วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

មិនអាចសើចបានទេ

 មិនអាចសើចបានទេ ភាសា

จะตีกันทำไม

ในขณะที่เศรษฐกิจไทยก็แสนจะทุเรศทุรัง การเมืองก็วุ่นวาย ทั้งฮั๊ว สอวอ ทั้งหลวงพ่อหลงเสียงนาง ตึกถล่มยังจับมือใครดมไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราว ชั้นสิบสี่ก็จ่อๆจะฟ้อง รอสอทอชอก็ตีกันหัวร้างข้างแตก ไหนจะตึกประกันสังคมราคาเกือบหมื่นล้าน แล้วก็มาเรื่องไทยเขมรตีกัน เอาเข้าไป

ไปตลาดก็เจอพ่อค้าแม่ค้าทาแป้งทะนาคา ไปโลตัส ก็เจอแม่ค้าพูดไม่ค่อยชัด เติมน้ำมันก็เจอเด็กปั๊มเขมรมั่ง พม่ามั่ง ในโรงงาน ในไซท์ก่อสร้าง เราก็พึ่งพาแรงงานจากประเทศข้างเคียง คนไทยไม่ค่อยทำกันแล้วกระมัง เดี๋ยวนี้เวลาไปสอนหลักสูตร จป.บริหารภาคภาษาอังกฤษก็จะเจอคนจีนมานั่งเรียนกันเป็นกลุ่มๆ บางทีก็มี HR เป็นล่ามพูดไทยได้ จีนได้มานั่งเรียนด้วย หนักสุดคือไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะเขาฟังภาษาอังกฤษไม่ออก ทำไงได้ เราก็พูดจีนไม่ได้ซะด้วย 

โลกมันเล็กลง คนมากขึ้น ที่อยู่ที่ยืน ที่เที่ยว ที่กิน การประกอบอาชีพมันฝีดเคือง 

สมมติว่า ไทยกับเขมรรบกันจริงๆ มีเครื่องบินวนมาทิ้งระเบิดกันตูมตาม มีรถถังออกมาวิ่งยิงกันตามสี่แยกไฟแดง อะไรจะเกิดขึ้นมั่ง 

หะแรก คงมีกฏอัยการศึก หรือไม่ก็เคอร์ฟิว ไปไหนมาไหนก็ต้องระวัง Line of Fire ยิงกันไปมาคงโดนหลังคาบ้านกูเข้าจนได้ 

เด็กๆวัยรุ่นน้อยลง คนแก่เยอะ ผู้หญิงน้อยกว่าชายสี่เท่า คราวประเทศเกิดสงคราม แก่ๆวัยใกล้เกษียณคงไม่แคล้วถูกต้อนไปวิ่งลุยกับระเบิดเพื่อช่วยรัฐบาลประหยัดงบค่าอุปกรณ์จีทีสองร้อยไปได้เยอะเชียว ถึงเวลานั้นคงฮาไม่ออก

ดีนะมีนายกเป็นผู้หญิง ไม่บ้าพลัง ถ้าเป็นสมัยท่านผู้นำทหาร ป่านนี้แกคงประกาศสงครามไปแล้ว เพราะไหนจะเครื่องบินรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ เรือดำน้งเรือดำน้ำ ที่ยังไม่มีเครื่องยนต์เพราะเยอรมันไม่ยอมขายให้ ก็คงต้องเอาเครื่องนิสสันเชียงกงใส่ไปก่อน กำลังขับดันเรือหางยาวแถวๆแม่กลองได้ ใส่ไปสองสามเครื่อง เอาไปรบกับเขมรแก้เครียดก่อน 

ถ้าเป็นสมัยก่อน เด็กๆทะเลาะกัน ผู้ใหญ่ก็จะตวาดแหว มึงจะรบกันไปทำมาย อ้ายชิบหายยยย (ภาคด้วยสำเนียงสุพรรณ) ได้อารมย์ไปอีกแบบ 

เอาหล่ะ เศรษฐกิจแบบนี้ ใครจะมานั่งฝึกอบรมความปลอดภัยกันล่ะมึง เขาแย่งปราสาทกันเหยงๆ จะมานั่งขำอะไรกันนักหนา ไป้ ไปกู้ระเบิดโน่น เซฟตี้ไม่ใช่เหรอะ  



ไม่มีความคิดเห็น: