คร่ำหวอดในแวดวงความปลอดภัย จึงอยากจะฝากไว้เป็นข้อคิด สำหรับคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร ผู้จัดการ หัวหน้างาน และคนทำงาน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้ออกและบังคับใช้กฏหมาย ไล่เป็นข้อๆ ตามแบบจำลองการเกิดความสูญเสียของ Frank E. Bird

ความสูญเสีย (Loss)

ความสูญเสียจากเหตุเพลิงไหม้คราวนี้ มากมายมหาศาล แม้จะเทียบไม่ได้กับเหตุการณ์โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ ครั้งนี้มีผู้คนสูญหายและเสียชีวิตมากมาย คำถามตัวใหญ่ๆ ก็คือ 
  • เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น ทำไมจึงเกิดการลุกลามอย่างรวดเร็ว แทนที่จะมีการระงับเหตุได้ตั้งแต่เพลิงยังมีขนาดเล็กๆ (Incipient Stage) 
  • มีผู้พบเห็นเหตุการณ์ในขณะที่ไฟเริ่มไหม้หรือเปล่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาทำงาน กลางวันแสกๆ ไม่มีผู้พบเห็นไฟหรือควันเลยหรือ
  • หากมีผู้พบเห็น เขาได้แจ้งเหตุเพลิงไหม้อย่างไร บางโรงงาน แม้จะมีขนาดพื้นที่ต่อชั้นมากกว่า 300 ตรม. และมีมากกว่าสองชั้น ก็ไม่มีระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้อัตโนมัติ มีเพียงเครื่องส่งสัญญานแบบมือหมุน หรือว่า
  • มีระบบแจ้งเหตุ แล้วมันอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ 
  • หรือระบบแจ้งเหตุทำงานแต่ไม่มีใครเข้าระงับเหตุในช่วงแรก 
  • หรือระบบดับเพลิงใช้การไม่ได้ ไฟจึงลุกลาม 
  • แล้วเหตุใดจึงไม่มีการอพยพออกจากอาคาร จนทำให้มีผู้สูญหายและเสียชีวิต 
  • หรือมีการอพยพ แต่ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นไปตามแผนอพยพ 
  • การเข้าระงับเหตุของหน่วยกู้ภัย มีการแจ้งเหตุและประสานงานอย่างไร เหตุใดจึงมาถึงที่เกิดเหตุในขณะที่ไฟโหมจนเข้าไม่ได้ เพราะโครงสร้างอาคารอาจจะทรุดตัว

ก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุ

  • เกิดอะไรขึ้นจนทำให้เกิดการลุกไหม้และไฟลามอย่างรวดเร็ว 
  • มีงานเชื่อม งานเจียร งานตัดหรืองานที่มีความร้อนหรือไม่
  • มีการลัดวงจรไฟฟ้าหรือไม่
  • มีการสูบบุหรี่ในพื้นที่ซึ่งมีวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงหรือไม่ 
คำถามเหล่านี้ จะนำไปสู่การค้นหาความจริงว่า มาตรการความปลอดภัยที่มีอยู่ มีประสิทธิภาพเพียงใด ได้มาตรฐานหรือไม่ หรือได้รับการปฎิบัติตามมาตรการและมาตรฐานเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดแค่ไหน

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ภาวะไร้อารมย์

 

ชื่อเจ้าของโมเดลนี้เรียกยากหน่อย แต่เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก มันคือแบบจำลองการไหล (ไม่รู้อะไรไหล)

 Csikszentmihalyi's flow model.

โมเดลของลุงฉะซิกฉะเซ็นท์มิหันละยี้  ไงล่่ะมึง แค่ชื่อกูก็เครียดแล้ว แกบอกว่า ไอ้หลานเอ้ย อะไรที่มันทำยากๆ แล้วเราก็ดันไม่เคยซะด้วยเนี่ยมันเครียดนะเว้ยเฮ้ย (High Challenge Level-Low-Skill Level) 

ยังไงลุง แกหันมาสบตา ลังเลจะบอกดีไม่บอกดี บอกมาเถอะ ผมไม่เอาไปเล่าต่อ 

ก็มีอยู่ครานึง รุ่นพี่พาไปเปิดจุกแถวๆประตูน้ำ ลุงเนี่ยให้ตายเถอะ ไม่เคยเลยเรื่องแบบนี้ อย่างมากก็แค่ช่วยตัวเองในที่ลับตา

มันเป็นความยากขีดสุดสำหรับเด็กหนุ่มบ้านนา ที่ไม่ประสีประสาอะไรเรื่องแบบนั้น พอถูกดันเข้าไปในห้องกับผู้หญิงอ้วนๆลงพุง ที่ไม่นุ่งอะไรเลย มันโคตรเครียด (Anxiety) 

ตรงกันข้ามกับสาวใหญ่ที่นอนเปลือยกายรออยู่ เธอดูไร้อารมย์ (Apathy) โดยสิ้นเชิง ก็เพราะว่างานของเธอมันไม่ได้มีความยากและท้าทายสำหรับเธอแล้วแทบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรในการทำให้หนุ่มน้อยคนนี้แตกซ่าน

แต่ในสถานการณ์ที่ทำให้ Flow มันอธิบายได้ว่า ความท้าทายกับทักษะที่ต้องใช้มันทำให้เร้าร้อน เอ็งก็มันข้าก็มัน 

ลุงแกว่า ทำตาเคลิ้มถึงอดีต การเสียตัวครั้งที่สิบห้ากับสาวหน้าใสพูดไทยไม่ชัดครั้งนั้นมันทำให้แก Flow 

อธิบายแบบนี้ เข้าใจทฤษฏีของลุงรึยัง 

ทฤษฏีนี้ใช้ทำอะไร คำตอบคือ การใช้คนให้เหมาะกับความยากง่าย และหรือเข้าใจมากขึ้นว่าอะไรทำให้คนบางคนเครียดจนขี้แตก เมื่อเจองานหินที่ตัวเองไม่มีทักษะ ในขณะที่พวกมือโปรเจองานกระจอกก็นั่งกัดเล็บด้วยความเบื่อหน่าย (Boredom)

ความกดดันทางจิตใจ (Psychological Hazards)

 


ความเครียดและกดดันทางใจก่อให้เกิดผลกระทบมากมายเกินกว่าที่คุณและผมจะเข้าใจ มันไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มันเป็นภัยคุกคามในสภาพแวดล้อมการทำงานที่สำคัญมากๆเลยทีเดียว

ตอนเรียนหนังสือที่โรงเรียนก็ถูกพวกลูกคนรวย อย่างพวกลูกๆเถ้าแก่ในตลาดรังควาน ถูกพวกลูกตำรวจ ลูกครูรังแก ก็เก็บกดไปพอประมาณ

พอเรียนจบเข้าทำงาน ก็ไปเจอหัวหน้า เพื่อนร่วมงานที่เขาจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน รวมหัวกันกดดันกลั่นแกล้ง 

เขาไม่ยอมส่งมอบงานให้ ในขณะที่เราก็เป็นคนใหม่ เข้าไปในตำแหน่งผู้จัดการแผนก งานเซฟตี้ก็มีคนสูงอายุสองคนทำอยู่ก่อนเรา คนหนึ่งเป็นทหารเรือเก่า ใครๆก็กลัวแกเพราะแกดุ พอถึงวันที่นายใหญ่จะเข้าโรงงาน แกจะเตรียมธงเขียวไปยืนรอที่ประตูทางเข้า ซึ่งเป็นประตูโรงงานโอเลฟิน พอรถมาถึงแกจะโบกธงผึงแล้ววิ่งชูธงนำหน้ารถเหยาะจนรถเข้าโรงไฟฟ้าของเรา ทำแบบนี้เพราะนายเขาไม่ชอบลงไปติดต่อที่ป้อม รปภ.ข้างหน้า และแกก็ไม่เคยติดบัตรพนักงาน 

วันหนึ่งมีผู้บริหารแก่ๆมาเยี่ยม บรรดาผู้จัดการเข้ากันหมด ในห้องพวกเขาดูครื้นเครงระหว่างพวกเขา แล้วผู้บริหารท่านก็ถามขึ้นมาว่า กรดซัลฟุริคสองพันกว่ากิโลรั่ว ปั๊มเอย ท่อเอย วาวล์เอยจมใต้กรด ไม่มีใครเห็น มันเป็นเพราะอะไร 

หนึ่งในนั้นตอบเสียงดังทีเล่นทีจริงว่า เขื่อนมันสูง เราเดินผ่านแล้วมองไม่เห็น นี่ผมว่าจะเสนอให้ทุบเขื่อนให้เหลือสักห้าสิบเซ็นต์ แล้วเขาก็คุยครื้นเครง จนผู้บริหารท่านนั้นหันมาเห็นผมเข้า พยักหน้าถาม เซฟตี้เมเนเจอร์คนใหม่รึ คุณเห็นอย่างไร

ผมขออนุญาตพูดแล้วก้าวฉับๆไปที่เครื่องฉายแ่นใส วาง Loss Causation Model ของ Frank E.Bird แล้วอธิบาย ผมเสนอว่า สิ่งที่เราควรต้องมีและทำมีหลายอย่าง ได้แก่ มาตรการในการตรวจสอบระบบท่อ Joint Flanges Valves เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการผุกร่อนและรั่วไหลขึ้น แถมเสนอมาตรการป้องกันการหกล้น ระหว่างการเติมกรดจากรถบรรทุกสารเคมี แล้วเสริมว่า Secondary Containment ที่มีนั้นดีอยู่แล้วไม่ควรทุบให้เตี้ยลง 

แล้วก็มีเสียงสอดขึ้นว่า ทำไมไม่เสนอให้สร้างเขื่อนรอบโรงไฟฟ้าเลยล่ะครับ เวลาอะไรรั่วจะได้ไม่ออกไปข้างนอก แล้วพวกเขาก็ฮาครืน ราวกับผมเป็นโหน่ง เท่งมาเล่นตลกให้ดู 

ครั้งนั้นบอกได้เลยว่าเครียดจนเจ็บจี๊ดในอก 

คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เจอ พวกเซฟตี้ตัวเล็กตัวน้อยในบริษัทใหญ่บริษัทเล็ก และคนที่ทำงานอื่นๆในที่ต่างๆ ก็ล้วนมีเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียดความกดดันกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะมีน้ำอดน้ำทนแค่ไหน 

ในทางวิชาการ เราต้องทำหลายอย่างเพื่อจัดการอันตรายประเภท Psychological Hazards อย่างระมัดระวัง

ขั้นแรก ทำความเข้าใจปัจจัยที่นำมันมา มีอะไรบ้าง อย่างกรณีผม ความไม่ให้เกียรติ และการแสดงออกในลักษณะเหยียดหยามรังแกด้วยความเป็นคนเก่า มีมากกว่า มันกดดัน

บางแห่ง หัวหน้างานเอาเปรียบลูกน้อง อย่างกรณีหัวหน้างานที่ดูแลจัดตารางการเดินรถ ที่จะจัดทริปให้เฉพาะลูกน้องในคอก เพราะใครได้ทริปมากก็มีรายได้มาก ใครไม่เข้าคอกก็ไม่ค่อยได้ทริป แบบนี้ ประยูร เคนเล่าให้ผมฟังพร้อมๆกับน้ำตาคลอเบ้า ความเอาเปรียบและแบ่งพรรคแบ่งพวก 

บางทีหัวหน้าหรือผู้จัดการเอาแต่ใจ ใช้อารมย์ก่นด่าหยาบคาย ไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าจะเอาอะไร ลูกน้องถามก็ด่าว่าโง่ พอเขาขอคำอธิบายก็หาว่าเถียง 

คนงานหัวร้อน ใช้ความรุนแรงกับเพื่อนร่วมงานก็มีให้เห็นมากมาย 

ผู้บริหารที่ไม่ใช่ Leader ก็จะไม่เข้าใจ เพราะพวกเขาเป็นแค่ Manager เรื่องละเอียดแบบนี้เขาไม่เข้าใจหรอก 

มันต้องเริ่มที่หัว หางจึงกระดิก 

เรื่องแบบนี้เวลาป่วย มันออกอาการทางกาย นอนไม่หลับ เครียด บางคนเลยเถิดเป็นโรคซึมเศร้า ทำอะไรที่เราไม่คาดคิดก็มีมากมาย 

บริษัทไหนที่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยและ Well-Being จริงๆ ไม่ใช่แค่ถุยๆตามที่นายฝรั่งเมืองนอกเขาสั่งมา ก็พอจะได้เป็นบุญเป็นกุศลให้คนที่ด้อยกว่า แต่ถ้าแค่ถุยๆ ก็คงจะได้แค่โปสเตอร์สวยๆส่งมาจากเมืองนอก แปลแล้วส่งให้บรรดานายๆเอาปากกาเมจิมาเซ็นรับทราบนโยบาย จบ แบบเครียดๆ ในความฮามันก็มาพร้อมกับความเครียด 

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

คุยกับอังเคิ้ล

 ใครๆก็มีลุงกันทั้งนั้น คนไทยก็อยู่กับลุงมาตั้งหกปี บางคนก็ได้ลุงส่งเสียจนเรียนจบ แต่บางคนคุยกับลุงแค่ 17 นาที คนทั้งประเทศลุกฮือเรียกร้องให้ลาออก 


ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพสดี 

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568

การป้องกันการพังทลายของดินในงานขุด (Cave-In Prevention)


ดินถล่มทับคนงาน ไม่ใช่ว่าในต่างประเทศเขาไม่เคยเกิด แต่พอเกิดขึ้นแล้ว เขาหาทางแก้ไขและป้องกัน

ทางหนึ่งก็ด้วยการออกและบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวด ประโยคเมื่อกี้ มีสองคำ คือ ออกกฏหมาย และบังคับใช้อย่างเข้มงวด 

ประเทศนี้ล่ะ ออกกฏหมายมั้ย 

อย่างน้อยๆ มีกฏกระทรวงสองสามฉบับที่พูดถึงเรื่องนี้ ได้แก่

กฏกระทรวงว่าด้วยเรื่องที่อับอากาศ ที่พูดถึง บ่อ หลุม ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่อับอากาศ และพูดถึง สภาพอันตรายที่ลูกจ้างอาจจะถูกวัสดุถล่มทับจนจมลงไป นายจ้างบางราย (ที่มีจิตสำนึกก็จะตีความร่องลึก บ่อ หลุม เป็นที่อับอากาศ แล้วกำหนดให้ต้องมีการขออนุญาตกัน) ส่วนนายจ้างที่ไม่มี ก็จะไม่ตีความเอาแบบนั้นเพราะมันยุ่งยากและสิ้นเปลือง

อีกฉบับ ก็เป็นกฏกระทรวงเกี่ยวกับงานก่อสร้าง ที่พูดถึงเรื่องงานเจาะ งานขุด ไว้ในหมวดที่ 2 เนื้อหาในหมวดนี้เขียนไว้หยาบๆ ไล่ไปตั้งแต่ว่า ต้องมีการเคลื่อนย้ายสาธารณูปโภคในละแวกที่จะขุดออกไปก่อนเพื่อกันอันตราย แต่ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องมีมาตรการป้องกัน 

พูดถึงราวกันตก ป้ายเตือนอันตรายและสัญญานแสงสีส้มเห็นได้เวลากลางคืน ถ้ารูหลุมนั้นลูกจ้างอาจจะพลัดตกได้ก็ให้หาอะไรมาปิดเสีย ให้แข็งแรงพอและทำราวกั้น ข้อนี้เป็นมาตรฐานปลายเปิด ตามอัธยาศัยและจิตศรัทธาของผู้ปฏิบัติ เคยมีคนเดินเหยียบแผ่นไม้อัดที่ปิดรูลึกกว่า 5 เมตร หล่นลงไปตายระหว่างวิ่งข้ามถนนลัดเข้าไปในเกาะกลางที่บริษัทโทรคมนาคมทำค้างไว้ แต่เขาไม่ใช่ลูกจ้าง กฏกระทรวงข้อนี้เลยเอาไปใช้ไม่ถนัดนัก 

ข้อ 25 และ 26 เนื้อหาค่อยใกล้เคียงมาตรฐานที่ชาติอื่นเขาทำกัน เช่น ต้องจัดให้มีปลอกเหล็ก แผ่นเหล็ก ค้ำยัน หรืออุปกรณ์อื่น กันดินทลาย และต้องให้วิศวกรตรวจสอบ ไอ้ที่จะได้เห็น การ Shoring, Shielding มาตรฐานเรื่องการกองขี้ดิน การตรวจเนื้อดินและออกแบบการขุด ไม่มี บอกแล้วว่ามันเป็นกฏหมายหยาบๆ 

ข้อ 28 พูดเรื่องขั้นตอนการลงไปในรูในหลุมที่ลึกเกินกว่า 2 เมตร คล้ายๆเข้าที่อับอากาศ แต่หยาบๆ เน้นให้ผู้ควบคุมงานต้องมีความรู้เรื่องงานดิน และช่วยชีวิต เป่าปากกดหัวใจเป็น เน้นเก็บกู้ซะมากกว่า บอกแล้วว่ากฏหมายหยาบๆ 

ข้อ 29 ห้ามลูกจ้างลงหลุมที่กว้างไม่เกิน 75 ซม. ลึกเกินสองเมตร ก็ประมาณความกว้างบุ้งกี๋รถแบคโฮ งานถนัดของการเดินท่อเลย ห้ามได้ไง กฏหมายหยาบๆ 

งานขุด Trenching, Excavation ในมาตรฐานประเทศที่เขาเจริญแล้ว ละเอียดกว่านี้มาก เขาพูดถึง

ให้มีผู้ชำนาญการ (Competent Person) ที่รู้เรื่องประเภทของดิน A,B,C,และรู้วิธิป้องกันดินถล่มด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น Sloping, Benching, Shoring กันการถล่ม หรือที่เรียกว่า Cave-In ผมเอามาแปะไว้ เผื่อมีใครจะสนใจอ่าน แต่ไม่อยากอ่านก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน เอาเป็นว่า ดินขนาดแค่ลูกบาศก์เมตร น้ำหนักก็พอๆกับรถปิกอัพคันหนึ่ง ถ้าถล่มทับใครเข้า ขุดกันนานเลย เซฟตี้เมืองไทย วัฒนธรรมความปลอดภัยแบบไทยๆ บอกตรงๆ หยาบมาก 






 

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ไม่ต้องหามไกล

 ไฟ 22 KV ดูดลูกจ้าง


เหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2568 นาย จ ชื่อจริงเขาปกปิดไว้ อาจจะชื่อ จ่องเมี๊ยะ นายจ่วงเมย หรืออาจจะชื่อนายจำรัส จำรูญ  เป็นคนเมียนมา อายุ 29 ปี เป็นลูกน้องนาย ข ชื่อจริงไม่ทราบ รู้แต่ว่าเป็นคนเมียนมาเหมือนกัน ทั้งคู่เป็นลูกจ้างบริษัทชื่อ A อาจจะย่อมาจาก Abdominal Construction หรือ เอไอเอฟ ไฟเบอร์ อะไรสักอย่าง เขาไม่บอกก็อย่าไปรู้มันเลย มันคงเป็นความลับกระมัง 
บริษัท A ได้รับว่าจ้างจากบริษัท B อาจจะเป็น บิ๊กบราเธอร์ คอนสตรัคชั่น เขาปกปิดเอาไว้ก็อย่าไปใส่ใจมันเลย 

นายจ่องเมี๊ยะ พนักงานตำแหน่งปีนเสา อันนี้ก็เป็นตำแหน่งเดียวกันกับผมสมัยเป็นเด็กเครื่องไฟ ปีนไปติดดอกลำโพงมั่ง ติดไฟมั่ง นายจ่องเมี๊ยะ ได้รับคำสั่งจากนาย ขอ ชื่อจริงไม่รู้ ผมจะเรียกว่านายขะหมิบละกัน จะได้ไม่หงุดหงิด นายขะหมิบเขาเป็นหัวหน้าว่างั้น สั่งให้จ่องเมี๊ยะขึ้นไปเพื่อตรวจสอบสัญญานโทรคมนาคมที่อุปรกรณ์ ที่ห้อยอยู่แถวๆสายแรงต่ำนั่น ที่เห็นเป็นพวงระย้า เขาใช้เหล็กฉาก ยาว 1 เมตร ที่ปลายติดอุปกรณ์ตรวจวัดความแรงของระบบโทรคมนาคม เป็นเข็มทิศ บริเวณที่นายจ่องเมี๊ยะขึ้นไปตามรูปมันเป็นหลังคากันสาดของร้านสะดวกก็ซื้อ ไม่สะดวกก็ไม่ซื้อ ใกล้ๆกันเป็นหม้อแปลง และเหนือขึ้นไปไม่ห่างนัก เป็นสายไฟ 22 KV 

นายจ่องเมี๊ยะคงถึงคราวเคราะห์ เพราะอ่านดูปรากฏว่า ทั้งบริษัท เอและบี ล้วนแต่มีระบบการบริหารจัดการความปลอดภัยแบบหาที่ตำหนิไม่เจอ ระหว่างกำลังยักแย่ยักยันจ่อเหล็กฉากติดเข็มทิศขึ้นไป มันก็ดันไปโดนสายไฟแรงสูง เสียงดังเปรี๊ยะ จ่องเมี๊ยะกระตุกไม่กี่ที ไฟแลบแปรบปร๊าบ เสียชีวิตบนหลังคา ปากประตูทางเข้าวัด สร้างความตกใจสุดขีดให้แก่นายขะหมิบหัวหน้างานที่ยืนคุมงานอยู่เบื้องล่าง 

เอาล่ะ มาวิเคาะห์กันว่า ในแง่กฏหมายความปลอดภัย ใครผิด ใครถูก ดีนะ ใกล้วัด ไม่ต้องหามไปไกล 


วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

មិនអាចសើចបានទេ

 មិនអាចសើចបានទេ ភាសា

จะตีกันทำไม

ในขณะที่เศรษฐกิจไทยก็แสนจะทุเรศทุรัง การเมืองก็วุ่นวาย ทั้งฮั๊ว สอวอ ทั้งหลวงพ่อหลงเสียงนาง ตึกถล่มยังจับมือใครดมไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว ชั้นสิบสี่ก็จ่อๆจะฟ้อง รอสอทอชอก็ตีกันหัวร้างข้างแตก ไหนจะตึกประกันสังคมราคาเกือบหมื่นล้าน แล้วก็มาเรื่องไทยเขมรตีกัน เอาเข้าไป

ไปตลาดก็เจอพ่อค้าแม่ค้าทาแป้งทะนาคา ไปโลตัส ก็เจอแม่ค้าพูดไม่ค่อยชัด เติมน้ำมันก็เจอเด็กปั๊มเขมรมั่ง พม่ามั่ง ในโรงงาน ในไซท์ก่อสร้าง เราก็พึ่งพาแรงงานจากประเทศข้างเคียง คนไทยไม่ค่อยทำกันแล้วกระมัง เดี๋ยวนี้เวลาไปสอนหลักสูตร จป.บริหารภาคภาษาอังกฤษก็จะเจอคนจีนมานั่งเรียนกันเป็นกลุ่มๆ บางทีก็มี HR เป็นล่ามพูดไทยได้ จีนได้มานั่งเรียนด้วย หนักสุดคือไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะเขาฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ทำไงได้ เราก็พูดจีนไม่ได้ซะด้วย 

โลกมันเล็กลง คนมากขึ้น ที่อยู่ที่ยืน ที่เที่ยว ที่กิน การประกอบอาชีพมันฝีดเคือง 

สมมติว่า ไทยกับเขมรรบกันจริงๆ มีเครื่องบินวนมาทิ้งระเบิดกันตูมตาม มีรถถังออกมาวิ่งยิงกันตามสี่แยกไฟแดง อะไรจะเกิดขึ้นมั่ง 

หะแรก คงมีกฏอัยการศึก หรือไม่ก็เคอร์ฟิว ไปไหนมาไหนก็ต้องระวัง Line of Fire ยิงกันไปมาคงโดนหลังคาบ้านกูเข้าจนได้ 

เด็กๆวัยรุ่นน้อยลง คนแก่เยอะ ผู้หญิงน้อยกว่าชายสี่เท่า คราวประเทศเกิดสงคราม แก่ๆวัยใกล้เกษียณคงไม่แคล้วถูกต้อนไปวิ่งลุยกับระเบิดเพื่อช่วยรัฐบาลประหยัดงบค่าอุปกรณ์จีทีสองร้อยไปได้เยอะเชียว ถึงเวลานั้นคงฮาไม่ออก

ดีนะมีนายกเป็นผู้หญิง ไม่บ้าพลัง ถ้าเป็นสมัยท่านผู้นำทหาร ป่านนี้แกคงประกาศสงครามไปแล้ว เพราะไหนจะเครื่องบินรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ เรือดำน้งเรือดำน้ำ ที่ยังไม่มีเครื่องยนต์เพราะเยอรมันไม่ยอมขายให้ ก็คงต้องเอาเครื่องนิสสันเชียงกงใส่ไปก่อน กำลังขับดันเรือหางยาวแถวๆแม่กลองได้ ใส่ไปสองสามเครื่อง เอาไปรบกับเขมรแก้เครียดก่อน 

ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กๆทะเลาะกัน ผู้ใหญ่ก็จะตวาดแหว มึงจะรบกันไปทำมาย อ้ายชิบหายยยย (ภาคด้วยสำเนียงสุพรรณ) ได้อารมย์ไปอีกแบบ 

เอาหล่ะ เศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมานั่งฝึกอบรมความปลอดภัยกันล่ะมึง เขาแย่งปราสาทกันเหยงๆ จะมานั่งขำอะไรกันนักหนา ไป้ ไปกู้ระเบิดโน่น เซฟตี้ไม่ใช่เหรอะ  



วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

Distraction

 

Muffin



ภาพยนต์โฆษณาดีๆ ที่ดูแล้วยิ่งทำให้ต้องมาย้ำเตือนกันถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นการโทรเพื่อพูดคุย การแช็ทไลน์ ส่องเฟสบุ๊ค ดูติ๊กต่อก ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการเสียสมาธิ ในสามลักษณะ 

ทางกายภาพ ต้องเอื้อม ต้องเอี้ยวไปหยิบโทรศัพท์ บางทีก็ละมือจากพวงมาลัย ขับมือเดียว 

ต้องละสายตา เพื่อกดหมายเลข ยิ่งแช็ทไลน์ ยิ่งหนักเลย

ต้องคุย ซึ่งเป็นการเสียสมาธิแบบ Cognitive Distraction เคยสังเกตุตัวเองบ้างไหม เวลาคุยสาย ต้องออกท่าออกทาง เดินไปเดินมา เพราะสมาธิมันไปจดจ่อที่การสนทนา

ทั้งหมดนั่น ก็ใช้เวลาไปราวๆ 3 วินาที บางคนนานกว่านั้น 

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น 


เอาล่ะ ผมรู้ว่ามันเยอะไป มันน่าเบื่อ เอาแบบไม่ต้องอธิบายยาวๆ คนไทยไม่ชอบของยาว ชอบอะไรสั้นๆ เร้าใจได้อารมย์ เอาเป็นว่า การที่คุณจะขยับตีนมาเหยียบเบรก ซึ่งตา สมองและตีน มันใช้เวลา ขึ้นอยู่กับว่าความเร็วเท่าไหร่ ในคลิป อีตาพ่อกำลังรีบ เพราะอีเมียก็ส่งแช็ทไม่หยุด มัฟฟินมันหนีไปติดสาว ตาพ่อก็เหยียบไปราวๆ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นก็แปลว่า รถแกจะพุ่งไปข้างหน้า = 60*0.277= 16.62 เมตรต่อวินาที แล้วแกมัวแต่แช็ทกับเมียไป 3 วินาที รถคันนั้นไม่มีคนเหยียบเบรกไป 3 วินาทีเพราะเสียสมาธิ รถจะพุ่งไป = 16.62 * 3 = 49.86 ผีน้องจัสตินเล่นบอลอยู่ในระยะไม่ถึง 20 เมตร ชนมั้ยล่ะ 

นี่ขนาดยังไม่รวมระยะเบรก ซึ่งก็คือระยะที่เมื่อรถเบรกสนั่น มันไถลต่อไปอีกก่อนจะหยุด น้องจัสตินก็ไปทางลูกบอลไปทาง

เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้ในเรื่อง ระยะไม่รู้จักคิด 

สังคมบ้านเรา ไม่ชอบอะไรหนักๆ ไม่ชอบกฏและการกดขี่ แต่บางคนชอบขี่ไปกดไป อันนี้ไม่ว่ากัน ไปที่ชอบที่ชอบ 


วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สุดแสนจะอัพเซ็ท




ตอนที่ได้ดูการแสดงโชว์จระเข้ ฉากหนึ่งที่เร้าใจมากๆ ก็คงจะอีตอนที่นักแสดง ค่อยๆ เอามือล้วงเข้าไปหยิบแบ้งค์ในปากจระเข้ และยิ่งเสียวมากๆก็อีตอนที่เขาค่อยๆเอาหัวมุดเข้าไปในปากจระเข้แล้วยิ้ม โบกมือให้ท่านผู้ชม

ความเสียวที่ว่า มันบังเกิดขึ้นก็เพราะว่า ไอ้เข้ที่นอนอ้าปากอยู่นั่นมันไม่ใช่ของปลอม ก่อนหน้านั้นมันก็งับไม้ที่นักแสดงใช้เคาะมันจนหักสะบั้นต่อหน้าต่อตา แล้วมันก็ไม่ใช่ไอ้เข้ฟันหลอ มันมีฟันเต็มปาก แค่เพียงว่าไอ้เข้ตัวนี้ เกิดนึกอยากจะหุบปากเพื่อดูดขี้ฟันที่ติดอยู่ ในจังหวะที่มือ หรือหัวของนักแสดงอยู่ในนั้น ผู้ชมนับร้อยก็คงได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนขวัญ

แล้วมันเกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้ยังไง มันเกี่ยวสิ ถึงไม่เกี่ยว ก็จะพูดให้เกี่ยวให้จงได้

อัพเซ็ทคอนดิชั่น (Upset Conditions) เติม เอสไปตัวนึง จะได้ หมายความว่า สภาวะใดๆก็ตามที่ผิดปกติ ในแง่ของการบริหารความปลอดภัย เวลามีสภาวะแบบนี้ ถ้าเป็นโรงงานเคมี ก็ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุณหภูมิ ความดัน ในถัง หรือรีแอคเตอร์ผิดปกติ หรือเกิดการล้น การระบายแรงดัน แก็สรั่ว ไฟไหม้ ระเบิดเถิดเทิง แบบนี้แหละ

ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นโรงงานที่ใช้เครื่องโม่ เครื่องปั่น อัพเซ็ทคอนดิชั่นก็อาจจะยกตัวอย่างเช่น การที่มีเศษแร่ เศษวัสดุไปติดค้าง แล้วทำให้เครื่องทำงานขัดข้อง มีสิ่งของไปค้างในสายพานลำเลียง เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอะไรแบบไหน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันอัพเซ็ทไปหมด หัวหน้างาน ก็อัพเซ็ท ผู้จัดการก็อัพเซ็ท ผู้อำนวยการ เรื่อยไป จนถึง เมียผู้จัดการ เมียน้อยผู้จัดการ ทุกคนอัพเซ็ทไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกลเป็นหมื่นๆไมล์ พอรู้ว่าเครื่องหยุด มันอัพเซ็ทกันไปหมด และด้วยเหตุนี้แหละ สภาพจริงๆเวลาเกิดอัพเซ็ทคอนดิชั่นขึ้น ก็จะเห็นพวกกุลี กรรมกร โฟร์แมน หรือแม้แต่หัวหน้ากะ ต่างกระโจน ป่ายปีน พุ่งเข้าใส่ หมายจะแก้ไขสถานการณ์ อย่างไม่คิดชีวิต ย้ำนะ ว่า อย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้เครื่องหมุนอยู่ มันก็จะเอานิ้ว เอามือ เอาสาระพัดอวัยวะแหย่เข้าไปเพื่อเขี่ยเศษที่ติดอยู่นั่นออก ถ้าสารเคมีรั่วอยู่ มันก็จะคว้าอะไรก็ได้ใกล้มือ ถ้าไม่มี หากจะต้องถอดกุงเกงใน เอาไปยัดไว้เพื่อหยุดการรั่วไหลมันก็เอา สภาพแบบนี้แหละ มันไม่ได้ต่างอะไรจาก นักแสดงโชว์จระเข่้ที่พูดถึงมาแต่ต้น ว่า ทำไปเพื่ออะไร ??? บางคนนิ้วขาด มือขาด หรือถูกเครื่องลากเข้าไปบดจนละเอียด บางคนถูกไฟคลอก ระเบิดแหลกเป็นเศษเนื่้อ ถามจริงๆ เพื่ออะไร ??

นั่นคือเรื่องจริงๆ โรงงานในเอเชีย เวลามันถูกออกแบบมา ระบบป้องกันมันก็ไม่ค่อยจะมี ไอ้ที่มีก็เปิดออกง่ายแสนง่าย มุดง่าย ปีนง่าย เมื่อเอามารวมกับกรรมกรที่แสนดี พร้อมพลีชีพเพื่อองค์กร จึงเห็นข่าวสยองแบบนั้นตลอดมา



ในประเทศที่เขาเจริญแล้ว ประชาชนเขาไม่อัพเซ็ทง่ายๆ คือต่อให้เครื่องติดขัด เขาก็ไม่มีทางจะกระโจนเข้าใส่ เอาชีวิตเข้าแลกแบบคนเอเชีย และต่อให้จะพยายามเป็นฮีโร่ แค่เอามือ เอาอวัวะโผล่เข้าไป ระบบก็จะตัดพลังงานอันตรายออกหมด ไม่เจ็บ ไม่เละกันง่ายๆ นอกเสียจากว่า ไปเจอพวกนักลงทุนที่มาจากประเทศนอก ที่รู้จักเอเชียดี มันไม่เอาระบบที่สมบูรณ์มา เพราะมันแพง สู้เอาตังค์มาจ้างฝ่ายกฎหมาย จ้างผู้จัดการที่ด่าเก่งๆ โหดๆดีกว่า เวลาเกิดเหตุ ไอ้พวกนี้จะคอยปกป้อง โยนความผิดให้คนที่เจ็บที่ตาย เพราะกลัวนายอัพเซ็ทว่า มันไม่ทำตามโปรซีดเยอร์

ไงล่ะมึง ถามเหมื่อที่เคยถาม เวลามึงเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแก้ไขสภาพที่เครื่องจักรที่ออกแบบห่วยแตกมาแต่แรก เพื่อให้มันเดินได้ แล้วมึงเจ็บ มึงตาย เขาดูแลลูกเมียมึงมั๊ยล่ะ อ๋อเรอะ ยังไม่มีเมีย ไอ้ควายยยย

สอนยากสอนเย็น โคตรอัพเซ็ทเลยว่ะ เอ้า... แหย่ๆมันเข้าไป เอ้า หู้ย เล่ หู้ย อ๊ากกกกกก  

ไม่ต้องห่วง ตรุษจีนปีหน้า กูจะเผาระบบอินเตอร์ล็อกไปให้ เอิ้กๆๆๆๆ




คนงานตกรูเสาเข็ม

 


รูเสาเข็ม มันเป็นที่อับอากาศ ที่มีสภาพอันตรายที่ลูกจ้างอาจจะตกลงไปติดค้าง (Entrapment Hazards) ถูกดิน หรือน้ำทับถม ซ้ำยังมีสภาพบรรยากาศอันตราย (Hazardous Atmosphere) ที่ระดับออกซิเจนไม่พอ 

หมวด 2 มาตรการความปลอดภัย ข้อ 10  ให้นำยจ้ำงจัดให้มีสิ่งปิดกั้นที่สำมำรถป้องกันมิให้บุคคลใดเข้ำหรือตกลงไปในที่อับอำกำศ ที่มีลักษณะเป็นช่อง โพรง หลุม ถังเปิด หรือสิ่งอื่นที่มีลักษณะคล้ำยกัน

กฏกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับที่อับอากาศ พ.ศ. ๒๕๖๒

ชัดเจน ว่านายจ้างไม่ได้ดำเนินการตามที่กฏกระทรวงกำหนด  ถือว่านายจ้างรายนี้ละเมิดมาตรา 8 ของ พรบ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งระบุบทลงโทษไว้ตามมาตรา 53 มีโทษจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ 

มิหนำซ้ำ หากพบว่านายจ้าง ไม่ดำเนินการตามมาตรา 14 ของ พรบ. ฉบับเดียวกัน ก็มีโทษปรับอีก 50,000 บาท 

และหากปรากฏว่าวานนี้นายจ้างไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา 32 นายจ้างผ้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๓๒ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนบรรดาผู้จัดการโครการ หัวหน้าหัวนายทั้งหลายหากพบว่าละเลยไม่ดำเนินการ ก็มีสิทธิ์โดนโทษเท่าๆกับนายจ้าง ตามมาตรา 69 

งานนี้ ถ้า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขยัน ก็จะพบข้อบกพร่องอีกหลายข้อตาม  กฎกระทรวง ๒ มีนาคม ๒๕๖๔ กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๔ อีกหลายมาตราเลยทีเดียว ทำไปทำมาก็จะผิดมาตรา 8 ตาม พรบ.ปี 2554 เข้าอีก ก็จะโดนอีกกระทง เป็นจำคุก 2 ปี ปรับ 800,000 เข้าไปแล้วนั่น 

หน้าที่ดำเนินการเอาผิดกับนายจ้าง เป็นของ พนักงานตรวจความปลอดภัย ที่ต้องสอบสวน ถ้าเขาไม่ตรวจไม่สอบ หงุมหงิมงุบงิบ หรือทำท่าขึงขังดึ๋งดั๋งสองสามวัน พอข่าวเงียบ เรื่องก็จบ หรือไม่ก็เลี่ยงไปปรับพอเป็นพิธิ ด้วยมาตรากระจอกๆ อย่าง มาตรา 13 มาตรา 16 พวกนี้ 

งานนี้ คงมะงุมมะงาหรากันตั้งแต่มาตรา 4 แบบปัดกันไปโยนกันมาว่าลูกจ้างชะตาขาดคนนี้เป็นของใคร เผลอๆ เขาก็ตายเปล่า ตามกฏหมายคุ้มครองแรงงาน กฏหมายกองทุนเงินทดแทนและอื่นๆ จับอะไรดมไม่ได้ 

เศร้าใจ เสียใจ สลดใจ กับมาตรฐานความปลอดภัยในบ้านเรา คุณว่ามั้ย (ที่ยกมาตรานั้นมาตรานี้มา ผมรับประกันได้พวกคุณไม่เข้าใจหรอก  ยังดีใจอยู่บ้างที่เราได้ผู้ว่า กทม.ดี ท่านไม่ละเลย 

ส่วนกระทรวงแรงงาน ผมว่าท่านหงุมหงิมมาตลอดตั้งแต่ เหตุซ้ำๆบนพระรามสอง มาถึงตึกถล่มของ สตง.ท่านสงวนท่าทีเกินไปทั้งๆที่เป็นพระเอกได้ แต่ไม่ทำ 


วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

วัดเส้าหลิน ถึงวัดไร่ขิง

 

แฟนพันธุ์แท้วัดไร่ขิงคงบ่นกันระงม

ใครที่ตามข่าวทิดแย้มกับโยมสาวหมวย สวยอึ๋ม (คำนี้ผมเอามาจากคำสัมภาษณ์ของอดีตศิษย์วัดท่านหนึ่ง) คงอิดหนาระอาใจ นึกไม่ถึงว่า สมภารที่ธาตุไฟแตก จะกลายจากจอมยุทธุ์ผู้เข้มขลัง มีพลังภายในชนิดที่แค่ปล่อยลมออกมาจากนิ้ว ใบไม้ย่อมสั่นไหวปลิดปลิว ไม่ถึงกับต้องระบายลมปรานออกมาดังป๊าด เหล่ามารร้ายก็ด่าวดิ้น 

แต่ด้วยเหตุอันใดที่ยังไม่ทราบได้ ทำให้กลายเป็นมาร บิดเบือนคำสอน เรื่องอนัตตา การเกิดขึ้นตั้งอยู่และแตกดับ กลายเป็น เปิดขึ้น ตั้งโด่ และดับไฟ จากครั้งแรก เป็นครั้งที่สองสามสี่ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากไม่กี่สิบล้าน กลายเป็น เจ็ดแปดร้อยล้าน 

ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นที่วัดเส้าหลิน ผู้นั้นคงถูกเอาไปขังในแชมเบอร์ที่สามสิบแปด ให้นั่งกำหนดสมาธิควบคุมความพลุ่งพล่าน ท่ามกลางเครื่องกลที่กระทุ้งเข้าใส่ทั้งข้างบน ข้างล่าง ข้างหน้า ข้างหลัง หากวิทยายุทธ์ที่เคยมีมันหยดแย้มไปเสียสิ้นเนื่องจากกิเลสทั้งปวง เมื่อนั้นทิดแย้มคงไม่สามารถจะออกจากช่องที่สามสิบแปดมาได้ 

แต่ถ้าบาปเคราะห์หนนี้ เป็นเพียงแค่ถูกนางมารสบู่นกแก้วปล่อยพิษผ่านไลน์โดยที่พี่ทิดมัวแต่ตะลึงงันกับเสียงน้ำไหลรินๆ และนางมารสาวทำเสียงกระเส่า แย้มขา แย้มขา พี่ทิดคงไม่พ้นต้องพิษเข้าเส้นเลือด 

การสอบเค้นทรมานจากสำนักเส้าหลิน คงเป็นเพียงแค่การซักฟอกเอาคราบฉาวออกไป ไม่นานพลังยุทธ์ก็จะคืนมา ไอ้ที่เคยตั้งโด่แล้วดับไฟก็จะกลับมาเข้าร่องเข้ารอย 

อมิตาพุด อายีด่าฝัก อายีด่าฝัก 

วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เรื่องลับของพี่ทิด



ข่าวตึกถล่มหายสนิทเมื่อข่าวพี่ทิดติดหน้าหนึ่งทุกสำนัก 

ผมเกิดและโตที่บ้านนอก ละแวกบ้านมีทิดอยู่หลายคน ที่เคารพนับถือกัน ทิดบัด ทิดนอ ทิดทม ทิดมาย คนหลังนี่ เป็นพ่อผมเอง 

สมัยก่อน คนที่บวชเรียนแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่บวชแค่ห้าวันเจ็ดวัน แต่เขาอยู่กันเป็นพรรษา บางคนก็หลายพรรษา พอสึกออกมา เขาก็เรียกว่า ทิด เป็นคำนำหน้าที่บ่งบอกถึงความชื่นชมและนับถือในภูมิ 

เดี๋ยวนี้ ทิด เป็นคำเรียก ในทำนองว่าคนเคยบวช แต่ถูกสึกด้วยเรื่องบัดสีบัดเถลิง มั่วสีกา ปั่นบาคารา เสพยา อัดถั่วดำเด็กวัด สาระพัดแต่เรื่องฉาวโฉ่ คำว่าทิดเลยออกไปในแนวเสียดสีซะมากกว่า 

ผมเองก็เคยบวชแว่บๆ บวชแค่ไม่กี่วัน เพราะต้องกลับไปเรียน ถ้าพ่อแม่จะเกาะผ้าเหลือง ก็คงไม่ถึงป้าย ต้องต่อรถเมล์ ลงรถไฟฟ้า อีกสองต่อแหละ พอสึกออกมา พวกลุงป้าน้าอาที่บ้านนอกเขาก็ยังเรียกยังทักว่า ไอ้ทิด 

เป็นพระนี่มันไม่ง่าย สบงใหม่นี่มันแข็ง เวลานุ่ง เดินบิณฑบาตร ถูไปมากับพ่อนาคน้อย มันเจ็บเอาเรื่องเลย รองเท้าก็ไม่ได้ใส่ เวลาเดินบนถนนกรวด ดินลูกรัง บางทีเจอหนามโคกกระสุน แถบเหยาะแถบย้อยเลยโยม 

บวชใหม่ๆ ข้าวเย็นไม่ได้กิน เดินบิณฑบาตรท้องร้องจ๊ากๆ หลายกิโลกว่าจะกลับถึงวัด ยังจำได้ว่าหลวงพ่อบก กับหลวงพี่บัติ สองคนนี่เขาเขม่นกันมาตลอด พอกลับถึงวัด หลวงพ่อบกถึงก่อนก็ลงมือฉัน หลวงพี่บัติมาทีหลังฉันไปได้ไม่กี่คำ หลวงพ่อบกก็ขึ้น ยะถาวารีวะหา เท่านั้นแหละพราะที่กำลังฉันต้องทิ้งช้อน หยุดกิน ทั้งสองพระถลกเขมรปรี่ใส่กัน วงแตกสิครับ กิเลสล้วนๆ

บวชใหม่ๆ ยังฟุ้งซ่าน กลัวผี ตื่นตีห้า ลงไปกรวดน้ำใต้ต้นไม้ มีเสียงพรึบบนหัว แทบทิ้งที่กรวดน้ำเลย คิดว่าผีหลอก ที่ไหนได้ ไก่มันกำลังจะลงไปหากิน 

เป็นพระนี่ ถ้ายังไม่บรรลุ ผมว่า มันหลุดง่ายๆเลย ยิ่งสีกามาอาบน้ำโชว์ ทิดแย้มก็ทิดแย้มเหอะ โยมเอ๊ย ยุบหนอ พองหนอ พักเดียวมันพองแล้วไม่ยอมยุบง่ายๆ ผมว่าทิดแกไม่ได้ปั่นบาคาร่าอย่างเดียว คงเผลอปั่นอย่างอื่นด้วยแหละ  โลภ โกรธ หลง ตัวท้ายนี่ ถ้าคุมไม่อยู่ หลวงพ่อ หลวงน้า หลวงอา หลวงพี่ กลายเป็นทิดโดยไม่ได้ตั้งใจง่ายๆเลยเชียว 




วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เสื่อมซ้ำซาก

 โบราณว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง  กับ รำไม่ดี โทษปี่ โทษกลอง 

 เครดิต การ์ตูนสวยๆจาก คลิกที่นี่

สองแบบนั่น ถ้าเป็นเรื่องเซฟตี้ จะเข้าทำนอง Non-Conformance จะซีเรียสหรือเล็กน้อยหยุมหยิม สะสมไปเรื่อยๆ ความฉิบหายก็จะมาเยือน อย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทยในตอนนี้ งามหน้าไหมละ

ต้นเหตุตึก สตง.ถล่มก็คงต้องรอผลการสอบและอิทธิฤทธิ์ของแรงเสือก แปลว่าอะไร อ้าว ก็โดยส่วนใหญ่ พวกที่จัดว่าเป็น Principal Witnesses เติมเอสเพราะมีหลายคน พวกนี้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้เท่าไหร่ เสียเท่าไหร่ ไม่รู้ ใครจะบอกตรงๆ พวกนี้ก็ต้องรำไปด้วย หันไปโทษปี่ โทษกลอง โทษฮวงจุ้ย โทษกรรมกร โทษสาระพัดไปเรื่อย บางคนก็มีอิทธิฤทธิ์สามารถสอดเสือกแก้ไขข้อเท็จให้เป็นข้อจริง แก้ข้อจริงให้เป็นข้อเท็จ บางคนก็เส้นใหญ่กว่าเหล็กข้ออ้อยซะอีก ไอ้ที่มั่วๆกันมาจะเล็กจะน้อย ก็จะค่อยๆโผล่ เรื่องเซฟตี้นี่มันลึกลับซับซ้อน ทั้งปี 365 จะเห็นคนใหญ่คนโตพูดถึงเซฟตี้ก็มีแค่สองวัน คือวันที่มีอุบัติเหตุ กับวันสิ้นเดือนเพราะต้องเอาตัวเลขส่งไปรายงานคนที่ใหญ่กว่า นอกนั้น ไม่มี จะมีซักคนมั้ยที่จะพูดว่า เออนี่นะ เราประสบความสำเร็จ แก้ไขเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ปลอดภัยขึ้น ไม่มี

จะซื้อของอะไรที่เกี่ยวกับเซฟตี้ ก็ต้องเอาถูกๆไว้ก่อน เอาแค่ให้ได้ตามกฏหมาย อย่างอบรมความปลอดภัย ถ้าจะต้องจ้างบริษัทอบรม ก็เอาแบบถูกๆไว้ก่อน ถ้าได้เซอร์โดยไม่ต้องเข้าอบรมเลยยิ่งเจ๋ง แบบนี้มีเยอะ

ความบกพร่องเล็กๆ อย่างเช่น พาลเล็ทที่ไม้แตกหัก แอ่นระแน ตะปูหลุดๆลุ่ย ถุงบิ๊กแบ๊ก หูขาด ซอฟท์สลิงเปื่อยๆ ตู้ไฟที่ไม่มีเลเบล โอยอะไรสาระพัดร้อยแปด พวกนี้มันคือความเสื่อมโทรม ไม่ใช่แค่สิ่งของ มันเสื่อมไปถึงใจผู้บนริหารเลยเทียว พอเซฟตี้บอกก็หงุดหงิด แหวขึ้นมา อะไร เราอยู่กันมาสามสิบปีไม่เห็นมีปัญหา พอษมนเข้ามาเจอแต่เรื่อง อ้าว อีหอกนี่ 

มีอีดอกคนหนึ่ง ตบโต๊ะใส่ผม ระหว่างที่กำลังประชุม เพราะผมเข้ามาได้ไม่กี่วัน มีเหตุเย็บไปสองราย รายแรกแปดเข็ม รายที่สอง 18 เข็ม ห่างกันแค่วันเดียว พยาบาลก็พยายามจะขอรายงานว่าเป็นเคสแค่ปฐมพยาบาล อ้างว่าเธอนี่แหละเย็บ ไม่ใช่หมอเป็นคนเย็บ ตลกดี พอเอามารายงานข้างบนตอนประชุมผู้บริหาร อีดอกตบโต๊ะใส่ หาว่าทำตัวเป็นครูบาอาจารย์ เราไม่เคยมีอุบัติเหตุเลย ต๊ายยยยยอีดอกกกก

เซฟตี้มันเหมือนการสร้างปราสาท ถ้าฐานมันผุ มันก็ถล่ม เพราะฉะนั้น ก่อนจะแหล กลบเกลื่อนว่าไม่เคยมี NC มาก่อน ก็ดูคดี สตง.ไว้เป็นตัวอย่าง จะแดกก็อย่ามูมมาม เข้าใจมั้ย 

คราวหน้าจะหาต้นตอคำว่าอีดอกมาเล่าให้ฟัง 

มีอะไรก็คอมเมนท์กันมั่ง อย่าอ่านอย่างเดียว ขอร้อง   

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

อันตรายของเหี้ย

 


คนไทยด่าคนจัญไรว่า ไอ้เหี้ย อีเหี้ย 

ถ้าเป็นคนสุพรรณบ้านผมก็จะต้องลากเสียงยาววววว ตามความเจ็บแค้น ยิ่งยาว ไอ้คนนั้นมันต้องเหี้ยหนักมากกกกกก
บ้านผมไม่ใกล้คลองใกล้แม่น้ำ แถมยังกันดารแร้นแค้น เลยไม่ค่อยเจอเหี้ยตัวจริงเป็นๆ แต่คนเหี้ยๆนี่เจอบ่อยเลย ยิ่งพอมาทำงาน โอย เหี้ยเยอะมากกกกกก บางคนหน้าตาดี สวย แต่จิตใจเหี้ยแท้ 

เดือนก่อน เราเกิดไอเดียจะหาไก่มาเลี้ยง นัยว่าเป็นงานอดิเรกและได้ไข่มากินในครอบครัว ไปซื้อลูกเจี๊ยบมาสี่ตัว ตั้งชื่อให้ว่า กู เด ตา มา ตามหนังการ์ตูนในเน็ทฟลิกซ์ 
อุตส่าห์ซื้อไม้ ซื้อหลังคาใสๆ ซื้อตาข่ายมาทำกรง กลัว กูเดตามาจะอึดอัด กรงเบ้อเริ่ม ตามทักษะด้านช่างไม้ที่มีอยู่น้อยนิด กรงที่ทำเสร็จ ห่างไกลจากจินตนาการ ตาข่ายที่ติดไว้ เอาเข้าจริงๆ มันกันอะไรแทบจะไม่ได้ เอาวะ อยู่ๆไปก่อน ใช้ๆไปก่อน คำนี้เหี้ยในที่ทำงานชอบพูดดดดด เพื่อจะได้ไม่ต้องแก้ไขอะไรให้ปลอดภัย ใช่เลย รู้ทั้งรู้ว่าไม่ปลอดภัย แต่ทำไงได้ กูเหนื่อยจนลมจับ เอาแค่นั้นก่อน 

และแล้ว เช้าวันหนึ่ง หลังจากที่ กูเดตามา ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ ราคา สองพันล้าน มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันสมถานะ  คืนนั้นผมได้ยินเสียงลูกเจี๊ยบร้อง คล้ายๆว่าจะมีอะไรอันตราย แต่ผมกำลังหลับๆตื่นๆ พวกมันคงไม่ชินกั้บตึกใหม่ ไม่เป็นไรหรอก คิดอย่างที่พวกเหี้ยๆชอบคิดดดดด เวลาที่เห็นคนงานกำลังมีอันตราย 

กู หายตัวไปอย่างลึกลับ  

ทิ้งความสะพรึงไว้เบื้องหลัง มันต้องมีอะไร เข้าไปในกรง ผู้ต้องหาคนแรก น่าจะเป็นแมวจรจัดที่ตุหรัดตุเหร่อยู่แถวนั้น หรือไม่ก็อาจจะเป็นงู ข้อนี้เป็นการสันนิษฐานแบบข้างๆคูๆว่ากรงที่กูทำนี่ราคาสองพันล้าน คงไม่ถล่มง่ายๆ แม้ฮวงจุ้ยจะไม่ค่อดีนัก แมวน่าจะเข้าได้แต่ออกยาก ที่สำคัญถ้าเป็นแมว ก็น่าจะทิ้งร่องรอยอย่างขนไก่หล่นกระจายไว้ให้เห็น ต้องเป็นงูแน่ๆ มันอาจจะได้กลิ่นไก่ เพราะกรงตั้งอยู่บนฝาท่อระบายน้ำ ฮวงจุ้ยไม่ดี มันคงได้กลิ่นแล้วขึ้นมางาบกู แล้วอนตรธานหายไป โดยไม่มีร่องรอย ในอินเตอร์เน็ทก็แนะว่าน่าจะเป็นงู 

จากนั้น ไก่เหลือสามตัว ในใจก็ปลงๆว่า ชีวิตไก่น้อย ช่างสั้นนัก เข้าไปในตึกราคาสองพันล้านได้ไม่กี่วัน โถ อนิจา เหี้ยก็แบบนี้แหละ คิดได้เวลามีคนตาย 

จัดการอุดรู เสริมตาข่าย เรื่องถูกส่งให้ดีไอเอส -Do It Stupidly ไปสอบสวนกันต่อ 

แล้วเช้าวันต่อมา ก็ต้องทะลึ่งลงจากเตียง เพราะมีเหี้ยน้อย เข้าไปอยู่ในกรงไก่ มันกำลังตกใจ ตาลีตาเหลือก หาทางออก ไอ้เหี้ยเอ๋ย เข้าทางไหน เสือกไม่จำ แต่เหี้ยก็คือเหี้ย มันหาทางออกเจอ เพราะงบประมาณที่ทุ่มลงไปเสริมความแข็งแรงหนนี้ ยังไม่มากพอ เหี้ยตะกายออกทางรูโหว่ มันกระโจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนไปมันหันมามอง ราวกับจะบอกว่า เค้าไม่ผิดนะ เค้าบริสุทธ์ ไอ้เหี้ยยยยย

เอาล่ะ มาดูคุณสมบัติของเหี้ย

ข้อแรก พวกมันจะคิดเสมอว่ามันฉลาด เก่ง ดี และบริสุทธ์ ไม่มีใครสุจริตเท่ากูแล้ว ในประเทศนี้
ข้อสอง พวกมันเจ้าเล่ห์ 
ข้อสาม เวลาพวกมันลงมือ หาใครจับได้ไล่มันทัน มันไวและเหี้ยมาก 
ข้อสี่ มันกินไม่เลือกและกินไม่เหลือ
ข้อห้า มันไม่กระโตกกระตาก มันเงียบมาก 
ข้อห้ามันมีทางหนีทีไล่ 

ในทุกวงการ ถ้ามีเหี้ยสักตัวสองตัว หลุดเข้าไป ความบรรลัยจะมาเยือน ยิ่งถ้าเหี้ยรวมฝูง มีนายๆใหญ่ๆคุ้มกะบาล พวกมันจะอันตรายมากเลย จริงไม่จริง 

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568

ตีความตีคน

ทุจริต ภัย

หมายถึง ภัยที่เกิดจาก คน ประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี ไม่ซื่อตรง โกง คดโกง ฉ้อโกง โดยใช้อุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ. 



การลงนามอนุมัติให้มีการต่อเติมอาคารโดยไม่ได้มาตรฐาน จนเป็นเหตุให้เกิดการถล่มขึ้น ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ การทุจริต 

ทุจริต เมื่อเอามารวมกับคำว่า ภัย ก็น่าจะอ่านได้ว่า ทุ จะ หริด ตะ ภัย กระมัง คำแปลก็น่าจะหมายถึงภัยที่เกิดหรือเป็นผลจากการกระทำทุจริต 

สมัยผมเริ่มทำงานที่โรงไฟฟ้าเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นไปเป็นฝรั่ง ก็ได้พบ ได้เจอ กับภัยที่เกิดจากคนทุจริตหลายกรรม หลายวาระ 

ครั้งแรก ก็เริ่มจากขอให้นำเรื่องการขอซื้อรถดับเพลิงสามคัน เข้าไปให้ฝรั่งเซ็น โดยเสนอส่วนแบ่งให้ สิบเปอร์เซ็น ครั้งนั้นผมก็ปฎิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผมว่า ไม่สมควรต้องซื้อรถดับเพลิง เพราะความเสี่ยงจากการเกิดอัคคีภัยของโรงไฟฟ้าแบบโคเจนเนอเรชั่น มันไม่ได้มีอะไรมากมายถึงขั้นต้องประจำการรถดับเพลิง และที่สำคัญ ที่โรงไฟฟ้าตั้งอยู่นั้นก็อยู่ในพื้นที่ของโรงโอเลฟิน ซึ่งมีรถดับเพลิงจอดประจำการอยู่สามสี่คัน เขาคงไม่ปล่อยให้เราไหม้ 

ครั้งที่สอง ขอสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ทั้งๆที่มีโรงบำบัดน้ำเสียที่ครบถ้วนสมบูรณ์อยู่แล้วแต่ไม่ยอมเดินระบบ แต่กลับมาสร้างช่องกักกันน้ำ แบบฝายน้ำล้นซึ่งไม่ได้ช่วยอะไร เสวยงบกับไปอีกเก้าล้านกว่า 

ครั้งที่สาม แอบเอาขี้เถ้าไปทิ้งในหลุมลูกรังเก่าหลังตลาดมาบตาพุด งานนี้ผมไม่สามารถรับได้ แจ้งตำรวจและกรมโรงงานไปตามจับ มีการข่มขู่เอาชีวิตกันเลย เป็นภัยจากคนทุจริตอีกสไตล์

ครั้งที่สี่ แอบปล่อยน้ำที่ไม่บำบัดจากการล้างระบบ (Flush Lines) และน้ำจากกองถ่านหินลงทะเล โดยได้รับความเห็นชอบจากข้าราชการ ครั้งนี้ ผมอาละวาดถามหาผู้อนุมัติ แต่ไม่มีใครรับ 

ครั้งที่หก ตรวจสภาพแวดล้อม ทางทะเลอย่างเดียวใช้เงิน 13 ล้านบาท ผมไม่ยอมเพราะเห็นว่าไม่คุ้มและไม่โปร่งใส จึงเปิดประมูล ได้ผู้รับจ้างไปทำงานตรวจสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ และทุกเฟสของโรงไฟฟ้าในเวลานั้น จาก 13 ล้าน ใช้งบไป 8 ล้าน ประหยัดไปสี่ล้าน งานนี้ผู้ใหญ่กริ้วหนัก เพราะไปขัดประโยชน์ภรรยาของท่านเข้าซึ่งปกติ ท่านจะรับไปเหนาะๆ 13 ล้านทุกๆปี เฮ้อ ขอให้ท่านไปสู่สุคตินะครับ ผมจะถวายน้ำทะเลไปให้กิน 

หลังจากนั้นก็ถูกเลิกจ้าง โดยนายจ้างระบุว่า 

ข้อแรก ไม่สนองนโยบายผู้บริหาร 
ข้อสอง ไม่มีผลงาน
ข้อสาม มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร
ข้อสี่ มีปัญหาเรื่องทัศนคติ ข้อสุดท้ายนี่ผมยอมรับ ว่ามีทัศนคติที่ผูกใจเจ็บกับทุกคนที่ทำกับผมไว้ ยากที่จะลืมและอโหสิให้ 

ทุจริตภัย มีอยู่ทุกวงการ แต่ถ้ามาอยู่ในวงการเซฟตี้ มันไม่ใช่แค่เกิดอุบัติเหตุ แต่มันยังทำลายสิ่งแวดล้อม แถมขู่ฆ่าเอาชีวิตกันเลยเชียว 

ภัยแบบนี้ ประกันสังคมไม่ครอบคลุม กองทุนเงินทดแทนไม่จ่ายนะจะบอกให้ 


เก้าอี้เทวดา

 

เครดิต ยุคลชนข่าว 

โบราญเขาว่า คนล้มอย่าข้าม หลังจากที่บ้านหลังใหม่ของ สตง.ถล่มครืนเดียวลงไปกองกับพื้น เดือดร้อนกู้ภัยต้องมาช่วยกันรื้อซาก เพื่อกู้ชีวิตคนที่ติดอยู่ข้างล่าง ขุดมาห้าหกวัน ยังไม่เจอคนที่รอดชีวิต ความห่วงใย ความโศกเศร้า หงุดหงิดงุ่นง่านมากขึ้นทับทวี และแล้ว เสียงฮือฮาก็กระหึ่ม เมื่อมีข่าวว่า

ผู้รับเหมาที่สร้างตึก ทำท่าจะเป็นจีนเทา 

การก่อสร้าง ไม่ได้มาตรฐาน 

เหล็กที่ใช้ ไม่ได้มาตรฐาน 

มีการติดสินบนคนของรัฐ

มีการข่มขู่ย้ายรัฐมนตรี

บ้างก็ว่าคนรับเหมาจริงๆเป็นคนที่ใครๆก็รู้ ถ้าบอกก็จะร้องโอ้ว 

จดหมายปลุกขวัญให้สูดลมหายใจลึกๆ จับมือกันเดินไปข้างหน้า 

และแล้ว ข้อมูลเรื่องเก้าอี้เทวดา โซฟา โต๊ะประชุม ฝักบัว สายล้างตูด ราคาแพงระยับ บางอย่างซื้อควายได้สองตัว 

ตึกถล่มทีเดียว เสียวไปทั้งประเทศ คนอยู่คอนโดก็เสียว คนไปติดต่อราชการก็เสียว ไปศาลก็เสียว ไปโรงพยาบาลก็เสียว เพราะไม่รู้ว่าตึกที่กำลังเข้าไปนั้น ใครเป็นคนสร้าง ใช้เหล็กมาตรฐานอะไร ใช้ปูนอะไร ผูกเหล็กยังไง เทปูนแบบไหน หาข้อยุติยากจริงประเทศนี้ 

นี่ถ้าตึกถล่มหนนี้เกิดขึ้นขณะที่ท่านๆกำลัง อะจึ๊ อะจึ๊ยกันบนโซฟาราคาหลายแสน แล้วติดอยู่ใต้ซาก จนกู้ภัยไปลากท่านออกมา มันคงจะทุเรศพิลึก 

สุดตะลึงงงงัน

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2568

มาตรฐานมึงกับกู

 


ระหว่างที่หน่วยกู้ภัยกำลังเร่งรีบรื้อซากปรักหักพังเพื่อค้นหาผู้ติดอยู่ใต้ซากตึก พลันก็มีชายหน้าตี๋คนหนึ่งยืนสะอึกสะอื้นงั่กๆอยู่ในมุมลับตา 

อาตี๋:    โธ่ เตี่ย ไม่น่าเลย ไม่น่าจะมาตายในตึกนั่นเลย อั๊วเคยบอกแล้ว เวรกรรมมีจริง 

เตี่ย:     มึงจะร้องหาเตี่ยมึงเรอะ อั๊วะยังไม่ตาย 

อาตี๋:    อ้าว เตี่ย ยังไม่ตายหรอกรึ อั๊วะคิดว่าแหละไปแล้ว เตี่ยไปหลบที่ไหนมา 

เตี่ย:     เสียงดังหาเตี่ยมึงเรอะ เดี๋ยวพวกนั้นได้ยิน เขากำลังมาเก็บตัวอย่างเหล็กไปตรวจ เขาสงสัยว่า                       เหล็กกับปูนไม่ได้มาตรฐาน

อาตี๋:    ได้มาตรฐานซิเตี่ย อั๊วจ่ายไปกับมือ 

เตี่ย:     มาตรฐาน มอ ออ กอ รึ

อาตี๋:    มาตรฐาน มึงกับกู คับเตี่ย 

เตี่ย:    มาตรฐานเหล็กเส้น SDT แปลว่าอะไรวะอาตี๋ 

อาตี๋:    ก็มาตรฐาน ส้งติงทำ ไงเตี่ย 

เอียงมานานแล้ว

 

ท่านเปา:    เจ้าหน้าที่ มันเกิดอะไรขึ้น เสียงผู้คนเอะอะโวยวายข้างนอกศาลไคฟงของเรา
จั่นเจา:       ใต้เท้า ข้าไปตรวจดูแล้ว ผู้คนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน ไปรวมกันอยู่บนถนนข้างหน้าโน่น
ท่านเปา:    พวกเขาหนีอะไรกัน 
จั่นเจา:       แผ่นดินไหวครับใต้เท้า น่าจะเป็นอ๊าฟเตอร์ช็อค พวกเขาบอกว่าศาลเอียง
ท่านเปา:    บังอาจ!!!! ศาลเราไม่ได้เพิ่งเอียง มันเอียงมานานแล้ว 

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

ซาก

 เหลือแต่ซาก


แผ่นดินไหวกับการถล่มพังทลายของอาคาร บ้านเรือน มีคนเจ็บ คนตาย เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ ก็ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีมาตรการมากมาย ที่จะลดความสูญเสียเหล่านั้นลงด้วยวิธีการสาระพัด เช่น การออกแบบทางวิศวกรรมให้ตึกสามารถทนแรงสั่นสะเทือนจากแ่นดินไหว แรงลม และอื่นๆในระดับที่ปลอดภัย ตามมาด้วยเทคโนโลยีด้านวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก คอนกรีต กระจก และอื่นๆ ให้มีมาตรฐานตามที่ต้องการ ในขณะเดียวกัน ก็ควบคุมกันแจ ในเรื่องคุณสมบัติของผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงานและอื่นๆ เพื่อคำตอบเดียว ทำให้ปลอดภัย 

ตึกถล่มลงมาในพริบตา กลายเป็นซากอิฐซากปูนกองทับร่างคนงานฝังพวกเขาทั้งเป็น ทิ้งคำถามคาใจไว้บนซากนั่น ที่ต้องคอยดูว่าจะมีคำตอบออกมาทำนองไหน 

แน่นอน ร้อยทั้งร้อยของคนที่เฝ้าจับตาดู ต่างก็มีคำถามว่า ตึกราคาเกือบสามพันล้าน ของหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบจับผิดคนโกง ที่คอยเกาะกินเงินหลวง ทั้งเรื่องยิบเรื่องย่อยอย่างนมโรงเรียน อาหารกลางวัน ไปยังโครงการของรัฐ แต่กลายเป็นว่า ตึกของหน่วยงานตัวเองกลายเป็นซาก ที่ทำไปทำมาจะดูเหมือนว่ามีกลิ่นเน่าๆโชยออกมา แต่ไม่ใช่กลิ่นซากร่างไร้วิญญานของคนงานที่ถูกฝังใต้กองตึก แต่มันเป็นกลิ่นซากเน่าของหน่วยงานเจ้าของตึก 

ความยากเย็นของเรื่องความปลอดภัย มันไม่ได้อยู่ที่ทำให้มีมาตรฐานสูงๆ ใช้เทคโนโลยีล้ำยุค แต่มันยากตรงที่ทำให้สิ่งเหล่านนั้นถูกนำมาใช้จริงๆโดยไม่มีการกัด กร่อน บ่อนเซาะ จากการโกงกิงในแต่ละระดับชั้น และในแต่ละขั้นตอน นี่เป็นความฝันลมๆแล้งๆ ที่ไม่มีทางเป็นจริง

ดีหน่อยก็ตรงที่ยังไม่มีใครหน้าด้านพอที่จะออกมาโยนความผิดให้คนงานที่ผูกเหล็ก เทปูน ตีแบบ ขับเครน ดัดเหล็ก และกวาดพื้นว่าเป็นต้นเหตุของตึกถล่มครั้งนี้ อย่างมากก็แค่บอกว่าตึกมันอยู่ระหว่างก่อสร้าง ปูนยังไม่เซ็ตตัว 

ใต้ซากนั่น มีร่างคนงาน อาจจะมีผู้รอดชีวิตที่รอการช่วยเหลือ รอปาฎิหารย์ มีกองคอนกรีต เหล็ก ทับถมราวภูเขาทั้งลูก การเข้าช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องง่าย 

มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ติดตายคาซาก แต่กำลังทุรนทุราย กับสิ่งที่กำลังกดทับสมอง ให้ต้องหาทางหนีทีหลบ ไม่ให้เรื่องถึงตัว ป่านนี้ บ้านหลังใหญ่ รถหรู และเงินทอง เพชรนิลจินดาที่ได้มามันเริ่มส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จะเงียบ หรือจะออกมาบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบมันก็ลำบากเพราะซากมันทับกองพะเนิน 

หน่วยงานที่ทำหน้าที่สอบสวน อำนวยความยุติธรรมก็อ้ำๆอึ้งๆกันไปหมด ลูบไปตรงไหนก็ปะจมูก โดนปาก ใครต่อใครมากมาย ตอนนี้ ผู้คนก็ขยันเข้าช่วยขุดช่วยคุ้ย ตรงนั้นก็เจอ ตรงนี้ก็น่าจะใช่ ขนาดเก้าอี้หรูที่ซื้อจากอิตาลีก็จังมีคนขุดขึ้นมาถาม สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เขากำลังทำอะไร

บางคนก็โพล่งออกมาดังๆว่า มันน่าจะถล่มตอนที่พวกนั้นนั่งประชุมกันในตึก บนเก้าอี้หนังวัวราคาเหยียบแสน แล้วค่อยมาช่วยกันขุดพวกนั้นออกมาจากซากตึก 

ซากอิฐปูนพวกนี้ แม้จะขนออกไปสร้างตึกใหม่ขึ้นมาแทน แต่มันคงยังเป็นซากเดนในสังคมไทยๆไปอีกชั่วกาลนาน 

ขอให้ทุกดวงวิญญานที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไปสู่สุขคติ 😪


วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

จับมือใครดม

 


เหตุการณ์ทางพิเศษที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างถล่มที่ถนนพระราม 2 เกิดขึ้นซ้ำๆซาก จนเสียงที่อุทานผ่านสื่อออนไลน์ระงมไปหมดว่า แ.่ง อีกแล้วเรอะ! 

จับมือใครดมไม่ได้ ก็ไม่มีคำตอบให้สังคม บ้างก็ว่า เป็นเหตุสุดวิสัย โทษเจ้าแม่งูจงอาง โทษฟ้า โทษดินไปตามเรื่อง บ้างก็บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนผูกเหล็ก ว่าไปนู่น รัฐมนตรี โท เอก ก็ไถไปสีข้างแดงเถือก 

จริงอยู่ การเกิดอุบัติเหตุ มันไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่คาดคิด และไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าจะให้มันเกิด แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางป้องกัน ขั้นตอนแรก ก็ต้องสอบสวนกันอย่างละเอียด เพื่อจะตอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เอาใจช่วย สำหรับผู้สูญเสีย และผู้ที่กลายเป็นจำเลยของสังคมในยามนี้ ข่าวสองสามวันมานี้ สับสนอลหม่าน ยากที่จะเห็นว่า ใคร ดมมือใคร รอดมกันต่อไป





วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

จ่อว่าจะจับ VS ปรับโดยไม่ต้องจ่อ

 



ผมพูดถึงแง่มุมกฏหมายความปลอดภัยอยู่บ่อยๆ และมักจะหยิบยกการบังคับใช้กฏหมายความปลอดภัยมาเปรียบเทียบกันระหว่าง OSHA ของอเมริกา และ โอชา ของไทยแลนด์ (แต่น แต้น) ว่าเขามีลีลาในการลงดาบอย่างไร 
ก็ต้องบอกว่า ของ โอชา ไท้แลน เวลาจะลงดาบ ก็จะต้องฟ้อนไปรอบๆ มีดาบเล่มเบ้อเริ่มในมือ อย่างดาบในมาตรา 53 สามารถลงดาบนายจ้างที่ไม่ทำตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในกฏกระทรวง (ซี่งก็จะครอบจักวาลไว้หลวมๆ คลุมๆเครือๆ แบบว่าจะตีความให้หลุดก็ตีได้ จะตีความให้ จำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ก็ทำได้) แถมด้วยดาบมีดสั้นจากมาตรา 13, 16, 32 นี่ก็ไม่ธรรมดา จำคุก 6 เดือน ปรับอีก 200,000 ไหนจะมาตรา 14 ที่ปรับเพิ่มได้อีก 50,000 หากหมั่นใส้ ไล่ไปเจอว่าผิดหลายกฏกระทรวง ก็คูณเข้าไปสิ 

เครดิต 

แต่พอเอาเข้าจริง ไม่รู้ได้เคยลงดาบใครสักทีมั่งยัง สงสัยจัง ผมเข้าไปอ่านในเว็ปของ กอง มีเคสที่เขาเอามาโพส อ่านไปอ่านมาก็ยังกังขาว่า เอ เขาได้ลงโทษนายจ้างที่ละเมิดไปบ้างมั้ย รึว่าได้แต่จ่อ อี๊ แอ่ แอ๋ แอ่ แอ๋ รำป้อๆ ให้นักโทษเสียวแล้วเลี้ยวขึ้นรถตู้กลับออฟฟิศตึกเขียว 

แต่ของอเมริกาโน่น OSHA เขาไม่ได้ดุดันอย่าพวก เอฟบีไอ ที่ไปไหนๆยกบัตรให้ดู ถีบประตูแล้วตะโกนสั่ง ฟรี๊ซ ๆๆๆ พวกเขาไปตรวจ สถานประกอบกิจการ ไปเฉยๆ ไปตามที่มีคนร้องเรียน ไปตอนมีเหตุ ไปถึงก็ตรวจๆๆๆๆ เจออะไรก็จดๆๆๆๆ จดเรียงข้อ เรียงกระทง ถ้าอะไรที่เป็น การกระทำผิดแบบ สะเว็ป SVEP- Severe Violator Enforcement Program อย่างเช่น ไม่มีการตรวจเครน ไม่มี LOTOTO อันนี้เจอบ่อยๆ แบบนี้เขาสั่งปรับ ข้อหาละ 7000-8000 USD เรียกว่าปรับกันเห็นๆ ปรับขี้แตกขี้แตน แถมโพสให้เห็นเลยว่าข้อหาอะไร บริษัทอะไร ไม่มีหรอกไอ้ที่จะมาใช้ตัวย่อ บริษัท ช ผู้รับเหมา ห นาย Z โห่ย ไม่เชื่อลองคลิกไปดู

วัฒนธรรมความปลอดภัยที่สำคัญมากๆอย่างหนึ่งก็คือ ทำตามมาตรฐาน ไม่ลูบหน้าปะจมูก ไม่เงื้อง่าราคาแพง โปร่งใส 

รึใครเห็นเป็นอย่างอื่น คอมเมนท์กันมานะครับ 


วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

อบรมทำงานบนที่สูง

 



การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยที่ระทึกใจผู้เข้ารับการอบรมสุดสุด ที่ครูฝึกได้โชว์พราวด์ แสดงสตั้นท์โชว์เรียกเสียงฮือฮากรีดกร๊าด ก็มีหลายหลักสูตรทีเดียว แต่ละอย่างก็เสียวไปคนละแบบ อย่างอบรมความปลอดภัยการทำงานบนที่สูงนี่ก็ เน้น ให้ผู้เข้าอบรมใส่ Full Body Harness แล้วให้ได้มีโอกาสไปห้อยต่องแต่ง แล้วฝึกใช้ Rope Grab ใช้อุปกรณ์ในการหย่อนตัวลงมาให้ถึงพื้น เป็นไฮไลท์ ทำให้เรื่องสำคัญของการป้องกันอันตรายจากการทำงานบนที่สูงถูกละเลยไป เช่น 

การตกจากที่สูง ถ้าจะมองในแง่ความเสี่ยง จะเห็นว่า สามารถจัดการได้ทั้ง Likelihood และ Consequence  พูดง่ายๆ การป้องกันการตกจากที่สูงทำได้สองวิธี 

1. ปิดโอกาสไม่ให้เกิดการตกเสียตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะคนตก ของร่วง โครงสร้างถล่ม ด้วยการออกแบบ Safe Working Platform และเลือกใช้ให้เหมาะสม แบบนี้นายจ้างไม่ค่อยปลื้ม เพราะมันเปลือง ต้องใช้นั่งร้านมาตรฐานสูง ปูพื้นเต็ม ไม่มีช่องให้ของร่วง มี Toe Board มีราวกันตก มีบันไดทางขึ้นทางลงที่สมบูรณ์ เรียกได้ว่า เหมือนกับเดินจากชั้นหนึ่งขึ้นชั้นสองเลยทีเดียว วิธีนี้ถ้าไม่รวยจริง ไม่คลั่งเซฟตี้จริง ทำไม่ได้ ทางเลือกอื่นๆ ก็เช่น ใช้นั่งร้านแบบเคลื่อนที่ได้ ใช้รถกระเช้า Cherry Picker รถกระเช้าแบบ Scissor Lift ซึ่งก็ต้องหาซื้อหาเช่ามาอีกเหมือนกัน อุบกรณ์ MEWP-Mobile Elevated Platform พวกนี้จัดได้ว่าเป็น Safe Working Platform ถ้าใช้เป็น  

2. ถ้ามีงานที่ต้องออกไปทำนอกแบบที่ 1 เช่นปีนป่ายออกไปนอกราวกั้น ก็จัดได้ว่า Risk to Fall แบบนี้ มีโอกาสตกสูง แต่การตกนั้นจะไม่ตายแน่นอนถ้าไม่กระแทกพื้น กระแทกโครงสร้างอื่นๆ คุณว่าจริงมั้ย ลองคิดดิ ตกจากเครื่องบิน แต่ไม่ถึงพื้น จะตายมั้ย นั่นแหละจึงเป็นบทบาทของ Personal Fall Arresting System -PFAS ซึ่งก็ฝากชีวิตไว้กับ ABCDE- Anchoring Point, Body Harness, Connectors, Decelerating Devices, และสุดท้าย Emergency Rescue

มัวแต่เน้นเอามัน สาระสำคัญก็เมินไปเสียหมด แบบนี้ สู้เอาแมงมุมมากัด ให้ทุกคนกลายเป็นสไปเดอร์แมนดีกว่ามั้น พอตกขึ้นมาก็ ยื่นมืออกไป เอานิ้วกลางกดอุ้มมือ ฉีดใยแมงมุมปี๊ดๆออกไป ไม่ตายถ้าใยไม่หมด อบรมไป ถ้าละเลยข้อแรก ยังไงก็ตกลงมาตายอยู่ดี เหอๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2568

เรื่องของ สี่ผู้

 


ที่อับอากาศ เป็นมฤตยูที่คร่าชีวิตของคนงานเป็นอันดับต้นๆ พอๆกับการตกจากที่สูงและการถูกไฟดูด ไฟช๊อต ต่างกันนิดก็ตรงที่ว่า ที่อับอากาศมักจะตายคราวละหลายๆคน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

มันเป็นความเข้าใจผิดๆว่า เวลาเข้าที่อับอากาศ ต้องเข้าไปคราวละหลายๆคน เผื่อว่าเวลาเป็นอะไรจะได้ช่วยกันออกมาได้ 

อันตรายในที่อับอากาศมีสองลักษณะ คือ บรรยากาศอันตราย เช่นขาดออกซิเจน มีก๊าซพิษ ก๊าซไวไฟ  กับอีกแบบคือ สภาพอันตราย เช่นไฟรั่ว ไฟดูด หรือเครื่องถูกสตาร์ทขึ้นมาทั้งที่มีคนอยู่ข้างในบดจนเละเป็นเศษเนื้อ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเข้าไปกี่คน เวลาตายก็ตายพร้อมกันหมด

ร่างกายขาดออกซิเจน กล้ามเนื้อจะอ่อนแรง เพราะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆเป็นกล้ามเนื้อลาย ขาดออกซิเจนแค่ไม่เกิน 8 นาที ก็ไม่รอดแล้ว 

ส่วนก๊าซพิษ อย่าง ก๊าซไข่เน่า มันทำให้เราตายได้เร็วมากๆ ด้วยความเข้มข้นเพียงแค่ 15 ppm ในเวลาไม่เกิน 15 นาทีรับรองได้ ต้องห่อกลับบ้าน บางคนยังจินตนาการไม่ออกว่า ไอ้ก๊าซไข่เน่านี่จะไปหาดมได้จากที่ไหน ก็จะแนะนำว่า ลองนอนคลุมโปงแล้วตดรมควันตัวเองดู นั่นแหละมันเลย ก๊าซไข่เน่า ใครที่ชอบค้นคว้าก็นี่เลย ข้อมูลเกี่ยวกับตด  ก๊าซไข่เน่าฆ่าคนโดยไปยับยั้งการหารใจระดับเซลล์ แบบเดียวกับพวกไซยาไนด์เลยเชียว 

หากคุณอยากรู้ว่าในการตดแต่ละทีจะเกิดก๊าซไข่เน่ากี่พีพีเอ็ม ก็ลงทุนเครื่องวัดแก็สหน่อย เอาไปจ่อแล้วตดใส่ ดูซิว่าเข้มข้นเท่าไหร่ 


คนงานจำนวนไม่น้อย มาเข้ารับการอบรมที่อับอากาศแบบสี่ผู้ คือ ผู้อนุญาต ผู้ควบคุมงาน ผู้ปฎิบัติงาน และผู้เฝ้าระวังช่วยเหลือ ผมเพิ่มให้อีกสองผู้เลย คือ ผู้ต้องหา กับผู้เสียชีวิต 

กฏหมายที่อับอากาศ บังคับนายจ้างละเอียดยิบ สรุปใจความง่ายๆ คือที่อับอากาศห้ามเข้า จะเข้าต้องได้รับอนุญาต ใครอนุญาต ก็นายจ้าง ซึ่งไม่ค่อยเห็นว่าจะมีนายจ้างมาเรียนเป็นผู้อนุญาต ส่วนใหญ่ส่งลูกจ้างมาเรียน 

เข้ามาก็นั่งหงอยห่อเหี่ยว ถามว่าคาดหวังอะไร ก็ไม่หือไม่อือ บอกแค่ว่าอยากได้ใบเซอร์ หารู้ไม่ว่าใบเซอร์ที่ได้ มีคุกติดไปด้วย ใครที่เที่ยวไปเซ็นอนุญาตส่งเดช ระวัง คุกเห็นๆ ผู้ต้องหาเลยทีเดียว 

ที่อับอากาศมันไม่ใช่แค่ส่งคนมาเรียนเอาใบเซอร์ มันต้องทำอะไรหลายๆอย่าง (ที่นายจ้างไม่ค่อยอยากทำ) ที่ว่าไม่อยากทำก็เริ่มตั้งแต่

ไม่มีหรอกที่อับที่เอิบอากาศ บ้าไปแล้ว เรามีแต่ถังน้ำ นายจ้างและบรรดานายใหญ่ๆทั้งหลายจะเริ่มที่มุขนี้ก่อน ด้วยการตีตกว่ามันไม่ใช่ที่อับอากาศ 

ก็ในเมื่อมันไม่ใช่ ก็ไม่ต้อง ส่งคนไปเรียน ไม่ต้องตรวจร่างกาย ไม่ต้องระบายอากาศ ไม่ต้องวัด และอื่นๆ อีกมากมาย 

 ลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับที่อับอากาศก็ไม่มีปากไม่มีเสียง เครื่องวัดแก็สไม่มี พัดลมระบายอากาศไม่มี ก็ไม่ว่าอะไร กูก็เซ็นๆไปงานจะได้เสร็จๆ 

ส่วนคนงานก็เป็นผู้รับเหมา ส่วนใหญ่ก็แรงงานด่างด้าว พูดยังไม่ชัดเลย จะเถียงเป็นรึ

ผู้บังคับใช้กฏหมาย โอ่ย รายนี้ไม่ต้องพูดถึง เขามักจะจ่อเอาผิดนายจ้าง จ่อแล้วจ่ออีก จ่อจนกูเสียว เขาจะปรากฏตัวในชุดเสื้อกั๊กสีดำ เวลาเกิดเหตุแล้ว แถมมาช้ากว่าพวกอาสาสมัครกู้ภัยซะอีก 

ที่อับอากาศมีอยู่ทั่วไป บ่อพักน้ำเสียใต้ดินตามตลาด นี่ก็ตายมาเยอะ ท่อระบายน้ำ ที่เรามักจะเห็นเขาเอานักโทษมาลอกท่อ ลงไปตัวเปล่า ไม่มีอะไรเลย ส่วนใหญ่เป็นพวกหน่วยงานรัฐซึ่งบรรดา พรบ.และกฏกระทรวงไม่ได้บังคับใช้กับเขา 

ล่าสุดบ่อปลาร้า สถานประกอบการที่มีคนงานไม่ถึง 20 คน ไม่ต้องมี จป.อะไรเลย ก็เลยไม่มีใครบอกคอยเตือน 

นี่เป็นผลจากการจัดประเภทสถานประกอบการโดยใช้จำนวนลูกจ้างเป็นเกณฑ์ พอคนน้อยกว่าเกณฑ์ก็บอกว่าไม่ต้องทำ พอคนเป็นหมื่นๆ กลับบอกว่า จอปอวิชาชีพมีคนเดียวก็พอ โอวววว 

การเอาคนงานเข้าที่อับอากาศ ที่ยังไม่สามารถกำจัดบรรยากาศอันตรายจนหมด ก็สามารถทำได้อีก โดยบอกว่านายจ้างต้องให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่เหมาะสม ป๊าด เหมาะสมของใครล่ะทีนี้ 

เคยมีผู้จัดการคนหนึ่งเดินมาหาผมหน้าเครียด เขาเป็นฝรั่งเศษแต่พูดไทยชัดมาก เขาถาม ษมน ผมไม่ซื้อเครื่องวัดแก็สได้ไหม 

ทำไมล่ะโทนี่ ผมถาม 

มันแพง และก็เราไม่มีที่อับอากาศที่อันตรายอะไรมากมาย มีแต่พวกน้ำและสารเคมีธรรมดาๆ (น่าน) 

แต่เราต้องมีการตรวจอากาศก่อนการอนุญาตนะโทนี่ 

ผมจะเอาเครื่องวัดแสตกไปใช้ แทน 

โอว เครื่องนั่นมันไม่อ่านค่าตรงๆนะ ต้องเอาเข้าแลป ไปคำนวณอีกที แถมมันใหญ่มาก 

แต่มันแพง โทนี่ว่า 

เท่าไหร่ ผมถามไปงั้น เพราะรู้ว่ามันแพง อะไรที่เป็นของเซฟตี้ ภาษี 200 % บางอย่างต้องยุ่งยากในการขออนุญาตเพราะถูกจัดเป็นยุทธภัณฑ์ (ประเทศกูเลย) 

สี่เซ็นเซอร์ก็เกือบสี่หมื่นแล้ว โทนี่อ้อน 

เอาล่ะ โทนี่ ฟังนะ คนที่เซ็นใบอนุญาตทั้งหลายล่ะ ลูกน้องยูทั้งนั้น ไม่สงสารเขารึ เวลาเกิดอะไรขึ้น ลายเซ็นหราเลย เขาติดคุก และที่ว่าแพงน่ะ เมื่อคืนยูพาเอฟดีอาร์ (FDR)ไปเลี้ยง (พี่เฟรดเขาเป็น CEO) ยูเลี้ยงไวน์ไปกี่ขวดล่ะ ขวดละเท่าไหร่ แพงกว่าเครื่องวัดแก็สมั้ย 

โทนี่ไม่ตอบ เดินออกไปแบบเคืองๆ 


ผมก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในลิสต์ที่ต้องถูกปลดโดยเร็ว เพราะเหตุฉะนี้แล ดันไปขัดใจซีอีโอเข้า หุๆๆๆ ผู้ประสบภัย 

เจ้าที่แรง

 


เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายที่หลายแห่ง ที่ผมหาคำอธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุเพทภัยไม่หยุดหย่อน นอกจากจะต้องหันไปพึ่งความเชื่อเก่าๆว่า เจ้าที่แรง 

เหตุการณ์แรก ที่ยังฝังใจและสยองไม่หาย เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ผมต้องไปทำงานที่อู่ซ่อมเรือแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เรื่องเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ผมพยายามเขียนให้ได้อรรถรสเหมือนกำลังฟัง แถวนี้ผีดุ  ผมชอบรายการนี้มาก ฟังเพลินๆ ดึกๆ ผลอยหลับไป ตื่นมาอีกที ปวดฉี่ ก็เริ่มหลอนไม่กล้าออกไปเพราะกลัวผี 

ระหว่างที่กำลังจะไปประชุมที่อีเนอร์ยี่ (ควรจะอ่านว่า อีเนอจี้ มั้ง) คอมเพล็กซ์ ก็มีโทรศัพท์เข้าเมา ผมรับสาย "อาจ้าน สวัสดีค๊า " เสียงนั่นไม่คุ้น เบอร์ก็ไม่คุ้น แต่เรียกเราว่า อาจ๊าน แสดงว่า คงรู้จักเรา ไม่น่าจะใช่พวกคอลเซ็นเต้อ  ผมรับสาย ครับสัสดีครับ โดยไม่รอช้า เธอถาม อาจ๊าน สนใจจะทำงานกับเรามั้ยคะ ผมถามกลับว่า ที่ไหน แล้วรู้จักผมได้ไง เธอก็ตอบมาว่า อาจ๊านเคยมาสอน จอปอบริหารภาษาอังกฤษ เอ็มดีเป็นลูกศิษย์อาจาน เลยให้โทรมาชวน 

ชื่อเสียงอู่ซ่อมเรือนี่กระฉ่อนพอตัวในวงกสนเซฟตี้ ผมเองเคยเข้าไปสอบสวนอุบัติเหตุ คราวนั้นเกิดการระเบิดของแท่นรองทำงาน จากการรั่วของแก็สอะเซทิลีน ตายไปสามศพ ต่อมาก็มีฝรั่งที่เคยเป็นเซฟตี้เมเนเจอร์ที่นั่นมาทำงานที่บริษัทแก็สที่เดียวกับผม เรียกว่า ที่นั่นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่คำว่าเอ็มดีให้โทรมาชวน ประจวบกับเรากำลังตกงาน เลยตอบตกลงไปทันที ตัดฉากไปที่ 

สัปดาห์แรกของการทำงาน หลังจากที่ผมซื้อพวงมาลัยธูปเทียนไปกราบคารวะเจ้าที่ ก็ได้เวลา เซฟตี้ทอร์ค ของแผนก พวกเรา รวมถึงผมด้วย กับทีมงานเกือบ 20 คน ยืนล้อมวง พยาบาลที่พวกเราให้ความเคารพ เพราะนอกจากผมแล้ว แกน่าจะอาวุโสสุดในวง แกเริ่มก่อน 

หัวหน้าคะ เมื่อคืนมีเคสค่ะ เย็บไปแปดเข็ม หัวหน้าจะให้รายงานเป็นอะไรค๊า แกรายงานเสียงแจ๋ว ยิ้มๆ 

เย็บก็ต้องเป็นเมดิคอลทรีทเมนท์สิครับ ผมตอบ 

ไม่ใช่ค่ะหัวหน้า หนูนี่แหละเป็นคนเย็บ ไม่ได้ส่งโรงพยาบาล เราเย็บในห้องพยาบาลเรานี่แหละ 

ผมคิดว่าเธอน่าจะรู้ว่า การเย็บเป็นการบาดเจ็บขั้น Medical Treatment Case ผมย้ำอีกที ว่า มันคือ Medical Treatment Case ครับ ผมตอบ 

หัวหน้า 

เจ๊แกครางออกมา ไม่ได้ว่าอะไรต่อ 

วันรุ่งขึ้น 

หัวหน้าค๊า เมื่อคืนมีเคสค๊า เย็บไปสิบแปดเข็ม 

ผมถาม  ทำไมรึ เคสเมื่อวานแวะมาขอเย็บเพิ่มอีกสิบเข็มรึไง ผมถามปนขำ 

ไม่ใช่ค่ะ เป็นคนละเคส 

งั้นก็ Medical Treatment Case ครับ 

หัวหน้า เสียงครางพร้อมกัน ผมหันไปถาม ทำไมรึ มีอะไร 

หัวหน้าครับ โบนัสเราเหลือสามพันเองนะครับ ถ้าแตกอีกเราไม่เหลือแล้วนะครับ 

สายของวันนั้นมีการประชุมผู้บริหาร ผมขึ้นไป ในนั้นมีหญิงวัยใกล้เกษียนคนหนึ่ง หลังจากรับผมมาทำงานแล้ว แกดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แกบอกว่า คุณษมน เซฟตี้พรีเ๙้นท์ได้ไม่เกินสามสไลด์นะ อย่ายาว 

ผมเริ่ม เรามี Medical Treatment Case สองครั้งแล้วครับในรอบสัปดาห์ 

หญิงแก่นั่นตบโต๊ะ คุณษมน อย่ามาทำตัวเป็นครูบาอาจานที่นี่นะ เราไม่เคยมีอุบัติเหตุเลย 

ผมนึกในใจ ตายห่า กูเป็นตัวซวยรึนี่  แต่ในใจผมคิดว่า กูไม่เชื่อหรอก ว่าไม่เคยมีเคส แต่ขี้เกียจเถียง ได้แต่นึกว่า ฮ๊าจริงดิ 

หลังจากนั้น ก็มีคนจากแผนกป้าแกมาป้วนเปี้ยนหน้าห้องผมทุกวัน มาพูดทำนองว่าป้าแกไม่ปลื้ม และเที่ยวย้ำกับลูกน้องผมว่า หากผมยังทำงานแบบนี้ จะไม่ผ่านโปร คือไม่ลงให้แกจะไม่ผ่านโปร ว่างั้น เวลาผมจะไปเดินดูงานข้างนอก สมุนแกจะมาพาไปเดิน ไม่ปล่อยให้เดินเอง พาไปแป็บๆ ก็พากลับมาส่ง สงสัยจะกลัวเราหลงมั้ง ผมไม่ชอบวิธีแบบนี้ วันหนึ่งเลยใส่ชุดหมีแดง เหน็บวิทยุติดเอว ออกหน้างาน ไม่รอใครพาไปเดิน ผมลงไปในอู่ มีคนงานป้วนๆเปี้ยนมาแอบมอง แต่ไม่กล้าเข้ามาคุย จนกระทั่ง

หัวหน้าคั่บ เสียงเหน่อๆทักมา คนงานระดับหัวหน้า ทักมา แกดูลับๆล่อๆ หัวหน้ามาใหม่เหรอคั่บ แกถาม พร้อมจ้องหน้าผมอย่างสนใจ ครับ ผมตอบ 

ผมว่า หัวหน้าไม่น่าจะอยู่ได้เกินสองอาทิตย์ครับ แกว่า อ้าวทำไมล่ะ ผมถาม โดยไม่รอคำตอบ ก็ที่นี่ไม่มีอุบัติเหตุเลยไม่ใช่รึ แถมได้รางวัลสถานประกอบการดีเด่นระดับเพชร 

โอยยย แกคราง เอาเคสไหนล่ะครับหัวน๊า เอามาสักเคสนึง ผมถาม 

มีพนักงานคนนึง นอนหลบแดดหลังพักเที่ยง จู่ๆ รถฟอร์คลิทฟ์มา ซูมมมม แกทำเสียง เอาไปเลยยยย

ตายไหม ผมถาม โอยยยหัวหน้า แล้วแกก็เล่าอีกหลายเรื่อง ลงเอยที่ เซฟตี้คนก่อน มาอยู่ได้ไม่ถึงเดือน ถอดชุดหมีกองไว้ เอาวิทยุวางไว้ แล้วไปเลยยย  

อือ สงสัยเจ้าที่จะแรง ผมนึกในใจ  

หลังจากที่ผมได้ถอดชุดหมี เอาวิทยุวางไว้ตรงกลาง แล้วขับรถออกมาจากที่นั่น โดยได้ส่งอีเมลล์ลาป้าแกและสำเนาไปถึงเอ็มดี ขออภัยที่ไม่ได้มีโอกาสทำงานให้อย่างที่ตั้งใจ และย้ำเตือนไปว่า ถ้าองค์กรยังปล่อยให้เจ้าที่มายุ่มย่าม ทำให้เกิดการซุกซ่อนไม่รายงานแบบนี้ วันหนึ่งจะถึงยอดปิระมิดเข้าจนได้ ผมยังได้ส่งอีเมลล์หาเซฟตี้ไดเรคเตอร์ ที่เป็นคนสิงคโปร์ แล้วก็ร่ำลากันทางดิจิทัล เจ้าที่แรงขนาดนี้ อยู่ด้วยไม่ไหว มันสยอง

ต่อมาผมก็ได้ไปเจอกับสถานที่อีกแห่ง ที่เจ้าที่แรงไม่แพ้กัน 

มันเป็นช่วงโควิด แต่ผมได้ไปเริ่มงานกับบริษัทผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ยี่ห้อหนึ่ง มันเป็นตำแหน่ง Regional Safety Manager ครอบคลุมหลายประเทศ รวมถึงออสเตรเลีย สิงค์โปร์ และนิวซีแลนด์ 

ผมเริ่มรู้สึกพลังงานบางอย่างระหว่างการถูกพาไปแนะนำตัวให้ทีมผู้บริหารของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่นั่งทำงานของผม มันเป็นโรงงานที่สระบุรี 

ในห้องประชุม มีผู้ชายชาวมาเลย์เชื้อสานอินเดีย ยืนพูด ปนไปกับการด่าตะวาด ตะคอก คนที่อยู่ในห้องนั้น ซึ่งมีทั้ง ผู้จัดการโรงงานและบรรดาหัวแถว โรงงานนี้มีโรงงานย่อยๆอยู่เจ็ดโรง มีโกดังอยู่ในพื้นที่ใหญ่มากในแก่งคอย เขาด่าคนของเขาพักใหญ่แล้วก็เอ่ยแนะนำว่า นี่คือ Regional Safety Manager คนใหม่ เขามาอาศัยนั่งทำงานที่นี่ แต่งานของเขาไม่เกี่ยวกับเรา ฟังดูคล้ายๆจะกีดกันกูตั้งแต่แรกเลยว่างั้น 

โควิด มันทำให้เราไปไหนไม่ได้ ส่วนเราก็อดไม่ได้ที่จะไปเดินดูนั่นดูนี่ ยิ่งเดิน มันก็ยิ่งเห็น ยิ่งเห็นเราก็ยิ่งกังวล ว่าถ้าเป็นแบบนี้ มันจะเกิดอุบัติเหตุเข้าจนได้ ความที่ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งใต้ปีกเรา อดไม่ได้ที่จะถามและตรวจสอบ เจ้าที่ก็เริ่มไม่พอใจ 

พี่ๆ เขา (หมายถึงนายคนนั้นที่ทุกคนกลัว) เขาฝากมาบอก ว่าถ้าพี่นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ เขาจะเตะพี่ไปนั่งที่อินโดนีเซีย 

เสียงกระซิบนั่นทำให้ผมโมโหจัด ประจันหน้ากับเขาคนนั้นเข้าอย่างจัง ส่วนเขาก็ถือว่าใหญ่สุดที่นั่น เขาก็ยื่นข้อเสนอว่า เอางี้ละกัน ถ้าคุณอยากเดินดูโรงงานเรา ฉันจะให้ผู้จัดการฉันพาเดิน พูดง่ายๆคือ อย่าเที่ยวไปเดินเพล่นพล่านตามอำเภอใจ ผมก็ยินดี เลยทำเป็นตารางออกมาเลยว่าจะไปดูโรงไหนวันไหน โอแม้เจ้า  ตารางของผมมันได้สร้างปรากฏการณ์ทำให้มีการล้างพื้น ทำความสะอาดกันมโหฬาร ก่อนคุณษมนจะเดินโรงงาน 

เหตุการณ์ปลูกผักชีมันดำเนินไปพักหนึ่ง มันก็มาถึงจุดที่ปลูกไม่ไหว อยากเห็นอยากดูอะไร เรื่องของมึงเลย

ผมไปเจอการปล่อยน้ำเสียที่ไม่บำบัดออกไปทางรางระบายน้ำ ไหลพลั่กๆ ลงไปในคลอง จากนั้นก็ไปแม่น้ำป่าสัก เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อม แอบเอารายงานมาให้ดู ก็พบว่า ทำมาตั้งแต่ปี 2019 ปีหนึ่งก็จะปล่อยเดือนละ แปดเก้าครั้ง  การเผชิญหน้าเริมปะทุขึ้น ไม่ใช่กับไอ้แขกมาเลย์นั่น แต่เป็นเจ้านายมัน คนอังกฤษ เข้ามาประทะคารมกับผม จนถึงขั้นขู่ว่าจะไล่ออก ผมก็เลยถามไปว่าไล่ออกด้วยสาเหตุอะไร ไม่ใส่ชุดยูนิฟอร์มเนี่ยนะ มันโกรธจนหัวล้านแดงก่ำ เดินกระแทกเท้ากลับไปที่ห้อง (ห้องทำงานผมอยู่ติดๆกับเขา) สักพักเดินกลับมาใหม่ หัวล้านกลับมาเป็นสีชมภูเรื่อๆ น่าจุ๊บสักจ๊วบ กลับมาขอจับมือ ขออภัยที่ใช้อารมย์ แล้วขอร้องผมว่าอย่าไปถือสาไอ้แขกนั่น มันเป็นคนดีหยั่งงั้นหยั่งงี้ มันทำงานจนถุงเท้าหลุด   ผมนึกในใจ ส่วนสาวๆที่ทำงานให้มัน ก็ขยันจน เสื้อผ้าหลุด พอกันเลย เฮ้อ  คนเล่นของนี่น่ากลัวจัง 

ผมเริ่มสอบสวนเรื่องนี้ โควิดยังไม่จบ 

วันนั้น เป็นวันที่ผมครบรอบจะได้รับการรีวิวผลการทำหน้าที่กับหัวหน้าที่อเมริกา เขาออนไลน์เข้ามาแวบหนึ่งถามว่า HR มาหรือยัง ผมก็งงว่า Performance Review ทำไมต้องมี HR

วันนั้น ผมถูกเลิกจ้าง โดยเขาแจ้งว่า บริษัทได้ตัดสินใจยุบหน่วยงาน Regional Safety APAC แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจ้างคุณอีก HR เตรียมเอกสารเลิกจ้างมารอ ผมก็ได้แต่พยักหน้า อือๆ โอเค คืนของก็คือ กุณแจห้องทำงาน กุณแจหอพัก สติกเกอร์ติดหน้ารถ แล้วก็ขับรถกลับบ้าน 

ที่นี่เจ้าที่แรง ได้ยินมาว่า มีหัวหน้าสาวๆหลายคนโดนของดำ แต่ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นถึง ผู้จัดการไปหลายคน คนไหนมีท่าทีไม่ยอมก็จะถูกคุณไส เสือกไสกดขี่จนอยู่ไม่ไหวก็จะต้องหายหน้าหายตาไป ผมเป็นคนที่กลัวเรื่องเจ้าที่เจ้าทางอยู่ก่อนแล้ว แต่พอมาได้ยิรเรื่องการเล่นของ เสกของดำเข้าตัว ผมนี่กลัวขี้แตกเลย รีบขับรถกลับบ้าน ใจนึงก็นึกขอบคุณ ที่รอดมาได้ โอแม่เจ้า เจ้าที่แรงจริง 




วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2568

เมื่อ AI ต้องอ่านภาษาไทย


ตอนเด็กๆ เวลาร้องเพลงหน้าเสาธง จะมีอยู่ท่อนหนึ่งที่เราจะต้องตะเบ็งสุดเสียง ตัวตรงแหนว มือทาบข้างลำตัว  

"สะหละอะเหลือดทูกหยาดเป็นชาดผี" การเรียนภาษาไทยสำหรับเด็กไทยที่ลืมตาตื่นก็ได้ยินภาษาไทย พูดไทย เพลงไทย ฝันยังเป็นภาษาไทย ก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะอาศัยเลียนเสียงเอา พอโดขึ้นมา ก.เอ๋ย ก ไก่ ก็เริ่มเป๋ เพราะหลักการหลักเกณฑ์ภาษาไทยมันยุบยับ ข้อละเว้นมากมาย และความที่ภาษาไทยเป็นภาษาที่ผันเสียงได้มากมาย สูง กลาง ต่ำ มีพยัญชนะ ถึง 44 ตัว ในจำนวนนั้นมีตัวที่ไม่เคยใช้ในชีวิตประจำวันตั้งหลายตัว มีสระ (สะหระ) อะ อา อิ อี อึ อือ มี ลึ ลือ รึ รือ มีการันต์ 

ที่บอกว่าหลักการเยอะมาก บางครั้งสระก็ล่องหน เหลือไว้แต่เสียง อย่างเช่นคำว่า งง งอโอะโงะ  โงะงอ งง แต่คำว่า นว กลับไม่อ่านว่า โนว แต่อ่านว่า นะวะ อย่างคำว่า โรจนะ อ่านว่า โรด จะ นะ แต่พอเติมการันต์บน นอหนู กลายเป็น โรจน์ อ่านว่า โรดเฉยเลย ไม่ยักอ่านว่า โรดจะ ฟังแล้วเป็นไง งะงะไหม (งงหมัย) เอาเป็นว่า ตามความเห็นส่วนตัว ผมว่าภาษาไทยยาก เข้าใจยาก  

พอถามเซ้าซี้เข้าก็บอกว่า คำนี้เรายืมเขามา ยืม เขมรมั่ง ยืมบาลี ยืมสันสกฤตมั่ง เอาจริงๆที่เป็นคำไทยจริงๆมีกี่คำ  ไม่ใช่ผมคนเดียวที่บ่น เขาบ่นกันทั่วโลก คล๊กเฮีย

สมัยนี้ จะเอาลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลที่เป็นโรงเรียนรัฐบาล (รัดถะบาน) พ่อแม่ต้องส่งลูกไปกวดวิชา หนึ่งในนั้นคือภาษาไทย ปัญหาเกิดเลยทีนี้ แค่สะกดคำ ก็ตายแล้ว สระในภาษาไทยมี 21 รูป แต่ทำเสียงได้ 32 เสียง โอ โอ่ โอ้ โอ๊ โอ๋ กู จะ จ่ะ จ้ บ้า แถมบางคำพอสะกดเสร็จ ลูกถามว่ามันตืออะไร  

ความหวังว่าลูกจะพูด อ่านเขียนไทย มันดูจะริบหรี่ (คำนี้เอไอมันอ่านว่า หะริบหะรี่) เห็นแล้วปวดกบาล (เอไอมันอ่านว่า ปะวะดกบาล) เรียนเสริมไปหลาย ชม. (เอไอมันอ่านว่า ชม) 

พูดไทยคำอิงลิชคำเขาก็ว่าดัดจริต พอถามว่า จะหริดแปลว่าอะร้าย เขาก็ไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่น ข้อหาไม่รักษ์ เอ๊ะทามมายต้องมี สอรึสีการัน(ต์) เขาก็ด่าให้ว่าไอ้โง่ นั่นมันแปลว่า รักษา อ้าว ทามมายไม่เขียนว่า ไม่รักสาไปเล้ยงง 

ของบางอย่างถ้ามันยากมาก เด็กรุ่นใหม่มันก็ไม่อยากเรียน มันไม่อยากใช้ มันเลยเกิดคำใหม่ๆที่เด็กๆมันคิดขึ้นมาสื่อสารกัน บางคำก็ฮิตพักหนึ่งแล้วก็หายไปพร้อมๆกับเด็กรุ่นนั้นกลายเป็นคนแก่หัวหงอก อย่างคำว่า หลี เป็นคำฮิตสมัยผมเรียนปีหนึ่ง ขี้หลี ไอ้ขี้หลี สมัยนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งนัก จนมีเพือนสองคน มันเป็นคู่หูกัน คนหนึ่งมันชื่อไอ้หง อีกคนมันชื่อไอ้หลี ไอ้สองคนนี่ทำให้เราเข้าใจคำว่าหลีดีขึ้น 

ภาษาไทยมี แม่หลายแม่ แม่กก แม่กด แม่กง แม่กม แม่เกย แม่เกอว อีแม่สุดท้ายนี่ถ้าเอาไปให้เอไอมันอ่าน มันต้องออกเสียงไม่เป็นเลย สงสารอีสิริ เวลามันพยายามบอกทาง ถนนหลายสายสิริออกเสียงผิดไปหมด อย่าง พหลโยธิน ประดิษฐ์มนูธรรม รามอินทรา บูรพาวิถี 

ใครเคยเจอปัญหาเรื่องภาษาไทยในงานเซฟตี้ ก็เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ 


วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2568

ติดคุกเพราะชำนาญการ

 พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มีข้อกำหนดมากมายหลายมาตรา รับกันมาเป็นทอดๆ ไล่ไปตั้งแต่มาตรา 4 ที่เขียนนิยามของคำว่า ความปลอดภัยเอาไว้ชัดเจน จนไม่จำเป็นต้องมาเถียงกัน อะไรที่มันเป็นสภาพหรือการกระทำที่จะก่อให้เกิดอันตรายทางร่างกายและหรือจิตใจ มันก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น ต่อมาก็สำทับด้วยมาตรา 6 หน้าที่นายจ้างและลูกจ้าง ทำให้สถานประกอบกิจการปลอดภัย นายจ้างหัวหมออาจจะตั้งคำถามว่า ทำยังไงให้ปลอดภัย เขาก็เขียนมาตร 8 ดักคอไว้ว่า ให้ทำตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง คราวนี้ก็ตบท้ายด้วยบทลงโทษว่าถ้าไม่ทำตามมาตรา 8 จำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนมาตรากระจุกกระจิกอย่างมาตรา 13 ที่ให้ต้องมี เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย มีบุคคลากร หน่วยงาน ก็ล้อไปกับมาตรา 16 ที่ต้องให้การฝึกอบรมคนพวกนั้น มาตราเหล่านี้ทำให้นายจ้างยิ้มกริ่มเพราะตัวเองก็แค่ส่งคนไปเรียน ได้ใบเซอร์มาก็จบ ส่วนจะทำหรือไม่ทำนั่นมันเรื่องของอั๊วะ สองมาตรานี้รวมกับมาตรา 20 และมาตรา 21  ทำให้สิ่งที่เขียนในมาตรา 14 ที่บอกว่านายจ้างต้องบอกต้องแจ้งให้ลูกจ้างรู้ถึงอันตรายและมาตรการควบคุมก่อนให้ไปทำงานที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หน้าที่ในมาตรานี้มันถูกถ่ายไปอยู่บนบ่าของบรรดา จอปอ หัวหน้างานและจอปอบริหาร จอปอเทคนิคและ จอปอวิชาชีพจนหมดแล้ว ยังไงเสียนายจ้างก็คงโดนเล่นงานด้วยมาตรา 14 ค่อนข้างยาก นายจ้างก็แค่ทำหน้าเศร้าแล้วบอกว่า เราให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยมาก แต่น่าเสียใจที่หัวหน้างานและคนงานละเลยไม่ทำตามมาตรการ


ส่วนหน่วยงานราชการก็อ้างได้ว่ามาตรา 32 ที่ให้นายจ้างประเมินอันตราย ศึกษาผลกระทบและทำแผนดำเนินการแผนควบคุมนั้นก็เพียงพอแล้วในการกำกับดูแลในฐานะผู้ถือกฏหมาย มาตรานี้ยังกำหนดให้ต้องมีคนมาลงนามรับรองว่าแผนเหล่านั้นมีประสิทธิภาพ คนๆนั้นเขาชื่อว่า นาย "ผู้ชำนาญการด้านความปลอดภัย"



ผู้ชำนาญการด้านความปลอดภัย ถูกพูดถึงไว้ในมาตรา 32 มาพักใหญ่ๆ จนกระทั่งเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2567 ก็มีกฏกระทรวงออกมา กำหนดคุณสมบัติว่าคนที่จะเป็นผู้ชำนาญการความปลอดภัยได้ต้องเป็นยังไง อ่านไปอ่านมา จอปอเทคนิคก็เป็นผู้ชำนาญการได้ด้วยเรอะ โอพระเจ้าช่วยกล้วยทอด นี่มันอะไรกัน แบบนี้ ไม่ต้องมีมาตรา 32 หรอก เพราะมีก็เหมือนไม่มี นายจ้างยิ้มสิครับงานนี้


อยู่ดีๆก็มีคนมาติดคุกแทนตามมาตรา 69 ไอ้คนที่เซ็นรับรองมั่วๆ ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบแล้ว เห็นชอบ ระวังให้ดี ไปๆมาๆ ไอ้ที่เขาบอกว่าพวกเซฟตี้นี้แหละต้องติดคุก มันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาซะแล้ว ติดคุกเพราะชำนาญการ


มาตรา ๖๙ ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดเป็นนิติบุคคล ถ้าการกระทําความผิดของนิติบุคคลนั้น เกิดจากการสั่งการ หรือการกระทําของบุคคลใด หรือเกิดจากการไม่สั่งการ หรือไม่กระทําการอันเป็นหน้าที่ ที่ต้องกระทําของกรรมการผู้จัดการหรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้น ผู้นั้นต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สําหรับความผิดนั้น ๆ ด้วย


ส่วนผู้ชำนาญการอาจจะโดนข้อหาอื่นๆ เช่น ออกเอกสารอันเป็นเท็จ กระจุกกระจิก ตราบใดที่นายจ้างยืนกระต่ายขาเดียวว่าได้ทำตามที่ผู้ชำนาญการรับรองให้แล้วอย่างครบถ้วน ที่หายหกตกหล่นไปก็เป็นความบกพร่องของหัวหน้างาน ผู้จัดการ และเซฟตี้สุดหล่อปากแจ๋วนี่แหละ

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2568

ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัยพักพิง เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม การสืบพันธุ์ การพักผ่อนหลับนอน เรียกง่ายๆว่า ท้องอิ่มนอนหลับแค่นี้ก็หรูแล้ว 

ลำดับถัดขึ้นไปอีกนิดก็ เซฟตี้ ก็จะเริ่มถูกระลึกถึง ความปลอดภัยในครอบครัว ความมั่นคงในงาน ความมั่นคงในฐานะทางการเงิน ความมั่นคงทางอารมย์ เรียกว่า ถ้าท้องยังไม่อิ่ม มันก็หนีไม่พ้น ต้องดิ้นรนหากิน จะให้ปลอดภัยนักหนานั้นไม่ง่าย บางคนต้องทำงานเสี่ยงๆ เขาสั่งให้ไปทำก็ต้องไป อย่างที่เห็นอุบัติเหตุมากมาย คนงานถูกสิ่งต่างๆถล่มทับ ถูกสารพิษคร่าชีวิต ถ้าพวกเขาเลือกได้ เขาต้องเลือกชีวิตตัวเองก่อน สำหรับพวกเขา มันเลือกลำบาก 

ลำดับถัดขึ้นไปอีก ก็เปผ้นอารมย์คนรวย เรื่องหิวโหยไม่มี ที่กำลังโหยหาคือความยอมรับทางสังคม ความสัมพันธ์ในครอบครับ เพื่อนฝูง กดไลค์กดแชร์ การได้โชว์ ได้รับเสียงเชิดชู หูหูย ลำดับนี้ เรื่องเซฟตี้ก็รองๆไปแล้ว โดยเฉพาะเซฟตี้ของลูกจ้าง ถ้าจะต้องทำให้เซฟตี้ เขาจะเลือกอย่างอื่นที่ได้หน้าได้ตามากกว่า 

เลยไปจากนี้ก็ออกแนว สนองความอยาก เช่นอยากบรรลุ อยากสุดยอด อยากได้ไปยืนบนยอดเขาเอเวอรเรสท์ อยากกระโดดร่มแล้วดูดไอติมไปด้วย อยากให้โลกรู้ ว่ากูนี่สุดยอดแล้วโว้ย 


โรงงานขนาด 20-50 คน ส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมครอบครัว มีไม่มากที่ผ่าน Basic Needs ยังขายไม่ดี ยอดขายไม่พุ่ง มีดอกเบี้ยต้องจ่ายแบ้งค์ ใช้แรงเป็นหลัก เครื่องจักรที่มีก็ไม่สมบูรณ์ อย่าพูดถึงเรื่องเซฟตี้ให้เจ็บคอ ถ้ากฏหมายไม่บังคับ หรือบังคับแบบพอไปที ยังไงเซฟตี้ก็ไม่สำคัญเท่าท้องอิ่มนอนหลับหรอกคุณ โรงงานขนาดใหญ่ พวกเขาโหยหาหน้าตาทางสังคม เน้นไปในเรื่องความยั่งยืน คาร์บอนเครดิต ไปโน่น ในขณะที่คนงานยังต้องเผชิญกับเครื่องจักรอันตราย เครื่องมือที่ทำขึ้นเอง แอบปล่อยน้ำเสียลงแม่น้้ำ เพราะสิ่งเหล่านี้ พวกเขามองไม่เห็นความจำเป็น พอเริ่มรวย เซฟตี้ก็ยังถูกมองข้ามอยู่ดี เพราะเจ้าของเขาไม่ใช่คนที่จะมานิ้วกุด แขนขาด ตายตกหกหล่น คนที่เจ็บที่ตายเป็นคนงาน ที่ยังไงเสียพวกเขาก็มีปัญญาจ่ายอยู่ดี แต่สิ่งที่พวกเขาโหยหากลับเป็นความต้องการลำดับที่เหนือขึ้นไป พวกเขาต้องการสายสัมพันธ์ การมีที่ยืน ต้องการเป็น สส. สว. เป็นนักการเมือง เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นแรงขับให้บรรลุจุดสุดยอด 


วันที่ 3 ธันวาคม 1984 เกิดการรั่วไหลของแก็ส MIC- Methyl Isocyanate จากโรงงานของบริษัทยูเนี่ยนคาร์ไบด์ คร่าชีวิตคนอินเดียไปประมาณ 15,000 คน ตัวเลขนี้ไม่เคยตรงกัน จนป่านนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นความสูญเสียอย่างมโหฬาร ระบบความปลอดภัยที่ล้มเหลว การออกแบบที่ไม่ดีพอ การบริหารจัดการที่ล้มเหลว และการขาดความรู้ความเข้าใจของคนงานเอง เหล่านี้เป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดเหตุการที่เลวร้าย 

โรงงานยูเนี่ยนคาร์ไบด์ สมัยนั้นก็เหมือนกัยมาบตาพุดสมัยโน้น ใครได้เข้าไปทำงานที่นั่น แค่ได้ใส่ยูนิฟอร์มก็หรูหราหมาเห่าแล้ว มันอยู่กลางเมือง ผลิตยาฆ่าแมลง อย่างเซวิ่น ที่โด่งดังในบ้านเรา กระบวนการผลิตต้องใช้สาร Methyl Isocyanate ซึ่งเมื่อทำปฎิกิริยากับน้ำมันจะเดือดพล่าน เกิดความร้อนและกลายเป็นแก็สพิษที่ลอยปกคลุมพื้นที่ ในคืนนั้นมันรั่วออกมา ระบบหล่อเย็นไม่มี ระบบเอาแก็สพิษขึ้นเผาทางปล่องไม่มี ระบบ Scrubber เล็กเกินไป และที่แย่ไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันคือแก็สอะไร มันคือของลับ มีหนังเรื่อง The Prayer For The Rain   ที่นำเหตุการณ์แก็สรั่วที่โบพาลมาบอกเล่าได้อย่างละเอียดละออ พระเอกของเรื่องเป็นเซฟตี้ ที่เถียงกับผู้จัดการโรงงาน แล้วถูกสวนกลับว่า อดตายกับอุบัติเหตุ คุณจะเลือกอะไร คือประมาณว่า มึงพูดมาก เดี๋ยวกูก็ไล่ออกเสียหรอก

หลายปีก่อน ระหว่างที่ผมกำลังทำงานอยู่ที่โรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งในมาบตาพุด ก็ได้รับโทรศัพท์จาก อาจารย์จงรักษ์ ผลประพฤติ ขณะนั้นท่านเป็นคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรำไพพรรณี ท่านโทรมาชวนว่า เขาจะมีการประชาพิจารณ์กันเรื่องโรงงานจากอินเดีย จะไปสร้างที่แหลมสิงห์ อยากชวนผมไปฟัง ไปครับลุง ผมรับปาก แล้วแกก็มารับ 

วันนั้น โรงงานที่ว่า เขาจะผลิตสาร Epichlorohydrin ซึ่งเป็นสารตั้งต้นทำพวก Epoxy Resin โดยมีกระบวนการผลิตที่ไม่สลับซับซ้อนอะไร ใช้แก็สคลอรีน ใช้กรดไฮโดรคลอริค แต่ที่น่าสนใจ มันเป็นสารก่อมะเร็ง คุณอาจจะทำคอย่นแล้วเถียงแทนว่าแหม ทำสำออย อะไรมันก็ก่อมะเร็งทั้งนั้น 

วันนั้นผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งกำลังอธิบายเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยของโรงงาน สาธยายระบบการจัดการเวลามั่นรั่วไหล คนในห้องประชุมมีสองพวก คือพวกอยากได้โรงงาน เพราะรวยจากการขายที่ขายดินการถมที่ กับอีกพวกที่มีฟาร์มปลา และที่ไร่ที่สวน ที่ท่องเที่ยวเขาไม่อยากได้ มีการเถียงการถามกันไปมา

อาจารย์ท่านนั้นเมื่อบรรยายจบก็เปิดโอกาสให้ถาม ผมก็ถามไปว่า ทำไมถึงมาตั้งที่แหลมสิงห์ ทำไมไม่ตั้งในมาบตาพุตซึ่งถ้าเทียบกันเมืองจันทบุรีไม่น่าจะเหมาะ จันทบุรีพร้อมรับเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดแล้วหรือ อย่างเช่น รถบรรทุกแก็สคลอรีนพลิกคว่ำแก็สรั่ว 

อาจารย์ท่านนั้นย้อนมาว่า คุณจบอะไรมา แก็สคลอรีนมันหนักกว่าอากาศ รั่วออกมาก็แค่ยืนขึ้นเอาผ้าชุบน้ำปิดปากปิดจมูกแค่นี้เอง 

ผมก็บอกไปว่าจบอะไรมา แล้วย้อนถามไปว่า อาจารย์ลืมไปแล้วหรือว่าคนแก่ เด็กเล็กๆ พวกนี้เขาจะรอดรึ และที่สำคัญ อาจารย์ลืมเหตุการณ์ที่โบพาลไปแล้วรึ 

คงมีแค่เราสองคนที่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร ระหว่างนั้น การถกเถียงเริ่มเสียงดัง ผมเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่ง เอาวัตถุสีดำมะเมื่อมขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วตวาดว่า กูไม่สนโว้ยนี่มันเรื่องของคนจันทบุรี ใครไม่ใช่อย่าเสือก 

ผมหุบปากเงียบ สะกิดลุงจงรักษ์ว่าลุงๆ ไปเหอะ อย่าไปยุ่งกะเขาเลย ปล่อยให้เขาสูดกันไป ผมไม่อยากตายเพราะแพ้พิษสารตะกั่ว ว่าแล้วเราก็กลับกันแนบ