วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Reptelian Brain มึงกราบรถกู


ผมเคยเขียนเรื่อง สมองกิ้งก่า ปัญญากิ้งกือไปแล้วรอบหนึ่ง วันนี้ มีอีกแล้วครับ ปรากฎการ "กราบรถกู" ดูวิดีโอนี้แล้วชอบมาก

สุดยอดครับ ก้มกราบรถกู

ให้เครดิตเจ้าของภาพ และวิดีโอ

จะว่ากันไปแล้ว เราทุกๆคน มีสิทธิ์ที่จะตกอยู่ภายใต้ภาวะ สมองเหี้ยครอบงำได้ง่ายๆ อาการก็ไม่แตกต่างกัน นั่นก็คือ การแสดงอำนาจ ข่มคนอื่น ที่มาล่วงล้ำอาณาเขต หรือจะเป็นภัยคุกคาม พวกสัตว์เลื้อยคลาน เหี้ย ตะกวด กิ้งก่า หมา แมว เป็นเหมือนกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคน เพราะอย่างที่ทราบ เรามีสมองส่วนเล็กๆที่อยู่ใต้สุด ที่หลงเหลือมาจากวิวัฒนาการ นั่นก็คือ Reptelian Brain เวลามันทำงาน สมองส่วนที่เป็น Emotional Brain กับ สมองส่วนทีทำหน้าที่ในการคิดพิจารณามันหยุดทำงาน ในเพลานั้น แผงคอ ชูชัน ใบหน้า แววตา เกรี้ยวกราด เขี้ยวในปากเผยอกว้าง อะดรีนาลีนฉีดเต็มที่ หัวใจเต้นแรงรัว เลือดไหลพลุ่งพล่านไปยังกล้ามเนื้อทุกส่วนที่เตียมพร้อมสำหรับการใช้กำลัง นั่นล่ะ อาการสมองเหี้ย

 

หัดนั่งสมาธิ ควบคุมสติอารมย์กันบ้างนะ สมองเหี้ยจะได้ไม่ออกมาอาละวาดบ่อยๆ

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

เซฟตี้ กับ ยามตีแหม่ง

เป็นเซฟตี้มาหลายปี บทบาทหน้าที่เปลี่ยนไปจากสมัยแรกๆ เป็น จป. ทำงานคนเดียว เมื่อปี พ.ศ. 2528 สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายความปลอดภัยอะไรมากมาย ทำมันทุกเรื่อง ไม่มีลูกน้อง ที่พอจะพึ่งพาได้ก็มีบรรดา รปภ.ที่เขายกมาให้ดูแล เพราะชื่อตำแหน่งมันไปหมิ่นเหม่ใกล้เคียงกัน "เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย" จนเดี๋ยวนี้ เวลาโฆษกเขาแนะนำวิทยากร ก็มักจะเติมให้ว่า อดีต เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย บริษัทนั่นนู่นนี่ 

พอเติบโตมา เปลี่ยนจากเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นผู้จัดการ ก็ยังไม่วาย ได้รับตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัย ป๊าดโธ่ จะว่ากันไปแล้ว หน่วยงานสองหน่วยนี่มันแยกกันไม่ได้ งานรักษาความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า Security Management มันมีความเหมือนกับงานเซฟตี้อยู่หลายอย่าง และที่เหมือนกันแบบแยกกันไม่ได้เลยก็คือ การป้องกันและระงับความสูญเสีย เพราะฉะนั้น ในเมืองนอก เขาจึงมีแผนก Loss Prevention and Control ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองหน้าที่นี้ก็คือ งานรักษาความปลอดภัย เน้นไปที่ภัยที่จะเกิดจากเจตนาของคน เช่น ลักขโมย วางเพลิง ทำร้ายร่างกาย ก่อวินาศกรรม ทุจริต บุกรุก เป็นต้น ในขณะที่งานด้านความปลอดภัย จะเน้นไปที่ภัยที่เกิดจาก อันตรายหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่พึงประสงค์ ไม่ได้วางแผนไว้ให้มันเกิดแบบนั้นแบบนี้ เรียกรวมๆว่า Incident หรือ ถ้ามีความสูญเสียเกิดขึ้น ก็เรียกว่า Accident ใครที่ยังมั่วๆอยู่กับคำนิยามสองคำนี่ก็ไปหาตำหรับตำรามาอ่านเสียใหม่


ด้วยความเหมือนและความต่าง ของงานสองแบบนั่น เรายังมีความเหมือนกันแบบแยกกันไม่ออกอีกประการหนึ่งก็คือ กระบวนการบริหารความเสี่ยง ที่มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกันก็คือ การประเมินความเสี่ยง

งานรักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. เป็นงานที่ต้องประเมินความเสี่ยง ว่าอะไรที่ไหน มีจุดอ่อน มีความล่อแหลม เป็นช่องว่างให้เกิดความสูญเสีย เพราะฉะนั้น หากมีบริษัท รปภ.เข้ามาหาผม แล้วถามผมว่า จะเอา รปภ.กี่คน เอาผู้ชายกี่คน เอาผู้หญิงกี่คน แบบนี้ ผมจะบอกว่า ไปไกลๆเลย คุณเข้ามาขายบริการรักษาความปลอดภัย และบอกว่าเป็นมืออาชีพ แต่กลับข้ามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไปได้อย่างน่าโมโห ทำไมคุณไม่สำรวจสภาพต่างๆ ประเมินความเสี่ยง ระบุจุดล่อแหลมต่างๆแล้วค่อยเสนอมาตรการที่เหมาะสมในการรักษาความปลอดภัยมา บางจุดการใช้เครื่องมือ ระบบตรวจจับ และส่งสัญญาน มีความจำเป็นมากกว่าไปเอาคนมาใส่ชุดยืนตะเบะตะบี้ตะบัน  ประตูหน้าต่าง รั้ว ที่มีอยู่ต้องเพิ่มเติม ต้องดัดแปลงปรับปรุง แสงสว่าง ต้นไม้ที่ยื่นกิ่งล้ำข้ามรั้วมา พวกนี้ บริษัทรักษาความปบอดภัยแบบจับเสือมือเปล่า แบบประเภทหากินง่าย ไปต้อนคนขึ้นรถมาจากบ้านนอก เอามาใส่ชุด รปภ. สอนขวาหันซ้ายหันแล้วเอามาลงประจำจุด จะโดนผมด่าหนัก และยิ่งไอ้ประเภท ชาร์จค่าวิทยุ ไฟฉาย กระบี่กระบอง ค่าเครื่องแบบบ้าบอคอแตกมา แบบนี้ไปไกลๆ(ตีน) ถ้า รปภ.ของคุณไม่สามารถสื่อสารกันด้วยโทรจิตได้ หรือเห็นในที่มืดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์พวกนั้น ก็แสดงว่า เขาจะทำงานได้เต็มที่ไม่ได้โดยไม่ใช้วิทยุ เพราะฉะนั้น อย่ามาชาร์จเงินผมเพื่ออุปกรณ์ที่จะทำให้คุณทำงานได้ มันไม่เมกเซนส์  และร้อยทั้งร้อยครับ บริษัท รปภ.ในบ้านเรา มันมั่ว มันมีสี มันมีนาย แต่มันไม่มืออาชีพ ไอ้พวกนี้ ไม่เคยได้งานจากผมแน่นอน ส่วนไอ้พวกที่เคยได้งาน เพราะมีใต้โต๊ะ มีนอกมีในกับคนเก่าๆ รับรองได้ กระเจิง เคยมีเจ้าของบริษัท รปภ. เป็นจ่า อยู่แถวๆบ่อวิน มาขู่ผมถึงถิ่น หลังจากโดนยกเลิกสัญญา บ้านเรามันเป็นแบบนี้แหละ และนี่เป็นเหตุผลเดียวที่ผมทำใจลำบากเวลาถูกประกาศว่าเป็น ผู้จัดการรักษาความปลอดภัย เพราะคนที่เขาทำงานด้านนี้ เขาไม่มีความเป็นมืออาชีพ รปภ.มาแต่ละนาย ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขอตรวจบัตรพนักงาน ไม่กล้าตรวจค้นใคร ไม่กล้าที่จะทำตามมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบมืออาชีพ คุณว่าจริงไหม จ้างมานั่งเฝ้าป้อมยามโดยแท้


สมัยอยู่โรงไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย ก็เป็นแบบที่ผมว่า ยาม มีหน้าที่อันทรงเกียรติประการหนึ่ง คือ คอยวิ่งถือธงเขียวนำหน้ารถ เอ็มดี วิ่งเหยาะๆ จากปากประตูโรงงานโอเลฟิน เพียงแค่ว่า นายจะได้ไม่ต้องลงไปแลกบัตร เพียงแค่ว่าจะได้บายพาสระบบรักษาความปลอดภัยของเขา เพียงแค่ว่าเพื่ออำนวยความสะดวก และเพียงแค่ว่า เป็นการอวยเกียรติเจ้านาย ทำไมล่ะ เป็นเอ็มดี ติดบัตรพนักงานมันลำบากตรงไหน ไม่มีบัตรเรอะ ก็ลงไปแลกบัตร บันทึกการเข้าออก มันจะตายเรอะ หรือว่าชอบแบบที่ว่าใครจะเดินเข้าเดินออกโรงไฟฟ้าเมื่อไหร่ก็ได้ เผลอไปกดปุ่มฉุกเฉิน แก็สเทอร์ไบน์ร่วงไปสักบล็อกหนึ่งแล้วลูกค้าอีกยี่สิบสามสิบรายไฟดับ โดนปรับบานเบอะ ชอบแบบนั้นเรอะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://i-worksafe.blogspot.com/2010/12/emergency-pre-planning.html


นี่แหละตัวอย่าง แพระดิมชิฟท์ เปลี่ยนมุมมองในเรื่องความเสี่ยง มันเปลี่ยนยาก ถ้าสันดานไม่เปลี่ยน มองความเสี่ยงไม่ออก ถึงมองออก ก็ไม่เชื่อถือว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ถึงเชื่อ ก็ไม่ทำตามมาตรการที่จะลดความเสี่ยงเหล่านั้นลงอย่างเคร่งครัด เจ้ายศเจ้าอย่าง บายพาสหมดทุกระบบ เหลือแต่กาก โรงไฟฟ้าที่ว่านี้ พวกหมวกสีทองนี่ตัวดีเลย เจ้ายศเจ้าอย่าง ซ้อมแผนฉุกเฉินที จะมีคนจัดเตรียมหมวกสีทองวางบนโต๊ะปูผ้าขาวไว้ให้ พวกนี้ ปีชาติหนึ่งอยู่ออฟฟิศที่กรุงเทพ แต่กลับมีชื่อเป็น อีเมอร์เจนซี่คอมมานเดอร์ อบรมอะไรที่เกี่ยวกับ Emergency Comnand Center ก็ไม่เคย โอย กรูจะบ้า ให้ไอ้พวกบ้านี่สั่งการระงับเหตุ มีหวังตายกันเป็นเบือ เริ่มต้นผิด ก็ติดเป็นสันดาน พอจะเปลี่ยนให้ถูก แหมดิ้นพล่าน โวยวาย นั่นนู่นนี่ นี่ไง พวกที่ยากต่อการเปลี่ยนมุมมองในการบริหารความเสี่ยง สันดานชิบ!!
เรื่องทำนองนี้มีอีกมากมาย เล่ากันไม่จบ เอาไว้มาต่อกันว่า เราจะจัดการกับการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงกันอย่างไร


http://i-worksafe.blogspot.com/2010/12/emergency-pre-planning.html

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

พาราไดม์ชิฟท์ ปาร้าดำชิบ


มีข่าวเฮดไลน์อยู่สองข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกสลดหดหู่ ก็คือ ข่าวระเบิดที่ถังเก็บน้ำเสียของโรงงานแห่งหนึ่งในภาคอีสาน และข่าวเรือล่ม คนตาย คนสูญหายร่วมๆ 26 ศพ

หัวข้อที่เขียนวันนี้ คือ Paradigm shift regarding risk -การเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยง - หุหุ ฟังดูเป็นงานเป็นการเกิ้น! เอาแบบสไตล์ผมเลยนะ  เป็นการเปลี่ยนกมลสันดานเรื่องการบริหารความเสี่ยง!!

บางคนคงเริ่มสงสัยและเริ่มเดาไปพลางๆว่ามันคืออัลไลย์ ... อะไร(วะ) พาราไดม์ ชื่อคล้ายๆโรงแรมม่านรูด เอ...มันจะเหมือน พาราไดซ์ไหมหน้อ... เอะ รึว่ามันคือปาร้าดำชิบ ผลิตภัณฑ์ใหม่ เอาปลาร้ามาทำแผ่นอบกรอบใส่ถุงส่งนอก ...
Paradigm -ตามดิกชันนารี อ่านว่า "แพ-ระ-ดิม" กระดกลิ้นเล็กน้อยตอนออกเสียง แพร์ หระ ดิ่ม จะฟังดูดีขึ้นเยอะ มันแปลว่า แบบอย่าง หรือต้นแบบ หรือโมดล อะไรทำนองนั้น ส่วนชิฟท์ ออกเสียง ถึๆ ข้างหลังหน่อยหนึ่ง แปลว่า เคลื่อนหรือเลื่อน อ่ะ แล้วมันแปลว่าอัลไลย์ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ เวลาเอามารวมๆกันแล้วมันฟังดูพิลึก กึ ดี ...

สมัยนู้นๆๆๆๆๆ ตอนยังไม่มีรถยนต์ใช้ พาหนะสำคัญในเมืองนอกคือม้า ขี้ม้า หี้ กั่บๆๆๆ ยิงกันสนั่นในหนังเด็กเลี้ยงควาย (Cow Boy movies) จะเห็นว่า เบาะรองนั่งกันขนม้าทิ่มตูด (ภาษาไทยแท้) ก็ถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างเข้ากับสองอย่าง คือหลังม้า กับตูดคนนั่ง ต่อมา พอมีรถจักรยาน อานรถจักรยานก็ยังออกแบบมาให้เหมือนอานม้าอยู่ดี ยิ่งจักรยานแข่ง อานแหลมเปี้ยว นั่งแล้วเจ็บตรูดชะมัด เบาะรถมอเตอร์ไซค์ แม้แต่เบาะรถยนต์สมัยแรกๆ ยังคงรูปร่างแบบอานม้า กว่าจะเปลี่ยนรูปร่างมาเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มันต้องผ่านการยอมรับและการต่อต้านมาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว ไอ้ปรากฏการณ์ที่คนเกิดการเปลี่ยนกรอบความคิดและยอมรับสิ่งใหม่ๆนั่นแหละ เรียกว่า ปาร้าดำชิบ หรือ แพระดิมชิฟท์ถึ โอ้วแม่เจ้า เถียงกันข้ามศตวรรษ หากใครเกิดไปออกแบบอานหน้าตาแปลกๆมาละก็ จะถูกประนามหยามเหยียดว่านอกคอก พิเรนทร์ บัดซบ สิ้นคิด อะไรประมาณนั้นเลยเชียว





การเปลี่ยนวิธีคิด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับความเสี่ยง ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศด้านความปลอดภัยในองค์กร หรือที่เรียกว่า เซฟตี้ไคลเมท ถึ (Safety Climate) บางคนทำหน้างงหนักเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเช่น ในบางองค์กร บรรยากาศความปลอดภัย มันสบายๆ ไม่ซีเรียส คือ มึงอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำกูก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากมาเมื่อไหร่ก็มา อยากเชื่อมตรงไหนก็เอาเลย หู้ย!! เปอร์หม่ง เปอร์หมิด เรอะ วุ้ย!!! เปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้ - นี่เป็นบรรยากาศความปลอดภัยแบบหนึ่ง ที่ระบบการจัดการไม่ได้เข้มงวด กฎระเบียบ มีไว้อวดตอนออดิท 

บางแห่ง จะเข้า จะออก เครื่องไม้เครื่องมือ ตรวจกันละเอียดเปะ คนที่จะมาทำงานก็อบรมกันอย่างกับจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนจะทำงานได้ต้องขออนุญาต มีคนไปตรวจหน้างาน อันไหนไม่ถูกก็จะต้องแก้ไข จนกว่าจะเห็นว่าปลอดภัย จึงเริ่มทำงาน มิหนำซ้ำจะมีคนมาตรวจอยู่เรื่อยๆ หากเกิดการฝ่าฝืน จะถูกสั่งหยุด ดีไม่ดีอาจจะถูกเนรเทศออกนอกไซท์งานเอาเสียง่ายๆ  นี่ก็เป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ทีนี้ลองจินตนาการว่า ไอ้เซฟตี้ มันมาจากบรรยากาศแบบมาคุแบบหลัง ส่วนไอ้ผู้จัดการ ไอ้วิศวกร ไอ้ซุปเปอร์ไวเซอร์ มันมาจากบรรยากาศแบบสบายๆ แบบโรงงานเถ้าแก่ มันจะเกิดอะไรขึ้น แพระดิมชิฟท์ถึ คงมันส์พิลึก มันก็เป็นไปได้สองทาง คือ เซฟตี้แพ้ ลาออก ถูกบีบ ถูกอัด กระเด็น ไปขายประกัน ไอ้พวกสบายๆเฮๆๆๆๆ หนุกๆๆๆ สามวันต่อมา ปล่อยผู็รับเหมาไปเชื่อมถัง ไม่ตรวจวัด ไม่กำจัดก็าซไวไฟ ระเบิดตูม ตายสาม คราวนี้ละมึง แพระดิมชิฟท์ของแท้ ชิบหายไง เป็นประเภท ไม่เห็นศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไอ้ฟาย
การเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนตั้งแต่สิ่งเหล่านี้ คือ
1. อันตรายทุกอย่าง มีระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ในสถานะการณ์ที่ต่างกัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน
2. ความเสี่ยงที่ค้างอยู่ หรือที่เรียกว่า เรซิดวลริสก์กึ (Residual Risk) จะต้องอยู่ในระดับที่เรียกว่า อาหลาบ (ALARP)
มีใครรู้จักอาหลาบมั๊ย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://i-worksafe.blogspot.com/2010/11/alarp.html
3. ความเสี่ยง เป็นเครื่องมือในการบริหาร ที่แห่งไหนที่ประเมินความเสี่ยงเพียงแค่ให้ได้ OSHAS 18000 แล้วเก็บเข้าลิ้นชัก เอาไว้อวดออดิทเทอร์ ก็เตรียมได้เลย ความเสี่ยงมันต้องถูกเอามาใช้ทุกวัน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะมีคนแบบไหนในบรรยากาศแบบไหน คนต้องยึดเอาความเสี่ยงเป็นจุดยุติในการโต้เถียง ถ้าความเสี่ยงสูงมากๆ จะหยุดก็ต้องหยุด ไม่ใช่มาด่ากัน มึงรู้มั๊ย กรูเป็นคราย!!! เฮ้ย กรูเป็นผู้จัดการโครงการนาว้อย !!! พอระเบิดตูม!!! กรูไม่รู้ กรูไม่ได้เป็นผู้จัดการโครงการ ถุย! ไอ้ฟาย
4 ความเสี่ยงเป็นเครื่องมือในการชี้ชัดความเร่งด่วน และการจัดสรรทรัพยากร เพื่อจัดการกับมัน ไอ้ประเภท เป็นมะเร็งแล้วเอายาหม่องตราลิงมาทา ขอทีเถอะ
อธิบายมาถึงตรงนี้ จะเห็นว่า แพหระดิมฉิบ มันเป็นการเขย่าองค์กร ตั้งแต่หัวจรดหาง ถ้าความคิด มุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงยังไม่เปลี่ยน รอไปเถอะครับ อย่าหวังว่าจะได้เข้าไกล้คำว่า ซีโร่ฮาร์ม คงมีแต่ซี้แล้วหามประการเดียวเท่านั้นแหละครับ ไปดูข่าวงมศพก่อนนะ ยังหาไม่เจออีกสามศพ
จบก่อนดีกว่า ตัดเข้าโฆษณา ข้าวเกรียบรสปราร้าดำ ตราฉิบหาย กินแล้วจะติดใจ คำเดียวสั้นๆ ฉิบหาย ฉิบหาย กร่อบๆๆๆๆๆ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ภาวะผู้นำ


ภาวะผู้นำ หรือที่เรียกว่า หลีดเด้อชิบ (ออกเสียงแบบไทยกระแดะ)  หรือ ลีดเด้อฉิบ (ออกเสียงแบบสำเนียงอเมริกันตกยาก คือมาอยู่กับเมียไทยหลายปี คำส่งคำศัพท์ลืมเกลี้ยง นอนอยู่เถียงนาน้อยเป็นเวลาเนิ่นนาน)
คำนี้คำเดียวเนี่ยนะ สร้างความมึนงง ให้แก่ผู้คนมาหลายชั่วศตวรรษ โดยเฉพาะ คนไทย ที่ในยามนี้ ท่านผู้นัม มีปัญหาภาวะผู้นำเอามากๆ นี่เห็นร่ำๆว่าจะอยู่เป็นนายกต่อไปอีกสักยี่สิบปี ตายกูตาย แค่นี้ก็จะเลียกระดานกันอยู่แล้ว โอยๆ (ผมพูดถึงท่านผู้นัม ของชนเผ่าดั้งแปบนะ คนที่เอาเรื่องเสือตาเหลืองมาเล่าให้ฟังไง จำได้มั๊ย )
ภาวะผู้นำ มันมีอยู่สามแบบ ที่ส่งผลเรื่องความปลอดภัย
แบบแรก เรียกผู้นำแบบนี้ว่า ผู้นำแบบ คสช. คือผู้นำแบบว่า คุณสั่งมาผมจึงช่วย ผู้นำแบบนี้ เป็นประเภทที่ว่า เดินผ่านไปเห็นถังน้ำมันหกรั่วอยู่ พวกนี้จะรีบเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณว่า คุณไม่ได้สั่ง ผมเลยไม่ช่วย บางคนขนาดน้ำมันหกขวางทาง มันยังกระดึ๊บๆ ผ่านไปหน้าตาเฉย  บางคนก็บ่น กระปอด กระแปด กระปริบ กระปรอย ว่า แหม ดูซิเนี่ย อันตรายจังเลย แหม เซฟตี้เราเนี่ยไม่เอาใจใส่ดูแลเลย ว่าแล้วก็ถ่ายรูปแชะ แล้วเดินจากไป

แบบที่สอง ผู้นำแบบ สทรร. เสือกทุกเรื่องที่มีเรา ผู้นำแบบนี้ ไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทำเลย กระวีกระวาดจัดการหาผ้าขี้ริ้ว มาซับมาเช็ด หาทรายมากลบ หาป้ายมาวาง กลัวคนอื่นและตัวเองจะได้รับอันตราย ถ้าเป็นสมัยยุคหิน ผู้นำแบบนี้แหละที่กระโดดขวางเสือเขี้ยวยาวไว้ จนโดนเสือคาบไปแดรก

แบบที่สาม เรียกว่า ทูเกตเตอร์วีสะตอง คือแบบว่าทุกเรื่องไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่พวกเราด้วยกันทั้งหมดช่วยเป็นหูเป็นตา ไม่ใช่ว่า ใครเอากระเป๋าเป้มาวางไว้ข้างศาลพระพรหม กูไม่สนใจ ไม่ใช่ธุระกู สุดท้าย ตูมสนั่น

คุณว่าในกะลาแลนด์แดนดั้งแปบนี้ มีภาวะผู้นัมแบบไหนเยอะกว่ากัน




บันไดห้าขั้นเพื่อรู้ทันและป้องกันอุบัติเหตุ

สมัยเรียน มีอาจารย์ที่เคารพมากอยู่ท่านหนึ่ง สอนวิชา Industrial Safety

ท่านเริ่มสอนพวกเราด้วยหัวข้อเรื่อง การตั้งโรงงาน
เรียนไปจนหมดภาค ก็ยังตั้งโรงงานไม่เสร็จ
มาหนนี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายในงานสัปดาห์ความปลอดภัยภาคที่สงขลา โดยได้รับมอบหมายมาให้พูดหัวข้อว่า 5 ขั้นตอนรู้ทันปัญหาเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุ นี่มันก็คล้ายๆกับหัวข้อที่ว่า ตั้งโรงงานอย่างไรให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ หัวข้อมันมโหฬารมากเลยครับท่านผู้อ่าน
ไม่ต้องตกใจ รับรองว่าจะเอาให้จบในการบรรยายหนึ่งวัน ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปว่า ใครเอาเทคนิคห้าขั้นตอนไปใช้แล้วอุบัติเหตุไม่ลดลง ให้มาเรียนซ้ำได้
ก่อนที่กูรูวิชาทำข้าวมันไก่ จะสอนเคล็ดลับ มันก็ต้องอารัมภบท ไหว้ครูกันก่อน อ่ะ ขยับเข้ามา ดอกไม้ ใส่พาน ค่าบูชาครู สองสลึง พร้อมยัง
มีใครรู้ไหมว่า อุบัติเหตุในสากล ละ โลก นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าเป็นสมัยมนุษย์ยุคหิน ก็คงจะตอบว่า อุบัติเหตุ เกิดจากความประมาท แบบว่า วิ่งไล่หมู หมา กา ไก่ หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ดีๆ ไม่ทันระวัง ตกเขาตาย หรือไม่ก็ถูก เสือ สิงห์ กระทิงดุ เล่นงานเอาถึงตาย ส่วนไอ้พวกที่รอดมาได้ก็มาเล่าให้คนที่เหลือฟัง ว่าไอ้เสือใหญ่ตัวนั้น ตามันสีเหลืองเป็นประกาย เขี้ยวยาวลากพื้นแกรกๆ พละกำลังราวช้างสาร แล้วก็เติมความพิศดารเข้าไปอีกนิดหน่อย พวกลูกเล็กเด็กแดงฟังกันตาแป๋ว ตอนจบ ลงเอยว่า ถ้าจะเข้าป่าล่าสัตว์ แล้วแคล้วคลาดจากเหตุเภทภัย ก็ต้อง หาเครื่องสังเวยมาบูชา เทพเจ้า ฮูลูลู โดยที่จะต้องให้ข้าเป็นผู้จัดพิธีขึ้น และนี่เลย หินวิเศษ เอาไว้อม เวลาออกป่า ว่าแล้วก็เอาไปวาดไว้ข้างผนังถ้า เพื่อใช้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา





อ่ะ มะ...เข้ามาดูใกล้ๆ นี่คือภาพเขียนสี ที่ถ้ำแห่งหนึ่งแถวๆบ้านเชียง ที่เข้าใจว่า เซฟตี้ประจำชนเผ่า ดั้งแปบเขียนเอาไว้ ยังไม่มีผู้ใดถอดรหัสออกมาเป็นตำหรับตำราได้  แต่ถ้าคุณโทรมาตอนนี้ เราจะให้ลายแทง พร้อมตำบรรยาย ไปในราคาสองร้อยบาทถ้วน แถมเครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องล้างจาน และอีกหลายรายการ มูลค่าเกือบสามแสนบาท โอย กรูจะบ้า ของราคาสองร้อย ของแถมสามแสน คนขายก็บ้า คนซื้อก็สติไม่ดี พอๆกัน

เข้าเรื่องก่อน เดี๋ยวคนอ่านจะด่าเอา
เขียนให้อ่านฟรีๆแล้วยังบ่น ทีเฟสบุ๊ค มีแค่สระเอตัวเดียว มีคนกดไลค์เป็นล้านๆ โอยๆๆ กรูจะบ้าอีกแล้ว เอาเป็นว่า นี่เป็นเคล็ดวิชา ในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่สามารถลด อุบัติเหตุลงได้อย่างต่อเนื่อง และฐาวรชั่วกาลนานเทิอญ เลยทีเดียว

พักโฆษณาสักครู่ (กรูยังไม่ทันเหนื่อยเลย พักโฆษณาอยู่นั่น)


จบก่อนดีกว่า หมดคาบเรียน เอาไว้คอยติดตามตอนต่อไป รับรอง จบก่อนสร้างโรงงานเสร็จแน่ครับ อาจารย์ หึๆๆๆ



วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

เข้า บ่ เถิง เขา บ่ให่ เข่า

ในทุกๆการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย น้อยนักที่จะได้เห็น คนสวน แม่บ้าน รปภ.มีโอกาสได้เข้ารับการฝึกอบรมกับเขาบ้าง กิจกรรมต่างๆมักจะจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มพนักงานประจำที่เป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายธุระการ ฝ่ายซ่อมบำรุงและผู้รับเหมาที่ทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต มาตรการต่างๆด้านความปลอดภัย เช่น ประชุมกลุ่มย่อย ระบบขออนุญาตทำงาน อุปกรณ์ป้องกันอันตรายและอื่นๆ ก็หาได้เข้าถึงพวกเขาไม่... ที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่มีหน่วยงานไหนที่จะบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า พวกเขาอยู่ใต้สังกัด เขาจึงอยู่ในกลุ่มที่จะบอกเราว่า เข้า บ่ เถิงดอก เขาบ่ให้เข้า



จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะเห็นคนตัดหญ้าเข็นเครื่องตัดหญ้าโกโรโกโสไปที่ห้องซ่อมบำรุง ขอยืมประแจที่ห้องช่าง ถอดใบมีดออกมาลับเอง  หรือไปขอยืมบันไดปีนตัดต้นไม้ ... ดีร้ายก็ถูกตะเพิดให้เอาไปซ่อมที่อื่น หรือดีหน่อยก็ได้รับการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อจากช่างใจดี  คนพวกนี้ไม่อยู่ในเรดาร์ของการบริหารจัดการ บางคนก็ไม่ใช่พนักงานบริษัทโดยตรงแต่เป็นคนงานที่จ้างผ่านบริษัทหัวคิวอีกต่อหนึ่ง เครื่องไม้เครื่องมือก็หามาเอง เสียก็ซ่อมเอง ทำงานก็ทำเอง น้อยครั้งนักที่จะมีใครไปกำกับดูแล โดยรวมก็คือ อยู่ตามมีตามเกิด อย่างกรณีคนสวนถูกใบมีดของเครื่องตัดหญ้าบาดระหว่างที่เขาพยายามใส่ใบมีดที่เพิ่งถูกลับมาคมกริบ เหตุเกิดเพราะประแจแหวนมันไม่ลงล็อค หัวน๊อตมันใกล้กันและประแจทำมุมไม่ดี พอออกแรงดัน ประแจหลุดจากหัวน๊อต นิ้วหัวแม่มือก็กระแทกเข้ากับคมใบมีดเลือดอาบ

เมื่อไม่นานมานี้ คนงานเช็ดกระจกที่อยู่บนนั่งร้านแบบกระเช้า ตกลงมาตายคาที่สามศพเพราะสายสลิงขาด ก็อีหรอบเดียวกัน ช่างแอร์ถูกไฟดูด ขณะเข้าบริการล้างแอร์ที่กันสาดอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ถามเข้าก็ไม่รู้ว่างานนี้ใครดูแล ซ่อมบำรุง หรือฝ่ายธุระการ


ระบบต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น ต้องใช้ถุงมือหรืออุปกรณ์อะไร ต้องขออนุญาตไหม ต้องกั้นพื้นที่ ต้องติดป้ายเตือน ต้องตัดไฟไหม จิปาถะจะถูกบายพาสหมดสิ้น เพราะไม่มีเจ้าภาพดูแล บางทีสายงานและความรับผิดชอบที่กำหนดไว้ก็ไม่ชัดเจน คนทำก็งง คนคุมก็มึน
มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้ามารับจ้างรายวันในโรงงานอุตสาหกรรม เช่นคัดแยกเศษไม้ กระดาษ ถังสารเคมี ที่อาจจะต้องเสี่ยงกับตะปู สารเคมี ฝุ่นผง ขอบคมของปี๊บ ถัง และอะไรอีกมากมาย  เชื่อไหมว่าพวกเขามือเปล่า บางคนรองเท้าขาดหัวแม่ตีนโผล่ ถามเข้าก็งง บอกแค่ว่า เถ้าแก่ให้มาแบบเนี๊ย
รปภ. เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในแดนสนธยา นัยหนึ่งก็เหมือนจะมีอำนาจในการขอดูบัตร ขอตรวจค้น และคัดกรองคนเข้า คนออก แต่เอาเข้าจริง กิจวัตรประจำวันของพวกเขาก็จำกัดอยู่แค่ ยืนตะเบะรถที่ผ่านเข้าออก อาจจะขอเปิดท้ายบ้างเล็กน้อย แม้จะเห็นว่ามีของอะไรอยู่ท้ายรถ หากจะขอดูใบผ่านก็ไม่กล้า กลัวจะถูกตะคอก เรื่องที่จะตรวจบัตร ตรวจสติกเกอร์ที่แสดงว่าเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตสำหรับที่นั้นๆ อย่าหวัง รปภ.จะเป็นคนที่โชคดีกว่าคนอื่น ตรงที่งานไม่หนัก ไม่เหนื่อย แต่ง่วง แค่นั้นเอง นั่งเฝ้าป้อมยามไปวันๆ ที่จะเดินตรวจประตูหน้าต่าง พื้นที่หวงห้าม จุดอ่อนที่จะเกิดการโจรกรรม บุกรุก งัดแงะ ลักขโมย มันเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในเอกสารตอนเสนอราคา เอาเข้าจริงๆ มีที่เดียวที่เฝ้าอย่างดีก็คือป้อมยาม รปภ.บางคนควงสองกะสามกะ เพราะความที่อุตสาหกรรมบริการแบบนี้หาคนมาทำงานประจำยั่งยืนได้ยาก ส่วนมากบริษัท รปภ.จะเอารถไปรับคนมาจากชนบท เอามาแต่งเครื่องแบบ ฝึกซ้ายหัน ขวาหัน ตะเบะให้ดูทะมัดทะแมงเป็นใช้ได้ พวกเครื่องแบบ กระบอง ไฟฉายอะไรต่างๆก็หักเอาจากค่าแรงเดือนแรกๆ เหมือนจับเสือมือเปล่า เพราะฉะนั้น รปภ.สมัครเล่น เจอกับผู้ว่าจ้างแบบขอไปที ก็เลยพอดีกัน อยู่กันไป อย่าให้มีของหายก็แล้วกัน แต่ถึงจะมีของหาย บริษัท รปภ.ก็ไปหักเอาจากเงินเดือนพวกนี้อยู่ดี พอหน้าทำไร่ทำนามาถึง ก็กลับบ้านนอก พวกที่เหลือก็ควงกะกันเป็นว่าเล่น นายจ้างไม่เคยเช็ค สบายไป เผลอก็แอบงีบ
อยากรู้ว่า รปภ.อยู่กันอย่างไร ก็ลองไปตีซี้ดู ลองเข้าไปดูในป้อมยาม ดูกาต้มน้ำ ดูกะละมังกาละแหม่ง ที่เขาใช้ บางที่อนาถา ไม่ต้องพูดถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสากล หายาก

กลุ่มสุดท้าย พวกแม่บ้าน พนักงานทำความสะอาด พวกนี้ดีหน่อย ใกล้เจ้าใกล้นาย คนไหนช่างจ้อ ก็ได้รับใช้ใกล้ชิด ล้างส้วม ชงกาแฟประเคน (แล้วแต่ว่าอันไหนด่วนกว่า) งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร บางคนวางตัวเป็นเจ้าแม่อีกต่างหาก ประมาณว่าถ้าไม่ใหญ่จริง อย่าหวังว่าจะได้แตะต้องกาแฟของพวกเธอ เพราะสงวนไว้สำหรับผู้บริหารระดับซู๊งงงงงเท่านั้น

อันตรายหลักๆอย่างน้ำยาถูกระจก(ห้ามผวนคำ เพราะไม่สุภาพ) น้ำยาล้างส้วม ทำอะไรพวกเธอไม่ได้หรอก จะให้ใส่แว่นใส่ถุงมือ มันถูไม่ถนัด ดีไม่ดีเซฟตี้พูดมากอาจจะถูกวางยา เอาฟองน้ำขัดส้วม ไปขัดถ้วยกาแฟเอามาให้กินซะหรอก

ไม่ว่าจะเป็นใคร เวลาเจ็บ เวลาป่วยขึ้นมามันก็เป็นเรื่อง ที่ว่าเป็นเรื่องก็คือต้องสอบสวน ต้องหาสาเหตุ ต้องหาทางป้องกัน

มีอยู่แห่งหนึ่งที่ รปภ. มีอาการทางประสาท แล้วไม่มีใครใส่ใจ เขาเดินเทิ่งออกไปให้รถบรรทุกชนตายคาที่หน้าป้อมยาม อีกที่หนึ่ง รปภ.พกปืนมา แล้วเอามาทำความสะอาด ปืนลั่นใส่ท้องตัวเอง
อีกที่หนึ่ง รปภ.ถูกตบด้วยรองเท้าเซฟตี้สลบคาที่ ข้อหามีกิ๊กเป็นแม่บ้าน

ที่ร่ายมาทั้งหมด ถ้าเข้าไม่ถึง ไม่มีทางรู้ เชื่อดิ

เรื่องของ (กู)

ถ้าจะถามว่าตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ทำงานด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัยมาทั้งในประเทศไทยและแถบๆภูมิภาคเอเชียอะไรที่เป็นเรื่องยากที่สุด ผมตอบได้เลยว่า ทำให้คนรักชีวิตและรักษาสิทธิของตัวเองในเรื่องความปลอดภัย เป็นเรื่องยากที่สุด การทำงานแบบโลดโผนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจึงมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ พอไปเตือนไปบอกเข้าก็ฮึดฮัดฮื่อแฮ่ ฮึ่มๆๆๆๆประมาณว่าอย่ามายุ่งกะกู 




อย่างกรณีพนักงานซ่อมบำรุงของบริษัทแห่งหนึ่ง กำลังทำงานซ่อมเครื่องโม่ที่เรียกว่าบอลมิล ไอ้เครื่องจักรแบบนี้มันจะมีอันตรายก็ในยามที่ต้องหยุดซ่อม ต้องมีคนเข้าไปถอดชิ้นส่วน ต้องเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งหากมีใครมาสตาร์ทเครื่องเข้าในจังหวะนั้นก็จะเป็นอันตรายสาหัส การที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยก็ต้องทำตามขั้นตอนการตัดแยกแหล่งพลังงานทั้งหลาย ติดกุญแจและแขวนป้ายเตือน ได้ใบอนุญาตทำงานเสียก่อน แต่ปรากฏว่าสภาพที่เห็นไม่เป็นไปตามนั้นเลย พวกเขาไม่ทำตามขั้นตอนความปลอดภัยเลยแม้แต่ข้อเดียว พอเรียกเซฟตี้มาซักไซร้ไล่เลียงก็ได้ความว่า “ที่นี่เขาไม่ทำกันหรอกครับพี่มันเสียเวลา”

 

ฟังแล้วขนหัวลุก โดยเฉพาะกลุ่มนี้ดูจากประวัติอุบัติเหตุเคยทำให้เด็กรับเหมาถูกไฟดูดตกลงมาจากบันไดหัวกระแทกขอบโต๊ะตายคาที่มาแล้วเมื่อสามเดือนก่อนที่เราจะมาเริ่มงาน หัวหน้าแก๊งนี้เคยทำคนงานตายคาท่อส่งน้ำดินมาแล้วเมื่อสี่ปีก่อนตัวเขาเองก็เกือบตาย  ในที่สุดผมจึงต้องเร่งให้มีการอบรมเรื่องการขออนุญาตทำงาน การตัดแยกระบบที่เรียกว่า โลโตโต้ ภาษาอังกฤษเรียกว่าล๊อกเอ๊าท์แท่กเอ๊าท์ (นี่ถ้าพวกราชบัญดิดตะยะสะถานมาอ่านคงเคืองหน้าดู) อบรมกันไปสองวันเต็มๆ สอนวิธีการตัดพลังงาน การใช้กุญแจ การตัดระบบสาระพัด พอตอนจบพี่ๆเขายกมือถามว่าไอ้พวกเนี้ยทำไปทำไม เสียเวลาตายห่า จะซ่อมอะไรแต่ละทีมัวมาเช็คนั่นเช็คนี่ พอดีเครื่องไม่ต้องเดินกันพอดี เสียเวลาโคตรๆ 

งัยหละฟังแล้วสะอึก จึงย้อนถามพี่เขาไปว่าที่ต้องเสียเวลาล๊อกนู่นนี่นั่นเพื่อให้ปลอดภัยนั้นเป็นเวลาของใคร??? เวลาของเขา???หรือเวลาของบริษัท???  ถูกต้องแล้วครับมันคือเวลาของบริษัทที่เขายอมเสียเพื่อให้ลูกจ้างปลอดภัย แต่ลูกจ้างไม่เข้าใจ กลัวนายจ้างจะผลิตได้น้อย กลัวเครื่องหยุดนานก็เลยยอมตายถวายชีวิต ทำทุกวิถีทางเพื่อนายจ้างโดยไม่สนใจว่าตัวจะเจ็บจะตาย

 

พอถามย้ำว่าถ้าคุณทำเร็วๆ ไม่สนจะเป็นจะตาย นายจ้างเขาจ่ายเพิ่มให้ไหม??? ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้จ่ายเพิ่มให้ตามความเร็วและงานที่ได้ แล้วพอถามเอาแบบจริงๆจังๆว่าถ้าพี่บาดเจ็บหรือพิการ หรือตายใครลำบากกับพี่ด้วย??? นายจ้างหรือก็ไม่ใช่อีก ถามว่าเขาจะเลี้ยงและส่งลูกพี่เรียนจนจบมหาลัยมั๊ย ???นายจ้างหรือ หรือกองทุนเงินทดแทน เงียบ พอถามหนักๆเข้าก็บอกว่า เป็นลูกจ้างเขาให้ทำยังงัยก็ทำ นั่นว่าเข้าไปนั่น  ถามจริงๆเหอะ เข้าใจคำว่าลูกจ้างนายจ้างผิดไปมั๊ง  กฏหมายแรงงานน่ะหัดไปหาอ่านซะมั่ง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณไปหาอ่านกฏหมา รัดถะทำมะนูนก่อน ก็จะดีนะจะได้เข้าใจว่า เราทำงานแลกกับค่าจ้าง เอาแรงเอาสมองเอาความชำนาญมาแลกค่าจ้างไม่ใช่เอานิ้ว เอามือ เอาแขนเอาขาเอาลูกตามาแลก พวกคนต่างชาติชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย หรือใครก็แล้วแต่ที่ผมเคยเห็นมา มันไม่ทำหรอกถ้าไม่ปลอดภัย มันไม่บ่นหรอกถ้าให้มันทำตามขั้นตอนให้เกิดความปลอดภัยสำหรับพวกมัน รู้มั๊ยเพราะอะไร เพราะมันปอดแหก ขี้กลัว รักชีวิต และที่สำคัญ ไม่ยอมเสียสิทธิในการมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยโดยเด็ดขาด มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ในสังคมประชาธิปไตย


อย่าโกรธนะถ้าจะบอกว่า เรื่องแบบนี้ คนไทยยังห่างไกล  คนไทย เจ็ก ญวน แขก เหมือนกันหมดประเทศที่จะเจริญครึ่งกลางๆ ประเทศที่มีทั้งขี้หมาขี้คนกลางสะพานลอย มีหลุมให้คนเดินตกกลางถนนในเมืองหลวง ถนนหนทางมีกองอิฐกองดินมีป้ายทู่เรศๆว่าเขตก่อสร้างกูไม่ได้ห้ามถ้าจะขับรถไปชนกองหินตายเล่นๆ  พอเอาเข้าจริง ขี้เกรงใจ คนในประเทศแถบนี้ไม่บ่นแม้ว่าจะต้องให้แบกให้หามเหมือนวัวเหมือนควาย ดีใจเสียอีกถ้าไม่ต้องใส่แว่น ใส่ที่กรองฝุ่นอันตราย ปอดพังไม่ว่าแต่อย่ามายุ่งกะกู  เฮ่อ อนาถจิต กรูจะบ้า เอาเหอะ งั้นก็เรื่องของมึงละกัน (It’s your business!)

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

กรรมกรต่างภาษาเซฟตี้ปากหมาต่างแดน

 

Emotional Brain ทำให้เราจำอะไรได้นาน จำไม่ลืม

 

เดือนเมษา วันหยุดยาวๆ แดดแบบนี้

แดดเปรี้ยงๆแบบนี้ทำให้หวนนึกถึงยามที่ไปตกระกำลำบากอยู่สิงคโปร์

ความที่ผืนดินบนเกาะจูล่ง นั้นอยู่กลางทะเล เวลาใกล้เที่ยงแดดตรงหัว มันจึงร้อนจนแทบละลาย มันร้อนอบอ้าว ไม่เหมือนความร้อนตรงสันเขื่อนฮูเวอร์ที่อเมริกา ที่ร้อนแห้งๆราวกับเสื้อสีดำที่ใส่ไปจะลุกติดไฟพรึบขึ้นมา นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอลมร้อนแบบทะเลทราย ยิ่งต้องลงไปเดินอยู่กลางแจ้งยิ่งเหมือนกับหนังจะหลุดออกจากเนื้อเลยทีเดียว ร้อนทะเลทรายกับร้อนทะลมันไม่เหมือนกัน ถ้าให้เลือกร้อนแบบหลังดีกว่าเยอะ เพราะเราคุ้นเคย

อุณหภูมิที่สูงกับความชื้นในอากาศที่มากทำให้เหงื่อออกเป็นน้ำเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ใต้หมวกเซฟตี้ปีกกว้างแบบคาวบอย ผมเผ้าที่รกรุงรังเปียกชุ่ม เสื้อแขนยาวแม้จะมีช่องระบายอากาศที่แผ่นหลังก็โชกไปด้วยเหงื่อ

กางเกงในฉ่ำไปด้วยน้ำพักน้ำแรง

แสงแดดหลุบลงในช่วงบ่ายตามมาด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าร้องกึกก้องแผดผ่าเปรี้ยงๆตรงนั้นตรงนี้เป็นระยะๆ เป็นแบบนี้ทุกวัน

ที่หลบฝนในตู้คอนเทนเนอร์จึงแออัดไแด้วยผู้ใช้แรงงานตัวเหม็นๆอย่างพวกเรา กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเต่า กลิ่นรองเท้าเหม็นตุ่ยๆจึงเป็นเหมือนไออบของชีวิตที่ใช้แรงงานในต่างแดน

คลุกคลีกับคนงานจนเป็นเหมือนพี่น้อง ผมจึงเป็นเหมือนทุกเรื่องยามที่เขาลำบาก

คนงานคนหนึ่งถูกตรวจพบฉี่สีม่วง

เขายืนกรานว่าไม่เคยเสพสารเสพติดอย่างที่ห้องพยาบาลของเอ็กซอนโมบิลกล่าวหา

เขาถูกส่งไปสถานีตำรวจ ถูกขังและส่งตรวจอีกสองรอบที่โรงพยาบาล ผลเป็นลบทั้งสองครั้ง แต่แทนที่จะได้รับการส่งมาทำงานเขากลับถูกแผนกเซฟตี่ของเอ๋กซอนออกคำสั่งประกาศิตส่งเขากลับบ้าน ไม่แยแสหนังสือโต้แย้งจากเรา

นั่นทำให้เราเริ่มเกลียดพวกที่ใส่เสื้อเซฟตี้แต่หาได้มีสำนึกแบบเซฟตี้จริงๆเลย มันบ้าอำนาจ ใช่เลย เซฟตี้แบบบ้าอำนาจ บ้าตัว E-ENFORCEMENT

คนงานอีกคนป่วย ผมไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขา หมอที่นั่นวินิจฉัยว่าเขาป่วยด้วยอาการ ที่เรียกว่า ชริโซฟีเนียร์ คนไข้ได้ยินเสียงในหัวของเขาเอง เหมือนมีใครมาคุยด้วยตลอด เขาพูดคนเดียว เลยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคทางจิต ที่นั่นคนไม่บ้าเข้าไปอยู่รวมกันกับคนบ้า คงบ้าได้ง่าย

คนงานรายนี้ มีลูกหนี้มากมายในไซท์งาน เพราะเขาขี้เหนียวเก็บเงินได้มาก ให้คนยืมไปเยอะ พบป่วย สิ่งที่เขาส่งมอบให้ผมคือบัญชีลูกหนี้ ป๊าดในรายชื่อเหล่านั้นมีระดับซุปเปอร์ไวเซอร์หลายคนเชียว

สิงคโปร์ เป็นเมืองเล็กๆ กิจกรรมยามว่างของคนงานในวันหยุดแค่วันเดียวต่อสัปดาห์ คือการไปสุมหัวกันในย่านคนไทย กิน เที่ยว ปลดปล่อย แล้วก็มุ่งหน้ากลับหอพักให้ทันเวลา มิเช่นนั้นจะเข้าไม่ได้ คราวนี้ก็เป็นเรื่อง มีอยู่หลายหนที่คนงานไปติดค้างอยู่ข้างนอก เดือดร้อนเราทุกครั้ง
คนงานต่อยกันหน้าตาบวมปูด สอบสวนได้ความว่าเมา หมั่นใส้กันตอนจีบสาว พกความหมั่นใส้กลับมาด้วยกัน ได้จังหวะเลยต่อยกันหน้าตาเละ สุดท้ายส่งกลับทั่งคู่
การทำงานในไซท์ก่อสร้าง ในฐานะผู้รับเหมา เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ได้เจอพวกเซฟตี้แปลกๆ คนไทย ฟิลิปปินส์ แขกมาเลย์ อินเดีย แต่ที่กวรตีนที่สุดขี้เก็กที่สุด ไม่มีใครกินเซฟตี้คนไทย
ไอ้พวกนี้ใส่ชุดเอ็กซอนโมบิลแล้วราวกับมันเป็นพระเจ้า เดินมาอย่างนายแบบ กอดกระดานรองเขียน สะพายกล้อง มาจ้องเมียงๆมองๆคนงานไทยที่ทำงานบนนั่งร้าน แล้วกวักมือเรียก ไอ่น้องลงมานี่หน่อย พอคนงานปลดตะขอสายกันตก จะลงมาหามัน มันยกกล้องถ่ายรูปแชะ แล้วเอาไปใส่รายงานว่สคนงานไทยไร้สำนึกไม่คล้องสายกันตก ระยำจริงๆไอ้นี่
ไอ้แขกอินเดียอีกคน ไอ้นี่มาซุ่มๆดูคนงานเจียร์งานในซุ้มผ้ากันไฟ มีไฟร์วอทช์อยู่ใกล้แต่ไม่เกินสามเมตร ไอ้หอกนี้เดินมาหาผมโวยวายว่าคนงานทำงานแบบโลนเวิร์คเกอร์ ผมเถียงไปว่ามันไม่ใช่โลนเวิร์คกิ้ง กูยืนหัวโด่อยู่นี่ ไฟร์วอทช์ก็อยู่ด้วยตลอด เถียงมันไป มันบอกยูมีทัศนะคติไม่ดี ขอคุยกับผู้จัดการ เลยบอกมันไปว่า กูนี่ไงผู้จัดการ ไอ้ควาย มึงมีปัญญาแค่กดขี่คนงาน มึกแหกตาดูสิว่ามันไม่ใช่ Lone working ด่ามันไปอีกหลายประโยค มันเลยเดินหนีไปเลย
นึกไปนึกมา ก็แวบขึ้นมาในหัวว่า เราเคยงี่เง่าแบบนี้กับผู้รับเหมารึเปล่าวะ กรรมถึงตามสนอง แต่เอ... เราไม่เคยงี่เง่าแบบนี้เลยนี่หว่า

ปั๊กยู

 
 
 
 


 

หลับใน เอะใครมาหลับยาว

MICROSLEEP

เผลองีบไปติดส์นึง




 

สมัยเรียนปีหนึ่งที่ศิลปากร มีเพื่อนซี้คนหนึ่ง มันชื่อไอ้มิตร ที่ว่าเป็นเพื่อนซี้ เพราะไอ้นี่มันรหัสติดกันกับผม พออาจารย์ขานชื่อสุมิตร ถัดมาก็ต้องเป็นสุมนต์ เพื่อนคนนี้มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ มันหลับได้ทุกคาบ พออาจารย์เริ่มสอน ผมหันไปดู ก็จะเห็นมันมีอาการแบบนี้เลย


 มันพยายามเปิดเปลือกตา ชนิดที่ว่าฝืนสุดๆ ดูเหมือนเปลือกตาไอ้นี่จะหนักมาก เลยดูเหมือนมันพยายามทำตาปะหลับปะเหลือก เดี๋ยวๆตามันก็ปรือๆทำท่าจะปิดแหล่มิปิดแหล่

  •  สับปะหงก อันนี้ไม่ต้องบรรยาย คือคนมันฝืน พยายามเอาหัวให้ตั้งเข้าไว้ พอฝืนไปสักพัก คอก็หักงุ๊บลงมา

  •  พอรู้สึกตัว มันก็ทำท่าจดยิกๆๆๆ ไม่รู้มันจดอะไร เคยขอดูสมุดเล็คเชอร์มัน เห็นมีแต่เส้นขีดไปขีดมา ไอ้บ้าจดอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก

  • กระพริบตาถี่ๆ อันนี้เกิดจากความพยายามจะตื่น กระพริบไปพักเดียว จะเห็นตามันจ้องเขม็งแบบไร้จุดหมาย มันไปแล้ว ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว


ที่พูดมานั้น เป็นอาการที่เรียกว่า ไมโครสลีป (Micro sleep) คนไทยเรียกหลับใน

 

เพื่อนผมหลับในมันไม่มีอันตรายกับใคร อย่างมากก็โดนอาจารย์ด่า แต่ถ้าหลับในอย่างกรณีในรูปข้างบน นั่น ตายไปสี่ศพ แตงมงแตงโมกระจายเกลื่อนถนน เป็นอุบัติเหตุพริตตี้หลับใน รถพุ่งชนคนที่ป้ายรถเมล์  อุบัติเหตุจากคนขับรถหลับใน จึงมีให้เห็นเป็นประจำ  สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ คนเราไม่เชื่อว่าตัวเองจะหลับใน ถามทีไรก็บอกไม่ง่วง ลองไปถามคนขับรถดู ว่า พี่ๆ ง่วงมั๊ย ร้อยทั้งร้อย มันบอกไม่ง่วง

ปีกลาย ไปเผาศพแม่ของรุ่นน้องคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างการตะลอนทัวร์ทำบุญเก้าวัดทางภาคเหนือ คนขับรถตู้หลับใน ตายไปสามศพ เจ็บอีกสี่ คนขับตื่นขึ้นมางง ถามว่าหลับในรึเปล่า มันบอกว่าปล่าว แค่พักเปลือกตาไปแวบเดียว

การหลับในเกิดขึ้นเมื่อสมองหยุดสั่งไปไปในช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 2 ถึง 10 วินาที อย่างเพื่อนผมมันงึบไปแต่ละทีประมาณ  4 วินาที  ถ้าหากไอ้นี่กำลังขับรถ ห้อตะบึงมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนที่มันงึบไป 4 วินาที รถจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ สูตรคำนวณ  V = S/t  แทนค่าสูตร  ย้ายข้างเอา t ไปคูณกับ V แล้วแปลงหน่วยจากชั่วโมงเป็นวินาที จะได้ว่า ระยะทางที่รถพุ่งไปในช่วง 4 วินาทีงึบๆนั้น มีค่า เท่ากับ 0.111 กิโลเมตร เอา 1000 คูณเข้าไปเพื่อแปลงหน่วยเป็นเมตร  หรือเท่ากับ 111 เมตร นั่นแหละคือระยะทางที่รถพุ่งไปข้างหน้าแบบไร้คนขับ คือคนขับมันหลับไปแล้ว รถก็เลยไม่ยอมเลี้ยวตามโค้ง  รถวิ่งข้างเลน รถวิ่งข้ามเกาะกลางถนน รถวิ่งลงเหว รถวิ่งชนป้ายรถเมล์ รถวิ่งไปตามอำเภอใจ ใครหลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้ก็หลับยาว

 

 
 
เรื่องหลับในจึงเป็นเรื่องหนึ่งในงานความปลอดภัย มันเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากมาก หากผู้คนยังไม่เชื่อว่า


·       ก. มนุษย์ เป็นสัตว์เลือดอุ่น สมองมนุษย์บางส่วนสามารถหยุดทำงานหรือเกิดอาการ Micro sleep ได้กันทุกคน เรื่องนี้ฝรั่งมันทำวิจัยกันมามากมาย ทั่วโลกเขาเชื่อว่าคนในโลกนี้หลับในได้ทุกคน แต่คนไทย เราเป็นประเทศที่มีเอกราชมาช้านาน มึงอย่ามาหลอกกูเสียให้ยาก คนไทยไม่หลับในโว้ย นั่นมันเป็นการ  พักสายตาเถิดหนาคนดี หลับลงตรงนี้ ที่ที่มีแต่เราสองคน ... เหยียบมอไซด์ เหยียบหมา เหยียบคน สับสน หลายอย่าง บางเวลาต้องการ...ฮัมๆๆๆ


·       ข. ขนาดเชื่อว่าหลับในได้ มันยังฝืนขับต่อ คนประเทศไหนวะเนี่ย


 

ป้องกันอย่างไรไม่ให้หลับใน

 

 งานวิจัยพบว่า คนจะง่วงหนักหนาสาหัสแบบเอาไม่อยู่ช่วง ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า โดยเฉพาะคนที่อดนอน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า สลีปเดปท์ หรือพวกติดหนี้การนอน  พวกอดนอนมากๆ สมองบทมันจะหยุดเข้าสู่สภาวะหลับใน มันไม่บอกไม่กล่าว มันหลับไปเลย อย่างเพื่อนผม เห็นนั่งตาแป๋ว มันไม่มีวิญญานแล้ว มันหลับฝันถึงอีเป้าไปตั้งนานแล้ว (สุดท้ายอีเป้าสาวอักษรก็หักอกมัน)

 

เพราะฉะนั้น นี่คือคำแนะนำสำหรับพี่ๆน้องๆที่จะต้องขับรถกลับบ้านเก่าช่วงสงกรานต์

 

 

1.     หลีกเลี่ยง สภาพที่ต้องอดหลับอดนอนที่ทำให้นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง อย่างเช่น เล่นเฟส แช็ทคุยกับสาว สไกป์เสียวกับสาวออนไลน์ ดูหนัง(โป้) หนังอื่นมันไม่ดูดึกขนาดนั้นแน่นอน

 

2.     แก้ไขสาเหตุที่ทำให้รบกวนการนอน เช่นที่นอนหัดซักซะบ้าง คันคะเยอ ร้อนอบอ้าว เสียงดังรบกวน มีเด็กร้องโยเย แนะนำให้ไปนอนที่อื่นที่หลับสบายๆขึ้น กึ๋ยๆๆ แต่วธีนี้เมียจับได้อาจจะเกิดอาการแมคโครสลีปขึ้นได้นะครับ

 

3.     เลี่ยงการเข้ากะกลางคืน หรือเปลี่ยนกะโดยที่คุณไม่ได้พักผ่อนเพียงพอมาก่อน ประเภทควงกะ ต่อกะ มั่วไปหมด

 

4.     เลี่ยงการขับรถในเวลากลางคืน โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์ ตีหนึ่งถึง หกโมงเช้า

 

5.     ถ้าคุณทำกะกลางคืนเป็นปกติ อย่าลืมว่าเวลานอนของคุณมันกลับกันกับคนอื่น ถึงเวลานอนต้องนอน อย่าไปแรดไปทั่ว

 

6.     การดื่มเหล้า หรือกินยาบางอย่างจะทำให้ง่วง อย่างยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก

 

7.     ขับรถยาวเกินกว่า 15 ชั่วโมง แบบนี้หลับในชัวร์

 

 

พูดมาถึงตรงนี้  เมื่อไหร่ที่คุณมีอาการแบบไอ้มิตรเพื่อนผม รีบเลย หาที่แวะ พักผ่อน ล้างหน้าล้างตา หาที่เหมาะนอนพักสักงีบ การได้หลับ เป็นวิธีเดียวของการแก้ปัญหาหลับใน กาแฟ ลิโพ โอเลี้ยง เอ็มร้อย กินเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่หรอกครับ เพราะอาการ ไมโครสลีป มันเป็นระบบออโต้ของสมอง เขาเรียกว่า อินโวลันทารี่ คือมันทำงานของมันเอง มันหยุดของมันเอง ใครก็ฝืนไม่ได้ ต่อให้ ดึงหู แลบลิ้น ตะโกน หยิก ตบหน้าตัวเอง ทำสาระพัด แป็บเดียว หลับปุ๊บ อยากตื่น มะ จะตบให้   ส่วนไอ้นี่ หลับยาม วันหลังไปหลับในป้อมนะไอ้น้อง  ไปหลับข้างใน พี่เป็นห่วง
 


ษมน รจนาพัฒน์                            
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

สมองกิ้งก่าปัญญากิ้งกือ

เคยได้ยินมั๊ย สมองกิ้งก่าปัญญากิ้งกือ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ เพราะเพิ่งจะคิดหัวข้อขึ้นมาตะกี้นี้เอง เอาละจะขยายความให้ฟัง
กิ้งก่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานเป็นหลานของเหี้ยเป็นเฮียของตะกวดเป็นทวดของแย้เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของกิ้งก่าอีกทีนึง ที่ลำดับญาติให้ฟังคร่าวๆโดยยังไม่พาดพิงใครก็เพื่อจะบอกว่าไอ้พวกเนี้ยเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภท เร็บไทล์ -Reptile ทฤษฎีมากมายอธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ส่วนลิงก็มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆจากตัวอื่นๆ ไล่ไปไล่มา มนุษย์ก็มีบรรพบุรุษมาจากตะกวด อะไรทำนองนี้ สิ่งที่แตกต่างระหว่างมนุษย์กับไอ้ตัวพวกนี้ก็คือ มนุษย์มีสมองที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่า แต่กระนัี้นก็ตาม
 
สมองของมนุษย์ก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า Reptilian Brain หรือสมองสัตว์เลื้อยคลาน เอาง่ายๆ เรียกว่าสมองเหี้ย ดีมั๊ย เข้าใจง่ายดี ติดมาเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้น เวลาใครด่าว่า ไอ้เหี้ย อย่าไปโกรธเขา เพราะมึงกับกูก็มีปู่คนเดียวกัน อิอิ
สมองส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายขั้นพื้นฐานทั้งหมด เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิร่างกาย ความก้าวร้าว ดุดัน อารมณ์ทางเพศ และอื่นๆที่สมองส่วนอื่นคุมมันไม่ได้ เช่น ดีเจคนหนึ่ง ถูกขับรถปาดหน้า สมองเหี้ยเลยทำงาน เป็นสันดานของการรักษาอาณาเขตของสัตว์ ใครหยามไม่ได้ มันต้องแสดงอำนาจ ดีเจคนดังกล่าวเลยแสดงพฤติกรรมเหี้ยๆออกมา มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน สมองส่วนนี้สามารถถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์ต่างๆมากมาย ได้แก่
  • สภาพวะคับขันอันตราย ถ้าเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก เหี้ย ตะกวด เจอภัยคุกคาม มันจะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น หยุดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ หรือ วิ่งลงรูหายวับ หรือหันหน้าเข้าสู้ อย่างคนเรา เดินข้ามถนนเจอรถพุ่งเข้าใส่ สมองส่วนนี้จะสั่งให้กระโดดหลบ บางคนขาแข็งขยับไม่ได้รถชนเละคาที่
  • สภาวะหิวโหย เวลาคนหิว อย่าเจ๊าะแจ๊ะ เดี๋ยวจะเกิดกรณีกล่องข้าวน้อยฆ่าเมีย มนุษย์ในที่ซึ่งขาดแคลนอาหาร จะแสดงอาการดุร้ายแบบสัตว์ออกมาอย่างชัดเจน
  • อารมณ์โรแมนติก สัตว์เกือบทุกชนิดจะแสดงออกเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม อย่างนกยูงจะรำแพนเพื่อเรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม มนุษย์ก็เช่นกัน เผลอก็เซลฟี่กันที มันเป็นการสั่งการแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นสัญชาติญานของการรักษาและแผ่ขยายยีนส์ของตน
  • สภาพวะแสดงอำนาจ อธิบายไปแล้ว
สมองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเซฟตี้โดยตรง เพราะ ความที่มันเป็นส่วนที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน พอมนุษย์มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ภัยคุกคามถูกกำจัดไปเกือบหมด สิ่งที่ตามมาก็คือ ความชะล่าใจ ข้ามถนนก็เล่นมือถือไปด้วย ขับรถเล่นเฟสบุ๊ค ทำงานในโรงงานอะไรก็ปลอดภัยไปหมด กูเลยไม่สนใจอะไร สุดท้ายม่องเท่ง เพราะสมองเหี้ยไม่ทำงาน
สมองส่วนที่สองเรียกว่าสมองส่วนอารมณ์ Emotional Brain สมองส่วนนี้พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้สมองเหี้ยๆ มันทำงานได้หรือหยุดทำงาน อธิบายง่ายๆก็คือ อย่างไอ้พวกชอบข่มขืน ถ้ามันทำแล้วถูกจับได้ถูกทำโทษ สมองเหี้ยของมันก็จะจำได้ว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะมึง อย่าเที่ยวไปไล่จิ้มใครต่อใครโดยไม่สนใจกฎหมาย ว่ากันว่า ความพึงพอใจจากการกระทำจะส่งผลให้สมองจดจำ อะไรที่เกี่ยวข้องกับอารมรมณ์ คนเราจะจดจำไปชั่วชีวิต อะไรที่ไม่มีอารมณ์จะจำไม่ได้ ไม่เชื่อลองนึกชื่อครูดู เราจะจำได้แม่นหากครูคนนั้นทำอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ของเรา ชมเราจนน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง หรือด่าเรา ตบกะบาลเราหัวทิ่ม จำจนตาย

สมองส่วนถัดมา เรียกว่า Neo Cotex ส่วนนี้ พัฒนาขึ้นมาให้มีความคิด วิเคราะห์ ใช้เหตุใช้ผล มีความลึกล้ำพิศดาร มนุษย์เราถ้าหิว โกรธ หรือโมโหหน้ามืด สมองทั้งสองส่วนจะถูกบายพาส สมองเหี้ยทำงานเต็มที่
เวลาคนกินเหล้า หรือเสพยาเสพติด แอลกอฮอล์จะส่งผลทำให้สื่อประสาททำงานไม่ปกติ สมองในส่วนอื่นๆทำงานน้อยลง ที่เหลือก็เป็นสมองเหี้ยล้วนๆ จึงไม่แปลกที่คนเมาแสดงอาการบ้าๆบอๆออกมา เช่น ก้าวร้าว หื่น ไม่กลัวใคร อะไรทำนองนี้

ในแง่ของความปลอดภัย ผมบอกแล้วว่าสมองส่วนนี้สำคัญต่อการมีชีวิตรอด คนที่อยู่ในที่ซึ่งปลอดภัยมากๆ แต่สมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผลไม่ได้รับการพัฒนามามากพอ จะมีความชะล่าใจ หรือที่เรียกว่า Complacence
แม้ในสภาพอันตราย คนพวกนี้ก็จะหาเหตุผลมาอธิบายว่า หึย มึงเชื่อกูสิ ไม่มีอะไรหรอก รู้มั๊ย นี่ใคร กูทำมาไม่รู้เท่าไหร่ เอาน่ะ แป๊บเดียวเอง อะไรทำนองนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ เอาเหตุผลและอารมณ์มาควบคุมการตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ในสถานการณ์อันตรายและสมองเหี้ยหยุดทำงาน ส่วนมาก ไม่รอด
เทคนิคบางอย่าง เช่น มือชี้ปากย้ำแบบเควายที เป็นการกระตุ้นสมองส่วน Reptilian Brain ไม่ให้หยุดทำงาน เวลาพวกหน่วยซีลออกรบ จะใช้เทคนิคพูดกับตัวเอง เช่น เคลียร์ โก สะต๊อบ อะไรแบบนั้น เพื่อกระตุ้นสมองเหี้ยให้ระมัดระวัง ในวงการ Defensive Driving ก็มีเทคนิคขับรถแบบ Commentary Driving พวกครูฝึกที่จบมาจากญี่ปุ่นเขาเรียกการขับแบบเสียงสั่งสมอง 
จึงไม่แปลก เวลาคนงานไปทำงานกับพวกเจ้านายดัดจริต โลภ เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ ส่วนใหญ่ไม่รอด มักมีเหตุร้ายแรง
ส่วนกิ้งกือ สมองมันคงเล็กมาก แต่ตีนมันเยอะ กิ้งกือตกท่อก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เพราะมันไม่ฉลาด แต่มันไม่รู้จักท่อมาก่อน

ความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของสมองนี้ นำไปอธิบายอะไรได้มากมาย เช่น การที่คนเราเข้าไปตายในที่อับอากาศ ก็เพราะความที่สมองส่วน Emotional Brain มันสั่งการ พอเห็นคนจะเป็นจะตายอยู่ในนั้น ก็ผลีผลามเข้าไป สมองส่วนนี้เวลามันทำงาน ใช้อารมย์ล้วนๆ เหตุผลไม่มี สมองอีกสองส่วนก็หยุดทำงานไป สุดท้ายพอเข้าไป คิดว่าจะกลั้นหายใจได้ ไปเจอแก็สพิษ กะว่ากลั้นหายใจได้สักพัก ที่ไหนได้ สมองเหี้ยแอบสั่งการอีตอนลมใกล้จะหมด ทำให้สูดหายใจเข้าไป ตายแหงแก๋ในรูนั่น

ทีนี้คงพอจะเข้าใจแล้วนะว่าไอ้พฤติกรรม เอี้ยๆ (พูดคำนี้มากๆแล้วมันกระดากปาก เจ้าคุณปู่จะโกรธมากถ้าเกิดมาได้ยินเข้า ท่านคงเอ็ดเอาเสียมากมาย- ผู้ดี สมองเหี้ยมันไม่ค่อยทำงาน แต่สมองส่วนดัดจริตจะใหญ่กว่าคนปกติ แผล่บๆๆ)

จบดีกว่า ไว้คุยกันใหม่

ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...