แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พฤติกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พฤติกรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัฒนธรรมเน้นเปลือก

เห็นกำลังรณรงค์กันมากมายเกี่ยวกับ "วัฒนธรรมความปลอดภัย"



ก็เลยอยากจะแจมกับเขาบ้าง ในฐานะคนในวงการ (ทำไม ไม่เขียนว่า ถานะ หรือทำไมเขียนว่า สถานะ) เห็นมั้ย แค่คำศัพท์ในภาษาพูด ภาษาเขียน คนไทย (หรือว่า คนไท คำไหนถูกใจ คำไหนถูกต้อง) 

ประเทศไทย ใช้คำว่า วัฒนธรรมเยอะมาก แต่มักจะออกไปในแนว

พิธีกรรม พิธีการ ซึ่งก็จะต่อท้ายไปหน่อยว่า ได้รับการสืบทอดกันต่อๆมา ตอนหลังก็เริ่มเสียงแตกว่า ไอ้ที่สืบทอดกันมามันก็ไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมด บางอย่างก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้คนทำคนแรกนั้นมันคือผู้ใด ทำไปทำไม กูทำตามก็ยังงงๆว่าทำไปทำไม พอจะนึกออกมั่งมั้ยวัฒนธรรมแนวนี้  ในงานเซฟตี้นี่เยอะเลย เช่น จะซ้อมดับเพลิงที วิ่งหาเช่าวิทยุ หาซื้อหมวกสีทอง เอาให้บรรดานายๆเขาใส่ทำท่าแอ็คชั่น เวลาถ่ายรูปจะได้ดูสวย พิธีปลูกต้นไม้ มีกระบวยผูกโบว์ พิธีเปิดงานสัปดาห์ความปลอดภัย หูยๆๆๆๆใส่หมวก สายรัดคางเป๊ะ ใส่แว่น ใส่เสื้อสะท้อนแสง หนักๆเลยก็ใส่แมส เดินเปิดงานในห้องแอร์ กูจะบ้า  ไปตรวจงาน อีคนตรวจใส่ครบ คนถูกตรวจไม่ใส่อะไรเลย ดีนะที่ยังมีเสื้อ กางเกง 

เน้นแบบแผน อันนี้ก็ไม่รู้แผนใคร แผนอะไร มีแผนแล้วไงต่อ เคยไปดูมั่งมั้ยว่า เอาไป Implement มั่งมั้ย มีงบให้เค้ามั้ย เอาเข้าจริงก็ แพลนนิ่ง (แพลนที่อยู่นิ่งๆ)

เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ หัวหงอกหัวดำให้มันรู้มั่ง ใครเป็นใคร เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าสะเออะ ข้อนี้ ผมเห็นวัฒนธรรมคลานเข่า เข้าไปหา ผจ.โรงงาน เห็นแล้วช็อก ยิ่งบริษัทที่มีอายุยาวๆมาตั้งแต่เลิกทาสใหม่ๆด้วยแล้ว เห็นแล้ว บรื๋อ ความจริงแล้วประเทศที่เขาเจริญมากๆ คนของเขาเท่าเทียมกัน ในเรื่องความคิดความอ่าน ไม่ได้หมายความว่าคนหัวหงอกจะฉลาดกว่าเด็กหัวดำ เก็ทมั้ย เดี๋ยวนี้เด็กๆมันก็หัวขาวกันเยอะแยะไป มันย้อมกันได้  

เลือกปฏิบัติ คนไทยมีกฏหมายมากมาย แต่เอาเข้าจริง มันมีมาตรฐานว่า คุณรู้จักใครใหญ่ๆโตๆ คุณนามสกุลอะไร หลังๆมานี่นามสกุลมันตั้งให้หรูหราอลังการได้ ก็ต้องดูว่าคุณขับรถอะไร หิ้วกระเป๋าอะไร ใส่นาฬิกาอะไร บางโรงงานประกาศกฏ Life Saving Rules แต่พอเอาเข้าจริง พอนายๆทำผิดก็ติดอ่าง อึกๆอักๆ ไม่กล้าเอาออก ที่โดนก็พวกบรรดาซุปๆทั้งน้าน 

เน้น บูรณาการ คำนี้ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าเขาหมายความถึงอะไร สมัยรัฐบาลลุงๆทั้งหลายนั่น อย่างเยอะ บูรณาการมันน่าจะหมายถึง Integration ซึ่งมันมีเจ้าภาพ -Responsible มีคนนั่งหัวโต๊ะ - Authority ไม่ใช่ขี้เยี่ยวไม่ออกก็ให้นายกเป็นประธาน ตลกว่ะ คนบ้าอะไรเป็นประธานเป็นร้อยเป็นพันคณะ อันนี้ในโรงงานที่ไม่ค่อยจะเน้นการมีส่วนร่วม เขาจะหนักเรื่องนายใหญ่ๆ ที่นั่งอยู่ในโซฟาแถวหน้าๆ คล้ายๆในศาลาสวดศพ ไปดูเหอะ นั่งหัวโด่เด่คนเดียวกลางศาลา โซฟาเบ้อเริ่ม กลัวผีหลอกมั่งมั้ยล่ะนั่น

เน้นสมัครสมานสามัคคี คือห้ามคิดแตกต่าง เพราะความเห็นต่างจากผู้น้อยคือความกระด้างกระเดื่อง ความเห็นแย้งจากคนระดับเดียวกันนำมาซึ่งความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทุกคนจึงต้องคมในฝัก ส่วนจะไปคมใน ฟัก (F_CK) กันข้างหลังอันนี้รับกันได้ คนไทยไม่รู้จักคำว่า Consensus  

เน้นสัญลักษณ์ เน้นเปิดป้าย ตัดริบบิ้น แบคดรอปหรูๆ กดปุ่มทีมีควันพวยพุ่ม มี Pritty พาเดินขึ้นเวที จูกลงเวที อันนี้ (ข้าใจได้ มันทำให้ลุงเขากระชุ่มกระชวย)

เน้นรางวัลดีเด่น รางวัลระดับชาติ ผมเคยเห็นมาเยอะแล้ว และก็จะได้เห็นกันต่อๆไปเรื่อยๆ 

รักษาไว้เป็นขนบธรรมเนียม อย่าเปลี่ยนแปลง (ข้อนี้ไม่มีใครพูดถึง )แต่ผมเห็นมาตลอด อย่างค่าธรรมเนียม น้ำร้อนน้ำชา ใส่ซอง ใต้โต๊ะ ถุงขนม ประมาณนั้น


ที่พูดมานั่น ไม่ได้เห็นแย้ง เรื่องการสร้าววัฒนธรรมความปลอดภัย ผมเห็นด้วยครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน เอาที่สะดวกๆๆๆ  เอ้า ดนตรี ม่ะ 

แตรน ตะละแลน แต่น แตน แตน แต้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 

 





 

 



วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2567

อิด' ส อับ ทู ยู

 


นานๆจะเห็นผู้คนมีอารมย์ร่วมกันแบบนี้ซักที

ตั้งแต่ลุงเข้ามาปฎิวัติรัฐประหาร หยุดปรากฎการณ์กีฬาสี แบบที่ว่า ถ้ามีคนใส่เสื้อแดงหลงไปในดงคนใส่เสื้อเหลือง ก็มีสิทธิ์ถูกตีถูกระทืบตาย แบบถวายชีวิตกันเลย ในทางกลับกัน ก็ทำนองเดียวกัน การปรากฏกายของลุงในวันนั้น ทำให้เพลง เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน ก็กระหึ่มขึ้นมาแทนเพลงที่เคยดังในเวทีเสื้อแดง เสื้อเหลืองและลายธงชาติ 

แปดปีผ่านไป คนก็เริ่มมีอารมย์ร่วมกันอีกหน คราวนี้เป็นเสียงตะโกน ไอ เฮีย ทู ตอนนี้ลุงแกไปสู่สุขคติแล้ว ไปสบายแล้ว ไม่ต้องมาบ่นเหนื่อยออกทีวี  พอเลือกตั้งเสร็จ พรรคคนรุ่นใหม่ชนะถล่มทะลาย ลุ้นกันอยู่หลายเดือน สุดท้ายเจอบรรดา สอวอ ออกมาขวางว่าถ้าไอ้หล่อนี่เป็นนายก เราไม่โหวตให้ อารมย์ที่มีต่อสอวอ ก็กระหึ่มอีกที เสียงบ่น ไอ้ควาย ไอ้ควายกระหึ่มไปทั่ว ไม่รู้เขาหมายถึงใคร แต่มันเป็นอารมย์ 

ในที่สุด พรรคเพื่อใครก็ได้จัดตั้งรัดทะบาน แบบทุกลักทุเล คนที่เคยหล่อ แบบหมอคนน่าน กลายเป็น หอมออา... เสียคนไปเลย เพราะแกไปออกหน้าแทนนาย  นั่นก็เป็นผลจากอารย์ร่วม ของคนเคยรัก แล้วต่อมา ลุกทักกี้ก็ได้กลับบ้านมานอนหลบอยู่ชั้นสิบสี่ กระหึ่มอีก รัดถะบวมลุงนิดบริหารเก่งจนคนเริ่มร้องระงมหาลุงตุ่ย มันก็เป็นอารมย์ของคนที่จะอดตาย เฮ่อๆๆๆ 

แล้วเสียงของผู้คนที่มีอารมย์ร่วมกันก็กระหึ่ม แต่คราวนี้มันเป็นอารมย์แบบว่า เรื่องของมึงเลย เอาที่มึงสบายใจ อยากทำอะไรทำเลย บางคนก็ต่อคำสร้อยให้ด้วย เช่น ไอ้ควาย อะไรทำนองนี้ มันเป็นอารมย์เบื่อหน่าย เพราะเห็นทำกันแบบนี้มาไม่รู้กี่หน ขนาดคนไม่ได้ทำยังเบื่อ ผมพูดถึงการยุบพรรคการเมือง ไม่ได้อะไรมาก อิด'ส อับทูยู เลย 

เรื่องความปลอดภัยก็ทำนองเดียวกัน บางทีคนเป็นเซฟตี้เสนอแนะอะไรไป บรรดาเจ้า นายก็ไม่ค่อยจะฟัง บางคนไม่ฟังปล่าว เถียงด้วยว่า เราอยู่กัยมาสามสิบปีไม่เห็นเคยมีอะไร อันนี้ไม่นับไอ้สองคนที่ตกหลังคาคอหักตายเมื่อสองปีก่อน 

คนพวกนี้ บางทีก็ต้องบอกว่า เอาที่มึงสบายใจเลย กูไม่ได้ไปติดคุกติดตารางกับมึง ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ โรงงานก็ของมึง มึงอยากปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำป่าสัก ก็น้ำมึง เอาที่สบายใจ 

คนงานบางคนก็ดื้อด้านมาก ห้ามอะไร สอนอะไรก็ไม่ค่อยฟัง เถียงด้วย โหทำอะไรทีต้องตัดไฟต้องล๊อกต้องแท่ก เสียเวลาตายห่า พอถามว่าไอ้ที่เสียเวลาเนี่ยมันเวลาของใคร มีสักนาทีมั้ยที่เป็นเวลามึง มันเป็นเวลาของบริษัททั้งนั้น เขาต้องการให้มึงทำให้ปลอดภัยก่อน แหมฮึดฮัด กระฟึ่ดกระฟัด เจอไอ้พวกแบบนี้ก็ต้องบอกว่า เอาเลย เอาที่มึงสบายใจ ไอ้ควาย 

ที่ผ่านมาสองสามเดือนนี้ มีแต่ข่าวปลาหมอคางดำ ข่าวสานรัดถะทำมะนวย ข่าวยุบพรรค ข่าวปลดนายก ข่าว สอวอ  ข่าวปริญญาปลอม 

เอาที่ยูสบายใจเลย พวกเราเข้าใจ 












วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2567

ทำงานหนักจนถุงเท้าหลุด

 




"Work his sock off"

If you work your socks off, or work your tail off, you work very hard.

ผมมีเพื่อน มีหัวหน้า เป็นคนอังกฤษอยู่หลายคน ก็เลยได้พูด ได้คุย ได้เถียงกันอยู่บ่อยๆ คนอังกฤษใช้ Idioms มากมาย บางทีเราก็ยากที่จะเข้าใจอารมย์ที่อยู่เบื้องหลังคำพวกนั้น อย่างคำว่า " Smon, (my name), please do not be too difficult to Mohan Jale Jale (นามสมมติ). He is a good man, he works his socks off!!" 

ประโยคนี้ผมงงอยู่พักนึง เพราะข้อมูลที่ได้มา ไอ้นี่มันไม่ได้ขยันอะไรหรอก แต่ทำตัวเป็นเจ้าพ่อประจำโรงงาน ใครไม่เข้าไปอวยมัน มันก็บีบเขาออกหมด เซฟตี้คนเก่าๆ ถูกมันบีบจนอยู่ไม่ได้ และอีกอย่างที่รู้มา ไอ้นี่มันใช้วิธี เอาคนมารองมือรองตีน ยิ่งสาวๆด้วยแล้ว ถ้า Work her pants off จะโตเร็วมาก ชนิดที่ว่า ได้เลื่อน ได้ปรับตำแหน่งกันเร็วมากมาย Work his socks off- ขยันมากจนถุงเท้าขาด ถุงเท้าหลุด มันต้องขยันมากเลย ส่วน Work the pants off มันก็น่าจะความหมายใกล้เคียงกัน ใครไปเรียนที่อีตันมา ก็ช่วยเอามาบอกกันหน่อย เป็นวิทยาทาน

เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง ผมกำลังเดินตรวจโรงงานแห่งหนึ่ง เพราะมันเป็นช่วงโควิด เดินทางไปตรวจไปเยี่ยมประเทศอื่นไม่ได้ ว่างๆก็เลยลงไปเดินโรงงานที่ตัวเองต้องไปนั่งทำงาน เดินลัดเลาะไปจนถึงบ่อบำบัดน้ำเสีย ไม่ต้องสงสัย พวกผมก็เรียน Waste Water Treatment มา ไม่กาไม่ไก่หรอก อ่ะ บ่อสุดท้าย Retention Pond น้ำดูใสดี นึกชมอยู่ในใจ แต่สงสัยว่าทำไมประตูน้ำมันเปิด Over Flow ตลอด แบบนี้ถ้าระบบผิดปกติ มันก็ไหลออกเลย ไปไหน ไปแม่น้ำป่าสักไง กิโลเดียวเอง ฉับพลันนั้น เสียงพลั่กๆๆๆๆ ท่อขนาดใหญ่ฝั่งโน้น ปล่อยน้ำขุ่นคลั่กลงมา แล้วไหลออกไปเลย ด้วยความสงสัย ขึ้นไปดูระบบบำบัด ภาพที่ปรากฎคือ ถัง Equalization Tanks 6 ถัง พูนไปด้วยตะกอนดิน มันคือตะกอนดิน ส่วน Sedimentation Tank นิ่งสนิท ระบบบำบัดไม่ได้เดินเครื่อง อ้าวแล้วน้ำนั่นมาจากไหน 

เจ้าหน้าที่ สวล.ให้ข้อมูลว่า มันคือท่อที่ต่อตรงมาจากโรงงาน เอาไว้ระบายน้ำที่ไม่ได้บำบัดออกไป เพราะ เหตุผลร้อยแปด ผมเริ่มขุดเรื่องนี้ ก็พบว่า น้องที่ดูแลเรื่อง สวล.บันทึกเป็นรายงานเสนอนายทุกครั้ง ตั้งแต่ปี 2018 เรื่อยมา มีการปล่อยน้ำท่านี้ปีละไม่น้อยกว่า 12 ครั้ง ก็ประมาณเดือนละครั้ง พอเริ่มสอบสวน ไอ้คนที่ขยันจนกางเกงหลุดก็ประกาศกร้าวว่า ถ้า Smon นั่งเฉยๆไม่เป็น ก็จะไล่ให้ไปนั่งที่ประเทศอื่น พอเรื่องมาเข้าหู ผมก็โกรธจนแทบจะกระโดดขึ้นหลังคา Jump to the roof คราวนี้ก็ซัดกันนัว นั่นแหละคือที่มาของคำว่า Work the pants off  อุ๊ป ซี่  ปล่อยน้ำไม่บำบัดลงแหล่งน้ำสาธารณะ ปรับวันละ 200,000 บาทนะ กรรมการบริษัท เจ็ดคนก็วันละล้านสี่ ถ้าจำไม่ผิด อ้าว แล้วอุตสาหกรรมไม่รู้รึ อ้าว รู้ดิ เห็นเข้ามาดู มีรูปยืนคุยกันอยู่ แต่ไม่รู้คุยเรื่องอัลไร คงปรับกันไปหลายร้อยแหละมั้ง 

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อีสามตัว


การทำอะไรที่ไม่ปลอดภัย หรือที่เรียกว่าอันเซฟแอกชั่น เป็นพฤติกรรม ที่คนเราเป็นกันทุกคน ที่ทำแบบนั้น มีคำอธิบายได้ว่า

ก็ทำแบบนี้มาเป็นร้อยๆพันๆครั้ง ไม่เห็นเป็นอะไร

ปีนบันได ก็ไม่เห็นต้องมีคนจับ บันไดขะโยกขะเยก ก็ใช้มาเป็นชาติแล้ว ไม่เห็นเคยตก สายไฟแบบนี้ก็ใช้กันทุกที่ ไม่เห็นเคยโดนไฟช๊อตสักที ลงบันได ไม่เคยจับราว แถมโทรศัพท์อีกต่างหาก ไม่เคยตกบันได จะอะไรกันนักกันหนา

เมาแล้วขับ ก็เรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะเคยชนใคร แว่นนี่ก็เหมือนกัน ใส่แล้วปวดตา ปวดหัว บีบขมับ คับจมูก ท้องผูก คลื่นใส้ ใข่ดันบวม โอ๊ย รำคาญ  ร้อยทั้งร้อยครับ ถ้าโดนไปสักที จะไม่ทำแบบนั้นอีกเลย

ทั้งหมดนั้น เป็นพฤติกรรม หรือที่เรียกว่า บีเฮฟวิเออร์ Behavior

ภาษาไทยแบบคนคุ้นเคยกัน เรียกว่า สันดาน (น่าจะหมายถึงพฤติกรรมแย่ๆที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกแก้ไม่หาย)

นักวิชาการด้านความปลอดภัย เริ่มหันมาสนใจเรื่องพฤติกรรม กันมานานพอสมควร หลังจากที่ใช้ความพยายามป้องกันอุบัติเหตุ ด้วยมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือ เทคนิคทางวิศวกรรม การฝึกอบรม การออกกฎ ข้อบังคับ

สมัยก่อน ผมเรียกวิธีพวกนี้ว่า ทฤษฎีอีสามตัว 3E

 

ทฤษฎีอีสามตัว เป็นเรื่องที่ผมเขียนลงวารสารบริษัทสมัยอยู่โรงไฟฟ้าเอกชน จั่วหัวเรื่องแบบนี้เลย ส่งให้อีนางสนมของ เจ้านาย นังนี่เป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ ปรากฏว่าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง มันส่งต้นฉบับกลับมา บอกว่า หัวเรื่อง ไม่สุภาพ อ้าว อีนี่... ก็ตัวอีสามตัวจะให้อ่านยังไง อีสามตัวไม่สุภาพตรงไหน
·       อีแรก คืออีเอ็นจิเนียริ่ง Engineering คือวิศวกรรม
·       อีที่สองคืออีเอ็ดยูเคชั่น Education การให้ความรู้ การศึกษา
·       อีที่สามคืออีเอ็นฟอร์ซเม้นท์ Enforcement คือการใช้กฎกติกา
 
อีเวรนี่ ไม่ทันอ่าน ตีเรื่องกลับ จะเอาเรื่องที่เป็นวิชาการเซฟตี้ ก็นี่งัยอีหอก นี่แหละวิชาการสำคัญเลยนะมึง (สมัยก่อนนั้นผมปากจัดมาก จำได้ว่าอีนี่โดนผมด่าเป็นหมันไปเลย) มันไม่เอาเรื่องผมไปลง ตัดเรื่องผมออก แล้วไปเขียนคอลัมน์เอง เลาะรั้วโรงงาน มีแต่เรื่อง หมาเจ้านายชื่อนั้นชื่อนี้ อู๊ย น่ารักอย่างนั้นอย่างนี้ แหวะ ใครอยากรู้วะ ว่าหมาเจ้านายชื่ออะไร มันชอบแดกใส้กรอกบีเคพี อีควาย (ขออภัย พูดถึงอีนี่แล้วมันเดือดดาล  พุทโธ ไว้ เย็นไว้ หายใจเข้า พูธ หายใจออกโธ)
 
กลับเข้าเรื่องดีกว่า ทฤษฎีอีสามตัวเหมือนว่าจะเอาอยู่ อย่างอันตรายจากการข้ามถนน มีอันตรายเกิดจากรถราขวักไขว่ ชนคนก็ตาย ชนกันเองก็พัง แก้ด้วยวิธีวิศวกรรมทำยังไง ก็สร้างสะพานลอยไง  สะพานลอยนี่เป็นวิธีทางวิศวกรรมที่ผมไม่ค่อยเห็นในประเทศไหนๆ ที่เมืองไทยนี่เยอะสุดแล้ว กะว่าสร้างสะพานลอยเสร็จ ผู้คนจะข้าม จะใช้มัน แต่เปล่าเลย วิ่งข้ามถนนเหมือนเดิม สะพานลอยกลายเป็นที่สำหรับขอทาน หรือพวกโจรขโมยใช้ทำมาหากิน

สะพานลอยไม่เวิร์ค คนยังวิ่งข้ามถนนใต้สะพานลอย ผู้บริหารหัวเหม่ง ไม่ท้อถอย วิ่งข้ามถนนใต้สะพายลอยใช่มั๊ย ทำราวกั้นเลย ทำรั้วกั้น ยาวไปเลย ทำเสร็จแล้วเป็นไง  มันปีนข้ามรั้ว วิ่งข้ามถนนใต้สะพานลอยเหมือนเดิม รถชนตายท่าเดิมเลย

ทีนี้ก็รณรงค์กันเป็นการใหญ่ ใช้อีตัวที่สอง เอ็ดยุเคชั่น ให้ความรู้ ทำป้ายโฆษณา แล้วงัย ... ทั้งเด็กผู้ใหญ่ นักเรียนนักศึกษา ครูบาอาจารย์ ปีนรั้ว วิ่งข้ามถนนใต้สะพานลอย เช่นเดิม

ใช้อีตัวสุดท้าย Enforcement เอาตำรวจมาไล่จับไล่ปรับ เอาจ่าเฉยมาตั้ง เอากล้องมาติด โอ้ว แม่เจ้า... ประเทศสาระขันธ์นี่ สามอียังเอาไม่อยู่ เลยต้องยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปประเทศกันยกใหญ่ (ไปนู่นได้ยังไงนะเรา)
 
ทฤษฎีเขาน่ะดี ครับ แต่ไม่สามารถเข้าถึงพฤติกรรมคนไทย เมื่อสักครู่ผมแปลว่าไงนะครับ อ๋อ ไม่เข้าถึงสันดานคนไทย ครับๆ ทำนองนั้น เพราะว่าทฤษฎีทางพฤติกรรมมันละเอียดอ่อน น่าสนใจ มาถึงตรงนี้ เลยจะเล่าให้ฟัง ว่า มีทฤษฎีอะไรบ้าง ที่เกี่ยวกับพฤติกรรม Behavioral Science

เอาจากเก่ามาหาใหม่เลยนะครับ
ทฤษฏีเอ็กซ์วายแซท XYZ บางคนงงๆ ทฤษฏีอะไรวะ ฟังดูเหมือนหนังเอ๊กซ์  ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เมืองนอกมันไม่รู้จักกันหรอก หนังเอ๊กซ์ เอ๊กซ์มูฟวี่ ไปหาซื้อ ฝรั่งมันงง มันคิดว่ามันฝรั่งทอดกรอบ
ทฤษฎีเอ็กซ์วายนี่ ค้นพบโดยฝรั่ง (คนไทยเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่ง น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า ฟร้านซ (France) พวกฝรั่งเศษ หรือพวก ฟร้านเซส ทำนองนั้น ไอ้ฝรั่งนี่มันชื่อว่า ดั๊กลาสแมคเกรเกอร์ ค้นพบเมื่อปี 1960 ก่อนผมเกิดห้าปี ตอนนั้นผมคงยังเป็นสัมภเวสีอยู่มั๊ง ไอ้นี่มันบอกว่า คนเรามีสองแบบ คือพวกเอ็กซ์ เป็นคนจำพวกขี้เกียจมาแต่อ้อนแต่ออก ใช้คำว่า อินเฮียร์เร้นทลี่ คือเกิดมาก็มีขี้ติดมาเลย เรียกขี้ชนิดนี้ว่าขี้เกียจ
ดั๊กลาสบอกอีกว่า พวกนี้ไม่ชอบทำงาน จะต้องคอยกำกับบังคับบัญชา กันอย่างใกล้ชิด เผลอเป็นหลับ ขยับเป็นแดก ทำนองนั้น เทคนิคการบริหารพวกเอ็กซ์ก็ต้องใช้การลงโทษ ถึงจะเอาอยู่ แบบว่า ออกมาชูสามนิ้วใช่มั๊ย  ไปจับไปอาบน้ำกันในค่ายทหาร พวกนี้ต้องเจอท่าเก็บสบู่ อะไรทำนองนั้น
อีกพวกหนึ่งคือพวกวาย คนแบบนี้เป็นประเภททะเยอทะยาน กระเหี้ยนกระหือ กระตือรือร้น พวกบ้าพลังอย่างเจ๊เนตรนี่แหละ

คนแบบวาย การทำงานมันโคครสนุก เหมือนเล่น ไม่เคยเบื่อ เลย ต่างกับพวกเอ๊กซ์ ไอ้พวกนี้ ขนาดให้เล่น จัดงานปีใหม่ งานแฟมิลี่เดย์ ไอ้พวกนี้ยังเบื่อเลย ขนาดไม่ได้ทำงานนะ โฮ่ๆๆๆ โดนละดิ โดนหลายคนเลย พวกวายนี่ ขืนทำโทษ โกรธจนลูกบวช แต่ถ้าชมนิดชมวันละหน่อย พวกนี้ทำตายเลย มันบ้ายอ
 
ริงๆแล้ว ไอ้ดั๊กลาสมันค้นพบทฤษฎีนี้ทีหลังปู่ย่าตายายเราเสียอีก ทฤษฎีรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีรักสามีให้หยิก รักกิ๊กให้มือถือ เราเจอก่อนมันอีก
ทฤษฎีในการสร้างแรงจูงใจของดั๊กลาสเกิดขึ้นและต่อยอดมาจากทฤษฎีของ อับบราฮัม มาสโลว์ 1943 ที่บอกว่า มนุษย์เราเนี่ย จะมีแรงจูงใจทำอะไรก็ต่อเมื่อความต้องการในแต่ละขั้นๆได้รับการตอบสนองก่อน
 
ความต้องการขั้นต่ำสุดของมนุษย์ก็คือ ความต้องการทางกายภาพ ท้องต้องอิ่ม มีน้ำดื่ม มีที่หลับนอน มีที่ขับถ่าย ถ้าคนยังหิว ไม่มีบ้าน ไม่มีส้วม ไม่มีเซ็กซ์ ไม่ได้สืบพันธุ์ จะไปบอกมันบอกว่า เฮ๊ย ใส่แว่นนะ ใส่เอียร์ปลั๊กดิ ใส่เซฟตี้ฮาร์นเนสนะ มันไม่สนหรอก บริษัทก็เหมือนกัน ยอดขายไม่ดี กำไรไม่มี ขาดทุนทุกเดือน โบนัสไม่มี จะให้ทำเซฟตี้ ฝันไปเถอะ
 
ความต้องการขั้นแรกได้รับหมดแล้ว มีบ้าน มีรถ มีเมีย คราวนี้ก็เรื่องความปลอดภัย บ้านก็ต้องปลอดภัย กันฝนกันแดด ร้อนไปใช่มั๊ย ซื้อฝ้าตราช้างมาติดดิ ดีนะ ของเค้าดี มีงานมีการทำ สภาพจิตใจ สภาพร่างกาย ดี พวกนี้ ให้ทำเซฟตี้ เขาก็เอา
ขั้นต่อมา ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง พวกนี้เริ่มแสวงหาเพื่อนฝูง บางคนนั่งดูเฟสบุคทั้งวัน ใครส่งอะไรมา กูยังไม่อ่านเลย กดไลค์ไปก่อน เพื่อนจะได้รัก พวกที่มีเมียแล้วตอนขั้นที่หนึ่ง ก็เริ่มหารักแท้ ความสุขสมทางเพศ จากคู่รักใหม่ คนไทยเรียกกิ๊กกั๊ก
มีครบหมดแล้ว ขั้นเอสตีม พวกนี้ เริ่มแสวงหาความภาคภูมิใจ อย่างเล่นการเมือง เป็นนายก ไปไหนมีแต่คนยกมือไหว้ ใครๆนับหน้าถือตา มือเป็นฝักถั่ว (บางคนยกนิ้วกลางให้ยังคิดว่ามันยกมือไหว้เลย รับไหว้ปะลกปะลก
ขั้นต่อมา พวกที่แสวงหาความสุขสุดยอด ทำอะไรแปลกๆ เช่น กระโดดร่มดิ่งพสุธาตอนอายุเก้าสิบแปด ดำน้ำแต่งงานกลางทะเลลึก แสวงหาโมกขธรรม หาทางบรรลุจุดสุดยอดทางใจ (ต่างกับพวกแรกนะครับ ไอ้พวกแรกมีวิธีถึงจุดสุดยอดเหมือนกัน แต่สุขไม่เท่ากัน พวกนั้นมันสุขแปบเดียว)
ทฤษฎีมาสโลว์นี่ ผมใช้บ่อยๆ บางทีเห็นพวกฝรั่งเอามาใช้แล้วขัดใจ เพราะเวลาจะให้รางวัลคนงาน พวกฝรั่งบอกว่า อย่าไปแจกของ แจกเงิน แจกมาม่า แจกกาแฟ เดี๋ยวจะเคยตัวแบบทฤษฎีเอ็กซวาย ให้แจกเป็นใบประกาศนียบัตร สงสารคนงาน รับรางวัลเซฟตี้ดีเด่น ได้ใบประกาศไปใบหนึ่ง พอถึงบ้าน พ่อๆ ได้อะไรมา พ่อบอก นี่งัย กระดาษนี่ เอาไป(แดก) มันไม่ใช่ง่ะ ให้รางวัลไม่ตรงความต้องการ แรงจูงใจมันไม่เกิด กูรู้ ไม่ให้โบนัสแต่ให้ใบประกาศ เพราะพวกมึงขี้ตืด อย่ามาอ้างส่งเดช ไอฟาย (ต้องให้หลวงพี่สั่งสอนอีกสองป๊าบ ไอ้พวกนี้)

 
ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมอย่างชัดเจน จะทำให้เราแก้ปัญหาความไม่ปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสุดท้ายแล้ว พฤติกรรมที่ปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆในองค์กร ก็จะทำให้เกิดสภาพหรือบรรยากาศการทำงานที่คนหมู่มากทำตามๆกัน อย่างปลอดภัย เหมือนอย่างเรื่องลิงห้าตัว ไว้วันหลังจะมาขยายความตรงนี้ต่อ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน
 
ษมน รจนาพัฒน์
December 18, 2014
 
 
 
 
 
 
 

 


ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...