วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Line of Fire




โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง


เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ว๊าย พี่ ๆๆๆ เป็นอะไร 


เสียงหวีดร้องอย่างตกใจ


ช่วย.....พี่.....ด้วย......พี่.......ถูก......ยีงงงงงงง.......คร่อก




อ่านข่าวนี้แล้ว ผมมีอารมณ์เดียวเลย .... กะลาแลนด์นี่มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว.... แห่ขันหมาก...จะปี้ (คำนี้มาจากคำว่า PEE  Personal Erotically Engagement ) กัน....ต้องยิงปืนฉลอง  อะไรของพวกมึงเนี่ย


ในภาษาเซฟตี้ มีคำหนึ่งที่ผม เน้นนักเน้นหนา กับลูกน้องว่าอย่าให้มี นั่นก็คือคำว่า Line of Fire
แปลว่า ทางปืน พวกจบนอก งง เพราะพูดไทยคำอังกฤษคำ เลยแปลไปว่า ควายเข้าแถว


ไลน์ออฟไฟร์  คือสถานการณ์ที่จะได้รับบาดเจ็บได้ จากการที่มีวัตถุ สิ่งของ เคลื่อนที่ เหวี่ยง หล่น ปลิว กระเด็น ดีด พุ่ง ยิง ไปในทิศทางนั้น แล้วมีคนไปขวางทาง อย่างกรณีนี้ ยิงปืน ถ้ายิงขึ้นฟ้า ลูกปืนก็พุ่งขึ้นฟ้า แล้วบังเอิญมีนกอีแร้งชะตาขาดบินผ่านมาพอดี ลูกปืน โบ๊ะเข้าที่ซอกตูด ร่วงผลอยลงมา แบบนี้เขาเรียก ไลน์ออฟไฟร์




อย่างเวลาทำงานกับเครน มีการยกของ แล้วปรากฏว่าสลิงขาด จังหวะเดียวกับที่ซิกแน่นแมน (ออกเสียงแบบสุพรรณเลย) กะลังยืน (ที่สุพรรณ ไม่มีคำว่า กำลัง เราพูดว่า กะลัง) ทำท่าปอบหยิบอยู่ใต้ของที่มันกะลังยก ของที่ร่วงลงมาหล่นตุ๊บบนหัว เละคาที่ แบบนี้ เรียกว่า ไลน์ออฟไฟร์




คุณเชื่อไหมว่า ความเสี่ยงแบบนี้แหละที่คนไทย เจ็บ และตายมากที่สุด เพราะอะไรรู้ไหม คำตอบก็คือ.....แต่น แต้น แต๊น.... สันดานครับ
  
มันมีสันดานสองอย่างที่ทำให้ควายเข้าแถวตายกันบ่อยๆก็คือ


ก. สันดานมักง่าย ฮึ่ย...มึงเชื่อกูดิ  ไม่ต้องหรอก เรื่องมาก ไม่ตรวจอุปกรณ์ ไม่ ไม่ ๆๆๆๆ ที่สำคัญ ไม่มีการกั้นพื้นที่
ข. สันดานดื้อ  เขากั้นไว้ ห้ามเข้า กูก็ปีน




สมัยอยู่สิงค์โปร์ จำได้เลยว่า คนงานไทย พอลงจากรถได้ มันกรูกันลอดรั้ว ̣(Barricade) ที่เขากั้นไว้ มีป้ายห้ามด้วย ลอดกันเป็นฝูง ทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ลอดกันใหญ่


ไอ้ที่ลอดเข้าไปนั่นน่ะ เป็นพื้นที่ซึ่งเขากั้นไว้สำหรับงานยกด้วยเครน


ผมเริ่มงานวันแรก พอเห็นบั่กห่านี่ลอดกัน ผมก็เป่านกหวีดประจำกาย แหะๆ ผมไม่ใช่ กปปส. ตอนนั้นยังไม่มีเลย พอเป่านกหวีด ปรี๊ดดดดดด  ก็มีเสียงตอบรับเป็นภาษาไทยว่า กรวยยยยยย




ไลน์ออฟไฟร์ เป็นอุบัติเหตุที่ป้องกันได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ก็คือ อย่าให้โดนใคร กันพื้นที่ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่มีใครตาย


แต่ในเมืองกะลาแลนด์เนี่ย อุปกรณ์ที่แพงที่สุด คืออะไรรู้ไหม  ป้ายกับรั้วครับ ส่วนใหญ่จะเน้นใช้ ธงราว แบบธงกถินผ้าป่า


ส่วนใหญ่ พวกที่โดนหนีบ โดนกระแทก ก็พวกที่ทำงานนั่นแหละ ประเภท กูต้องยืนใกล้ๆ ถึงจะเท่ห์ เคยเห็นไหม เวลายกของ ไม่ค่อยใช้ แท่กไลน์ (Tag line) กูชอบประคองใกล้ๆ ทำราวกับว่า ถ้าหล่นลงมา กูจะอุ้มไว้


ลองไปดูนะครับ ไอ้ที่โดนของตกใส่ ของกระเด็นใส่ เหวี่ยงใส่ ร้อยทั้งร้อย มันเกิดจากสาเหตุที่เป็น Immediate Cause อยู่สองประการ ก็คือ มีพลังงานที่ปลดปล่อยจากแหล่งพุ่งออกไป และ ข้อสอง ไปขวางทางมัน



ส่วนกรณียิงปืนมั่วซั่ว เพียงเพื่อเฉลิมฉลองว่าเดี๋ยวเถอะมึง กูจะ โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ กันแล้ว ผมว่ามันบ้าครับ


ไปดีกว่า ไปรำหน้านาคแล้ว ได้เวลา เข้าหอ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง












วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Kala Land 4.0



ปกติ บางทีก็ไม่ปรกติ เพราะภาษาไทย เขียนได้ทั้งแบบปกติ และไม่ปรกติ ซึ่งโดยปกติ ผมเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย โดยเฉพาะ การได้ฟัง ได้เห็น ได้อ่าน และดูความเป็นไปเป็นมาในภาพรวม ของประเทศ แต่ตอนนี้ ผมกำลังสับสนกับศัพท์ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นเสมือนนโยบายของประเทศกะลาแลนด์เลยทีเดียว นโยบายที่ว่า คือ....แต่น แตน แต้น....กะลาแลนด์ สี่จุดศูนย์

แป่ว....ววววว... มันคืออะไรง่ะ ???


ในยูตูป มีพรีเซนต์เตชั่น ดูแล้วน่าจะจ้างเขาทำมาหลายตังค์อยู่ทีเดียว เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า คุณรู้หรือไม่ว่า ที่กะลาแลนด์ มีรายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ ปีละ สองแสนสามพันสามร้อยกะอีกหกบาทแน่ะ


เรอะ ???
รายได้ดีนะ แม่ผมขายกล้วยฉาบ วันๆหนึ่ง แกขายได้ไม่กี่ถุง ถุงละไม่กี่บาท แกเลิกทำนามานานมากแล้ว หลังจากขายนาส่งควายเรียนจนจบสามตัว ส่วนน้าๆ อาๆผมที่ยังเหลือ ยังไม่เจ็บ ไม่ป่วยตาย เพราะยาฆ่าแมลง สารเคมี ก็ยังทำนากันต่อไป

ที่กะลาแลนด์ ว่ากันว่า สมัยยังเป็น หนึ่งจุดศูนย์ ชาวไร่ชาวนาทำมาหากินแบบพอมีพอกิน ส่วนใหญ่ไม่พอกิน นี่ดีนะ มีถุงยังชีพแวะเวียนมาแจกเป็นฤดูๆ หน้าแล้ง มีรถมาแจกน้ำ สมัยเด็กๆผมยังเคยเข็นรถที่มีปี๊บไปใส่น้ำที่เขามาแจก สนุกดี เปียกทั้งตัว เย็นดี กว่าจะขโยกขเยกมาถึงบ้าน น้ำเหลือครึ่งปีบ (ที่จริงบ้านผมที่สุพรรณเขาไม่เรียกป้งเรียกปี๊บ เขาเรียก ปีบ ปอ อี บอ หปีบ งง มั๊ย ภาษาบ้าอะไรโคตรสับสนเลย พอใส่หอ อี หี บอ หีบไปข้างหน้า ผิดหลักไวยากรณ์เลย เพราะ ป อี บอ ต้องอ่านว่า หปีบ เหมือนคำว่า ป อา บอ หปาก ) สมันนู้น เราก็อยู่กันแบบ พอมั่ง ไม่พอมั่ง คนสุพรรณไม่ค่อยอพยพทิ้งถิ่น ส่วนถุงยังชีพกันหนาว น้ำท่งน้ำท่วมไม่ค่อยได้กับเขาหรอก เพราะไม่ค่อยหนาว และไม่ค่อยมีแม่น้ำลำคลอง ชลประทาน เขาประทานมาไม่ถึง

พอผมเรียนจบ ก็เข้าไปเป็นแรงงานในระบบ สองจุดศูนย์ คืออยู่โรงงาน เป็นเซฟตี้ไง โรงงานแรก ใช้คนงานเยอะหน่อย สมัยนั้นพวกผู้บริหาร กับผู้ใช้แรงงานมักจะเผชิญหน้ากัน เป็นแบบสหภาพแรงงาน มีการประท้วง ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องค่าแรง ในสมัยกะลาแลนด์สองจุดศูนย์เนี่ย ว่ากันตามจริง ที่บ้านผมก็ยังทำนาอยู่เลย จำได้แม่นว่าอาคนรองกินยาตายประท้วงชีวิตไม่พอกิน เพราะสภาพเศรฐกิจในกะลาแลนด์มันแสนจะฝืดเคือง โรงงานในยุคสองจุดศูนย์หนักไปที่ผลิตของกระจอกงอกง่อย สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ครีบดับกลิ่นเต่า น้ำยาล้างจาน กระดาษเช็ดตูด ประเภทนั้น โอ้ย เซฟตี้นะเรอะ ไม่มีหรอก สมัยนั้น คนยังเข้าใจว่าเซฟตี้เป็นยาม ยามเป็นเซฟตี้อยู่เลย

สมัยกะลาแลนด์สามจุดศูนย์ เป็นยุคผลิตอุตสาหกรรมหนัก โรงงานรถยนต์ เหล็ก เคมี แห่กันเข้ามาบ้านเราที่กะลาแลนด์ โอ้ย เซฟตี้เรอะ ยังสองจุดศูนย์อยู่เลย นายจ้างใหญ่ ส่วนมากแค่จะให้ทำตามกฎหมายก็แทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว จำได้มั๊ย โรงงานตุ๊กตาไฟไหม้ แหมๆๆๆๆ ตื่นเต้น ตาแหก แตกตื่น ออกฎหมายมาเพียบ แล้วไงต่อ

นี่กะลาแลนด์กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค สี่จุดศูนย์ ด้วยเหตุผลว่า เรากำลังเป็นประเทศที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง MIC 

น้าเขยผมถามลั่น อะไร เหรอไอ้หนู (ทำเสียงเหน่อๆ จะได้อรรถรสมากเลย) Middle Income Country ผมกระแดะใส่ภาษาอังกฤษ

น้าอีกคนถามขัดขึ้นมาเสียงดัง มันเป็นควยอะไรรึ
(ที่บ้านนอก การเติมคำแบบนั้นลงไป ก็คล้ายๆเวลาเราดูหนังฝรั่งซาว์ดแทรก ที่มักจะมีคำว่า Fuck ปนๆอยู่ในบทพูด มันเป็นวัฒนธรรมโบราณที่ไม่หยาบคายควยเคยอะไร (เวลาใช้ เขาใส่สร้อยเข้าไปด้วย จะได้ฟังรื่นหูขึ้น) ผมแปลต่อ ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ควยยยย คราวนี้ยาวเลย ไม่มีเสียงเหน่อ แถมเน้นหางเสียง

น้าพองนั่งอยู่ด้วย เสริมขึ้นมา อีชิบหายยยย กูจะไม่มีจะแดก มันปานกลางตรงไหน๊   เออ จริงของแก ... ผมยกมือขัด อธิบายต่อ ไอ้ยุคสี่จุดศูนย์นี่ เราต้องใช้นะวัดตากำ (ลิ้นเริ่มคับปาก) ใหม่ๆ คราวนี้ทุกคนเงียบกริบ มองตาล่อกแล่ก

อะไรรึ ไอ้นะวัดตากำ วัดใหม่ที่หลวงพ่อหนุ่มเพิ่งย้ายมาอยู่นะเรอะ เห็นเขาว่าแม่นนักหนา

ขี้เกียจสาธยาย เอารูปกางเกงในให้น้าๆดู ทุกคนครางฮือ
แบบนี้มันดีตรงไหนล่ะไอ้หนู
หน้าตาบ่งบอกความอยากเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่ กะลาแลนด์สี่จุดศูนย์
ดีสิ เวลาปวดขึ้ ก็แค่ถอดกางเกงนอก
น้าพอเสริมทันที
ขี้ได้เลย ไม้ต้องแก้
น้าคอง ขี้สงสัย แล้วเวลาจะเยี่ยวทำไง
น้านอ ตบกระบาลป๊าบนึง มันจะยากตรงไหน
มึงก็รูดซิบข้างหน้านั่นดิ
คราวนี้ เริ่มเกิดการเผชิญหน้า
ไม่ได้เรื่องแล้ว คงต้องลี้ภัย บรรยากาศ ไม่เอื้อต่อการปรองดอง



เอาเถอะ ไม่ว่ากะลาแลนด์มันจะไปแบบไหน ของจริงๆ เราอยู่กันตรง ศูนย์จุดสองสอง บางทีก็จุดสามแปด หนักหน่อยก็สิบเบ็ดมอมอ เราเองก็รู้ๆกันดีอยู่

ในเมื่อเศรษฐกิจมันแบบนี้ เซฟตี้คงไปไกลกว่า ศูนย์จุดสามคงยาก

เอ้า ดื่มมมมมม  กร่อกๆๆๆๆๆๆ



วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ศาลเอียง


ดัดแปลงมาจากเว็บไซ้ทหนึ่ง

เมื่อวานซืน อ่านข่าวว่า หัวหน้าอัยการแห่งรัฐ ที่อเมริกา ถูกประธานาธิบดีสั่งปลด (ใช้คำว่า Fired ) ถ้าเป็นที่บ้านเรา มันคงไม่แค่สั่งปลด แต่มีความหมายลึกๆว่า ให้อุ้มเอาไปยิงทิ้ง แล้วแก้ผ้าฝัง จะได้ย่อยสลายเร็วๆ
เช้านี้ อ่านข่าว เจอว่า ศาลเมือง อะไรหว่า จำไม่ได้แล้ว มีคำสั่งระงับคำสั่งประธานาธิบดีที่ให้แบน แปลว่าสั่งระงับ ห้าม แต่ถ้าเป็นบ้านกรู แบน อาจจะหมายรวมถึง การทำยังไงก็ได้ ให้มันแบน อาจจะกระทืบ สั่งสอน ผู้เดินทางเข้าอเมริกาที่มีสัญชาติ 7 ชาติที่ทรัมป์ (นี่ถ้าขืนกรูเรียกท่านผู้นำที่กะลาแลนด์แบบนี้ กรูแบนแน่ๆ) สั่งห้ามเข้าประเทศ

ป๊าด นี่มันช่างแตกต่างกับที่บ้านกรูเหลือเกิน ศาลที่บ้านกรูนะ อย่าว่าแต่จะเถียงเลย สบตาท่านผู้นำมันยังไม่กล้าเลย เรื่องจะมาสั่งระงับอะไรทำนองนี้ ฝันไปเถอะ เดี๋ยวนี้ เขามีการพิจารณาทางลับด้วยนะ ศาลที่กะลาแลนด์

ว่ากันตามที่จริง ชื่อนี้ก็เท่้ห์ดีนะ Kala Land ประชาชนในประเทศ ก็เรียกว่า Kalalandise ฟังดูเหมือนพวก กรีก โรมัน

ศาลบ้านกรู เอียงกระเท่เร่ ตอนนี้ ผีตายโหง ผีขโมด ผีสาระพัด เข้ามาอยู่เต็มบ้านไปหมด เจ้าที่นะเรอะ นู่น หนีไปสิงอยู่ที่ต้นมะเขือข้างรั้วนู่น แบบนี้มันน่าขุดเอาไปทิ้งทางสามแพร่งเสียเหลือเกิน


พูดเรื่องศาลพระภูมินี่ มันมีเรื่องน่าคิดนะครับ นั่งอ่านข่าวไป ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ว่ากะลาแลนด์มันจะเป็นยังไงต่อ นึกภาพไม่ออก

ในระบบการบริหารความปลอดภัยเนี่ย (เข้าโหมดเซฟตี้ซะหน่อย) เรามุ่งเน้นที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องมีมาตรการต่างๆ ที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า
  • มีโปรแกรม (Programs ) ถ้าเป็นที่กะลาแลนด์ เขาจะชอบพูดกันให้เท่ห์มากขึ้นว่า มีการบูรณาการ (บอกตรงๆ ผมโคตรเอียนกับคำนี้เลย) ที่กะลาแลนด์เนี่ย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมาตรการสาระพัด ที่ไหนในโลกหล้าเขามีอะไร กะลาแลนด์มีทุกอย่าง เผลอๆ ดีกว่าด้วย แต่....
  • มีมาตรฐาน (Standards) คือที่อื่นๆ เวลาเขากำหนดมาตรการ เขาก็ต้องอิงมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ เรามีมาตรฐานเดียว ก็คือ มาตรฐานตาม มอก. (มาตรฐานออกโดยกู) อย่าได้ไปเถียง ไปถามเข้าเชียวนะมึง พวกเอี้ยนี่มันเป็นคนโคตรดี ถ้ามึงขืนสงสัย มึงจะโดนเขวี้ยงด้วยโพเดี้ยม ตายคาที่นะเว้ย
  • การเป็นไปตามนั้น (Compliance) คือ การปฏิบัติตามมาตรการและมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ ข้อนี้ ไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องมีการปฏิรูปกันก่อน เพื่อให้เกิดการบูรณาการ และการสอดประสาน การร่วมสังสรรค์ พันธนาการ บรรเจิด เกิดการสังเคราะห์ ตกผลึก ผนึกประสานแนวร่วม รวบรวมความสามัคคี อันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันก่อน (เหนื่อยว่ะ)
ผมตั้งคำถามง่ายๆนะ ว่า
มีพนักงานที่โคตรรักษริษัทคนหนึ่ง เห็นกระดาษติดอยู่ที่ลูกกลิ้ง ด้วยความกลัวว่าเซ็นเซอร์ที่จับการเคลื่อนไหวของสายพานลำเลียนจะสั่งหยุด เขาก็เลยกระโดดมุดรั้วเตี้ยๆ เข้าไป แล้วใช้มือหยิบกระดาษชิ้นนั้นออกมา ในจังหวะนั้น ลังบรรจุสินค้าเคลื่อนที่มาชนเขาล้มลง ขาเข้าไปติดกับรางโซ่และถูกบิดจนขาขาด

แบบนี้ ถามว่า นายจ้างมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่  ผมถามไปงั้นแหละ ในวงการเซฟตี้นี่ เรื่องทำนองนี้ มันไม่มีใครพูดถึง มันไกลเกินไป เซฟตี้ที่บ้านกรูนะ เขาพูดกันติดปากว่า   ทำเซฟตี้ 

กรูก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทำ ทำไมไม่พูดว่า ทำให้เซฟลี่ Safely ทำเป็นมั๊ย
อย่าไปถามศาลที่บ้านกูนะ มึงเห็นไหม นั่งแดกไก่ต้มอยู่ริมรั้วนู่น มันไม่ว่างตอบหรอก ศาลเอียง
แต่ถ้าเป็นเมืองโดนัลทรัมป์นะ มึงเอ้ย โดนปรับกันขี้แตกขี้แตนเลยมึง ไม่เชื่อลองเข้าไปอ่านดู การบังคับใช้กฎหมายของ OSHA USA คลิกแล้วเข้าไปอ่านดู จะเห็นว่า เขาปรับกันแต่ละข้อหา เป็นเงินมหาศาล ถ้าเป็นบ้านกรูนะ อย่าให้เซด






สุดแสนจะอัพเซ็ท




ตอนที่ได้ดูการแสดงโชว์จระเข้ ฉากหนึ่งที่เร้าใจมากๆ ก็คงจะอีตอนที่นักแสดง ค่อยๆ เอามือล้วงเข้าไปหยิบแบ้งค์ในปากจระเข้ และยิ่งเสียวมากๆก็อีตอนที่เขาค่อยๆเอาหัวมุดเข้าไปในปากจระเข้แล้วยิ้ม โบกมือให้ท่านผู้ชม

ความเสียวที่ว่า มันบังเกิดขึ้นก็เพราะว่า ไอ้เข้ที่นอนอ้าปากอยู่นั่นมันไม่ใช่ของปลอม ก่อนหน้านั้นมันก็งับไม้ที่นักแสดงใช้เคาะมันจนหักสะบั้นต่อหน้าต่อตา แล้วมันก็ไม่ใช่ไอ้เข้ฟันหลอ มันมีฟันเต็มปาก แค่เพียงว่าไอ้เข้ตัวนี้ เกิดนึกอยากจะหุบปากเพื่อดูดขี้ฟันที่ติดอยู่ ในจังหวะที่มือ หรือหัวของนักแสดงอยู่ในนั้น ผู้ชมนับร้อยก็คงได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนขวัญ

แล้วมันเกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้ยังไง มันเกี่ยวสิ ถึงไม่เกี่ยว ก็จะพูดให้เกี่ยวให้จงได้

อัพเซ็ทคอนดิชั่น (Upset Conditions) เติม เอสไปตัวนึง จะได้ หมายความว่า สภาวะใดๆก็ตามที่ผิดปกติ ในแง่ของการบริหารความปลอดภัย เวลามีสภาวะแบบนี้ ถ้าเป็นโรงงานเคมี ก็ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุณหภูมิ ความดัน ในถัง หรือรีแอคเตอร์ผิดปกติ หรือเกิดการล้น การระบายแรงดัน แก็สรั่ว ไฟไหม้ ระเบิดเถิดเทิง แบบนี้แหละ

ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นโรงงานที่ใช้เครื่องโม่ เครื่องปั่น อัพเซ็ทคอนดิชั่นก็อาจจะยกตัวอย่างเช่น การที่มีเศษแร่ เศษวัสดุไปติดค้าง แล้วทำให้เครื่องทำงานขัดข้อง มีสิ่งของไปค้างในสายพานลำเลียง เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอะไรแบบไหน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันอัพเซ็ทไปหมด หัวหน้างาน ก็อัพเซ็ท ผู้จัดการก็อัพเซ็ท ผู้อำนวยการ เรื่อยไป จนถึง เมียผู้จัดการ เมียน้อยผู้จัดการ ทุกคนอัพเซ็ทไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกลเป็นหมื่นๆไมล์ พอรู้ว่าเครื่องหยุด มันอัพเซ็ทกันไปหมด และด้วยเหตุนี้แหละ สภาพจริงๆเวลาเกิดอัพเซ็ทคอนดิชั่นขึ้น ก็จะเห็นพวกกุลี กรรมกร โฟร์แมน หรือแม้แต่หัวหน้ากะ ต่างกระโจน ป่ายปีน พุ่งเข้าใส่ หมายจะแก้ไขสถานการณ์ อย่างไม่คิดชีวิต ย้ำนะ ว่า อย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้เครื่องหมุนอยู่ มันก็จะเอานิ้ว เอามือ เอาสาระพัดอวัยวะแหย่เข้าไปเพื่อเขี่ยเศษที่ติดอยู่นั่นออก ถ้าสารเคมีรั่วอยู่ มันก็จะคว้าอะไรก็ได้ใกล้มือ ถ้าไม่มี หากจะต้องถอดกุงเกงใน เอาไปยัดไว้เพื่อหยุดการรั่วไหลมันก็เอา สภาพแบบนี้แหละ มันไม่ได้ต่างอะไรจาก นักแสดงโชว์จระเข่้ที่พูดถึงมาแต่ต้น ว่า ทำไปเพื่ออะไร ??? บางคนนิ้วขาด มือขาด หรือถูกเครื่องลากเข้าไปบดจนละเอียด บางคนถูกไฟคลอก ระเบิดแหลกเป็นเศษเนื่้อ ถามจริงๆ เพื่ออะไร ??

นั่นคือเรื่องจริงๆ โรงงานในเอเชีย เวลามันถูกออกแบบมา ระบบป้องกันมันก็ไม่ค่อยจะมี ไอ้ที่มีก็เปิดออกง่ายแสนง่าย มุดง่าย ปีนง่าย เมื่อเอามารวมกับกรรมกรที่แสนดี พร้อมพลีชีพเพื่อองค์กร จึงเห็นข่าวสยองแบบนั้นตลอดมา



ในประเทศที่เขาเจริญแล้ว ประชาชนเขาไม่อัพเซ็ทง่ายๆ คือต่อให้เครื่องติดขัด เขาก็ไม่มีทางจะกระโจนเข้าใส่ เอาชีวิตเข้าแลกแบบคนเอเชีย และต่อให้จะพยายามเป็นฮีโร่ แค่เอามือ เอาอวัวะโผล่เข้าไป ระบบก็จะตัดพลังงานอันตรายออกหมด ไม่เจ็บ ไม่เละกันง่ายๆ นอกเสียจากว่า ไปเจอพวกนักลงทุนที่มาจากประเทศนอก ที่รู้จักเอเชียดี มันไม่เอาระบบที่สมบูรณ์มา เพราะมันแพง สู้เอาตังค์มาจ้างฝ่ายกฎหมาย จ้างผู้จัดการที่ด่าเก่งๆ โหดๆดีกว่า เวลาเกิดเหตุ ไอ้พวกนี้จะคอยปกป้อง โยนความผิดให้คนที่เจ็บที่ตาย เพราะกลัวนายอัพเซ็ทว่า มันไม่ทำตามโปรซีดเยอร์

ไงล่ะมึง ถามเหมื่อที่เคยถาม เวลามึงเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแก้ไขสภาพที่เครื่องจักรที่ออกแบบห่วยแตกมาแต่แรก เพื่อให้มันเดินได้ แล้วมึงเจ็บ มึงตาย เขาดูแลลูกเมียมึงมั๊ยล่ะ อ๋อเรอะ ยังไม่มีเมีย ไอ้ควายยยย

สอนยากสอนเย็น โคตรอัพเซ็ทเลยว่ะ เอ้า... แหย่ๆมันเข้าไป เอ้า หู้ย เล่ หู้ย อ๊ากกกกกก  

ไม่ต้องห่วง ตรุษจีนปีหน้า กูจะเผาระบบอินเตอร์ล็อกไปให้ เอิ้กๆๆๆๆ




วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

โรค อาไร ง่ะ ไม่เคยได้ยิน

เข้าไปดูในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง  กําหนดชนิดของโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทํางาน

มันมีโรคระบบหายใจที่เกิดจากการทำงาน ลำดับที่ 6 โรคซิเดโรสิส ก็เลยสงสัยว่ามันคือโรคอะไร ตอนแรกอยากจะเดาไปมั่วๆ เพราะชื่อโรคมันคล้ายซินเดอเรร่า เอะ รึ่ว่าจะเกี่ยวกับแม่เลี้ยงวะ รึไม่ก็ติดมาจากคนแคระ เพราะบางฉบับ เคยนินทาว่าซินเดอเรร่า เสียสาวให้คนแคระทั้งเจ็ด ป๊าด ไปกันใหญ่ มั่วแล้วเรา นั่นมันสโนว์ไวท์นี่หว่า เหอๆๆๆ บัวใต้น้ำจริงๆเลยกรู ฮ่าๆๆๆ เอิ้กๆๆๆ ขำอะไรกัน ทำไม อย่างผม ทำงานเพื่อประเทศชาติมามากมาย พูดผิดไม่ได้รึไง...เดี๋ยวเขวี้ยงด้วยโพเดี้ยม !!!


ไปสืบกันดีกว่า ว่าโรคนี้ คนไทยเป็นได้รึเปล่า แต่ผมว่านะ มีหลายโรคทีเดียว ที่คนไทยเขาไม่เป็นกัน คือ เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ พอตายก็เผาๆกันไป คงไม่ใช่โรคจากการทำงานหรอก คนไทยเขาไม่เป็นกัน


เหมือนโรคซิลิโคซิส พอผมพูด มีอีบ้า ไอ้บ้าหลายคนออกมาดิ้นพล่าน จะฟ้องร้องผม หาว่าทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง อีห่าเอ้ย กูพูดเพื่อให้ความรู้คน มึงเสือกอะไรด้วย มึงไม่อยากเป็นก็เรื่องของมึงดิ กูก็ไม่อยากให้ใครเป็น อะจบไปเรื่องนั้น ประเดี๋ยวแม่งฟ้องกูอีก


มาดูโรคชื่อแปลกนี่กัน เวลาเป็นจะได้ออกเสียงถูก จะได้ไม่อายเขา เวลายมมะบาลถาม มึงเป็นอะไรตาย ก็ออกเสียงให้ถูกๆ ออกเสียงว่า ซิเดอร์ เวลาออกเสียงอาร์ กระดกลิ้น แล้วเอาเสียงอาร์รวมกับเสียงโอ มันจะฟังคล้ายๆฝรั่ง อย่าไปออกเสียงว่า สิเด๋อ  มันฟังคล้ายๆเพื่อนผม ไอ้นี่คนอุดร

sid·er·o·sis

(sid'ĕr-ō'sis),
1. A form of pneumoconiosis due to the presence of iron dust. 
มันเป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งของ นิวโมโคนิโอสิส ที่เกิดจากการมีฝุ่นเหล็ก  เอ๋???? คนไทยไม่มีม๊าง คนไทยไม่เคยทำงานกับฝุ่นเหล็กหรอก ที่บ้านนี้เมืองนี้ เขาไม่ เจียร์ ไม่ขัด ไม่อัด ไม่กระแทก ไม่หลอม ไม่เชื่อมเหล็กหรอก งานกระจอกแบบนี้ คนไทยทำไม่เป็น โอ๊ย อย่าห่วง



เอ้าๆๆๆ มันเป็นปอดบวมแบบหนึ่งจากฝุ่นเหล็กน่ะ โอ่ๆๆๆๆ ไม่มีก็ไม่มี อย่าร้อง (สมัยเด็กๆ เวลาหกกะล้ม แม่จะเอามือตีนู่น ตีนี่แล้วปลอบเราให้หยุด ไม่ได้ผล เราก็แหกปากร้องหนักเข้าไปอีก เพื่อจะขอตังค์กินหนม แม่รู้ทัน ตีป๊าบเข้าที่ตูด คราวนี้หยุดสนิท เด็กฉลาด ชาติเจริญ ตามคำขวัญนายก แหมนี่ถ้านายกไม่ให้คำขวัญ คงไม่ฉลาดขนาดนี้นะเนี่ย)


2. Discoloration of any part by desposition of a pigment containing iron; usually called hemosiderosis.
อาการด่าง หรือเปลี่ยนสีที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ เรียกว่า ฮีโมซิเดอโรสิส

3. An excess of iron in the circulating blood.
การมีเหล็กอยู่มากเกินในกระแสเลือด ไอ้พวกนี้ ไม่รู้เวลาเดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ดังติ๊ดๆๆๆๆๆ ของผมเหล็กไม่เยอะ แต่หมอใส่ไว้ ทั้งบนทั้งล่างเลย (ฟันปลอม)

4. Degeneration of the retina, lens, and uvea as a result of the deposition of intraocular iron.
[sidero- + G. -osis, condition]

การเสื่อมของเรติน่า เลนส์ และก็ยูเวียร์

ทีนี้ใครที่อยากรู้ว่าเขาวินิจฉัยโรคพวกนี้กันยังไง ก็ลองเป็นดูนะ ไม่ยากเลย เวลาทำงานกับเหล็กก็ไม่ต้องใส่หน้ากาก สูดฟูมเข้าไป น่านแหละ อึดไว้ อย่าตายซะก่อนล่ะ ไปถามหมอนะว่า มันเป็นแบบไหน

เดาเอานะ เวลาปอดบวมเนี่ย ต้องเปลี่ยนไซส์ยกทรง เพราะปอดมันบวมไง กึ๋ยๆๆๆ

“ไม่เข้าใจแม่งถามได้ไงวะเนี่ย...เอ๊ะมันเกี่ยวตรงไหนวะ”(โรคเครียดจากการไม่ทำงาน)

เมื่อวาน เห็นแว๊บๆในยูทูป (ยู ทิ้ว เบอะ) มีไอ้บ้าคนหนึ่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงตอบคำถามนักข่าว ไม่เห็นหน้า ฟังแต่เสียง ถามนักข่าวว่า “ไม่เข้าใจแม่งถามได้ไงวะเนี่ย...เอ๊ะมันเกี่ยวตรงไหนวะ”

หลังจากนั้นก็ พูดเรื่องบัวใต้น้งใต้น้ำ  ก็น่านนะดิ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกัน ไอ้บ้านี่ (นักข่าวแหละมั๊ง)





เวลาคนมีความเครียดมากๆ มันเพี้ยนกันได้ทุกอาชีพ เป็นข้าราชการ เป็นรัฐมนตรี เป็นนายก เป็นประธานาธิบดี เป็นรองนายก เครียดได้ เพี้ยนได้หมด อยู่ที่ว่า มันจะบ้า หรือเพี้ยนนานเพี้ยนหนักกว่ากันแค่ไหน

ประเทศไทยป่วยหนัก เข้าขั้นวิกฤติ นี่เห็นข่าวข้าราชการระดับสูง ฉกภาพวาด ถูกดำเนินคดี เห็นข่าวคนออกกำลังกายตามนโยบายวันพรุดตาย เห็นข่าวการบินเทย (ออกเสียงแบบเทพเทือก) ว่าจะฟ้องโรลสรอยด์ข้อหาว่า ออกมาสารภาพว่าติดสินบน น่าน กรูจะบ้าไปกะมึง บ้านกูป่วยหนักมากจริงๆ เห็นข่าวคนที่นั่งรถไฟไปสวนอะไรสักอย่างที่ประจวบถูกศาลสั่งจำคุก ข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคณะปฎิวัติ นี่บ้าหนักเลย (คนนั่งรถไฟน่ะ) เขาสั่งห้ามก็ยังบ้าจะฝ่าฝืน ไอ้พวกบ้ามันสั่ง ก็ไม่รู้จักทำตาม ล่าสุด ข่าวคราฟท์เบียร์ อีกหน่อย พวกไข่ลวก ไข่ต้ม ผัดกะเพรา ที่เขาขายในร้านโคตรสะดวกซื้อ คนไทยคงทำกินเองไม่ได้ เพราะผิดกฎหมา(ย)

แล้วก็นะ  พวกนักข่าวนี่ก็เหลือเกิน ยิงคำถามบ้าๆบอๆ คนเขาไม่ชอบให้ถามก็ถามอยู่นั่น ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ คนมันเครียด อย่าไปปลุกเร้ามาก เกิดตลั่ง เส้นเลือดแตกขึ้นมาจะทำยังไง บ้านเมื่องจะไร้ผู้นำไม่ได้นะ ดูอย่างอเมริกาสิ ขนาดเข้าสาบานตนได้แค่ไม่กี่วัน อาการเริ่มออก ส่วนไอ้บ้าที่บ้านผม มันบ้ามาตั้งแต่สมัยสั่งห้ามผัดกระเพราะนู่นแล้ว ไอ้นั่นรักษาไม่ได้แล้ว เฮ่อๆๆ เพื่อนผมมันเกลียดกลิ่นกระเพรา มันบอกทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง เลยไม่กิน

ภาพจากไทยรัฐ


โรคจากความเครียดเนี่ย เบิกได้นะ ตามกฎกระทรวงเรื่องโรคจากการทำงาน แต่ไม่แน่ใจนะว่าไอ้บ้าที่ออกทีวี มันเครียดจากการทำงานรึเปล่า อาจจะเครียดจากต่อมลูกหมากโต หรือไม่ก็ระดับฮอร์โมน เทสทอสเตอโรน ต่ำ ก็เป็นไปได้ มันเป็นไปได้หมดแหละ

ในฐานะนักความปลอดภัย อาชีวอนามัย นั่งดูข่าว ทางยูทิวเบอะ ก็พลอยเครียดตามไปด้วย เออนะ ประเทศกู ป่วยมากจริงๆ  ไปดีก่า อย่าถามคนบ้า อย่าว่าคนเมาเบียร์คราฟท์ มันผิดกฎหมาย เข้าใจป่าว อ่ะ ไม่เข้าใจ งั้นก็พวกบัวใต้น้ำล่ะดิ ในสังคมไทย มีทั้งคนดีและคนไม่ดี พวกคนไม่ดี นี่เป็นบัวใต้น้ำ ส่วนพวกคนดีที่รับสินบนโรลสรอยด์นั่น เขาไม่ได้เจตนา แต่เพราะมีคนไม่ดีมาเสนอติดสินบน ก็เลยพลอยติดร่างแหไปเท่านั้น เหอะๆๆๆ เหอๆๆๆๆ ไอ้บ้า พูดไปได้ ไม่เข้าใจ บ้าจริงหรือเมายากันยุง





วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

แบ้งค์กงเต็ก กับเพอร์มิททูเวิร์ค





โดนัลทัมป์คงใจแทบขาดถ้ามาเห็นบ้านเราเผาแบ้งค์ดอลลาร์เป็นปึกๆ

ให้มันรู้ซะมั่งว่าประเทศไหนมั่งคั่งที่สุด เมื่อวานนี้ ไอเผาไปสามเข่งใหญ่ๆ ส่งไปให้ ก๋ง เตี่ย (วันนี้อยากเป็นลูกจีนกะเขามั่ง ปกติไม่ได้เรียกเตี่ย) แบ้งค์กงเต็กดอลลาร์ที่เผาส่งไปเมื่อวานทำให้ผมกังวลจนนอนไม่หลับ หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว ก็ค่อยมานึกได้ว่า ตายห่าละสิ เตี่ยกูจะไปแลกที่ไหนละเนี่ย เอาไว้ปีหน้าดอลลาร์อ่อน บาทแข็งกว่านี้ ผมจะเผาเงินไทยไปให้ละกัน

การเผาแบ้งค์ เผารถ เผานาฬิกา เสื้อผ้าแบรนด์เนม ส่งไปให้ผู้ล่วงลับ มันเป็นพิธีกรรม ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม เห็นคนอื่นเผา ก็เผากับเขามั่ง นี่ถ้าไอ้ข้างบ้านมันเผาบีเอ็ม เผาเบ้นซ์ หรือเผาบ้านมันจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้เลย ว่าจะเผามาสด้าเก่าๆ ส่งไปให้เตี่ยมั่ง มันจะสมหน้าตาและฐานะกระจอกๆกะเขามั๊ย

เอาเป็นว่า พิธีกรรมพวกนี้ เขาทำๆตามๆกันมา เรื่องเซฟตี้ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้คนไทย เห่อใส่เสื่้อสะท้อนแสงสีเขียว ใส่หมวก ในพิธีเปิดป้าย เปิดงาน ปล่อยขบวนรถ สาระพัด ประมาณว่า เรานี่โคตรจะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเรย
ไอ้เรื่องพิธีกรรมนี่ ถนัดกันนัก แต่ไอ้เรื่องที่มีความจำเป็นและสำคัญ ไม่ชอบ อย่างเรื่อง Permit To Work คนเอเชีย เกือบทุกชาติ ไม่เฉพาะในกะลาแลนด์ เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่ชอบ ไม่ทำ แถมบ่นอีกว่า เสียเวลา ขั้นตอนเยอะ เอกสารมากมาย ทำไมต้องมีฟอร์มนั้น ฟอร์มนี้ บางแห่งฉลาดหนักมาก มีฟอร์มเดียว หน้าเดียว ใช้ได้ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นงานขี้หมูราขี้หมาแห้ง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เสียเวลา
ไอ้ความคิดที่ว่า ต้องทำเซฟตี้ มันมีอยู่แถวๆในประเทศแถบเอเชียนี่แหละ จะเชื่อมจะตัดทีต้องตรวจนู่นตรวจนี่ โคตรจะเสียเวลาเลย นี่ถ้ามีงานที่สูงด้วยนะ โอยต้องมีแบบฟอร์มทำงานบนที่สูง ต้องนู่นนี่นั่น เสียเวลาจริงๆเลย

พอถามเข้าว่า ไอ้ที่มึงว่าเสียเวลาเนี่ย เวลาของใคร  เวลามึงหรือเวลานายจ้าง เคยเห็นไหม หมาหงุดหงิด โดนเหาแดก คันยิกๆ เกาไปครางไป แหมเซฟตี้แม่งเรื่องมาก หงิงๆ กฎเกณฑ์เยอะ สร้างแต่ความกลัว กดขี่ชีวิตกูจัง หงิงๆๆๆ

ในระบบ Permit To Work เนี่ย มันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลย มันเป็นระบบที่โคตรจะมีประสิทธิภาพต่ำที่สุดด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับมาตรการอื่นๆ เช่นมีระบบตัดแก็สอัตโนมัติ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ระบบขึงตาข่ายรองรับคนตก หรือปีกแบบพกพาได้ เวลาตกก็มีเซ็นเซอร์ กางพรึบ ต่อให้หล่นยากยอดตึกใบหยก มันก็ไม่ตาย แต่คำถามก็คือ มึงมีของแบบนั้นมั๊ยล่ะ ไอ้ขี้เกลือ
ในระบบ Permit To Work มันจึงเป็นระบบที่อาศัยกระดาษมาเป็นเครื่อง เป็นข้อตกลงว่า เอาละนะ ถ้ามึงทำตามนี้ หนึ่งสองสามสี่ห้า กูจะอนุญาต แล้วไอ้คนอนุญาตก็เซ็นฉึกลงไป ส่วนไอ้คนรับใบอนุญาต ก็รับว่าข้าพเจ้าจะทำตามที่กำหนดนั้น เซ็นฉับลงไป ถ้าผิดไปจากเงื่อนไขก็สั่งระงับยับยั้ง
ถ้าไปเจอเอาไอ้พวกเผาแบ้งกงเต็ก สักแต่ว่าเซ็นๆกันไป แล้วมันจะเป็นยังไง

เซฟตี้เนี่ย ว่ากันไปแล้ว มันไม่ต้องมีกฎนู่นนี่ ให้ไอ้พวกโลกสวยมานั่งกระแนะกระแหนว่า กฎเซฟตี้ มีไว้เพื่อสร้างบรรยากาศมาคุ สร้างความหวดกลัว ทำไมไม่ใช้วิธีละมุนละม่อม ทำไมการละเมิดกฎอย่าง Lock Out Tag Out กฎอย่าง Permit To Work จะต้องซีเรียส ทำไมไม่ให้โอกาส 

ก็เอาดิ ให้โอกาสก็ได้ เราอนุญาตให้โรงงานเราระเบิดได้ไม่เกินปีละสามครั้ง อนุญาตให้พวกมึงเอามือยัดเข้าโรลเลอร์ได้ห้าครั้ง แขนขาดได้ไม่เกินสี่คน เอาแบบนั้นไหมล่ะ

กฎพวกนี้ ที่เขาเรียกว่า โกลเด้นรูล ที่เอาไปผูกกับงานอันตรายอย่าง Permit To Work เป็นส่วนใหญ่ก็เพราะเขากลัวไอ้พวกเผาแบ้งค์กงเต็กนี่แหละ พวกที่สักแต่ว่าเซ็นๆไป ถวายเจ้า (นาย)

เซฟตี้ ไม่ต้องมีกฎอะไรมากมายหรอก ว่ากันตามจริงๆ ธรรมชาติของเซฟตี้ ถ้าไม่เซฟ มึงก็เจ็บ ก็ตาย (เวลาโน๊สอุดมพูดมึงๆกูๆ แหม มันน่ารักจัง) มึงไม่ต้องมาเถียง ว่าทำไมไม่ใช้วิธีการอบรม การชักชวน การโน้มน้าว นี่ กูจะบอกให้นะ ความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกับการที่ไอ้พวกเผาแบ้งกงเต็ก เซ็น Permit ซี้ซั็วมันสูง มันตาย เวลาตาย ไม่ได้ตายคนเดียว มึงเข้าใจยัง

แต่ก็อีกนั่นแหละ คนไม่เข้าใจ ยังไงก็ไม่เข้าใจ พูดเรื่องนี้ซ้ำๆซากๆ คนมันไม่เห็นด้วยมันรำคาญ เหมือนเสียงชักโครกจากห้องข้างบน เวลานอนโรงแรม แหมมันโคตรจะหนวกหู

แต่เสียงชักโครก จากห้องที่มึงยืนรอ ปวดขี้จนแทบราด เสียงชักโครก ครืดๆๆๆๆปรี๊ดๆๆๆๆ ตามมาด้วยเสียงขยับนุ่งกางเกงของไอ้คนข้างใน มันยิ่งกว่าเสียงสวรรค์เลยนะมึง ไม่เชื่อลองคิดดู สักวันมึงจะคิดถึงคำพูดกู









วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Reptelian Brain มึงกราบรถกู


ผมเคยเขียนเรื่อง สมองกิ้งก่า ปัญญากิ้งกือไปแล้วรอบหนึ่ง วันนี้ มีอีกแล้วครับ ปรากฎการ "กราบรถกู" ดูวิดีโอนี้แล้วชอบมาก

สุดยอดครับ ก้มกราบรถกู

ให้เครดิตเจ้าของภาพ และวิดีโอ

จะว่ากันไปแล้ว เราทุกๆคน มีสิทธิ์ที่จะตกอยู่ภายใต้ภาวะ สมองเหี้ยครอบงำได้ง่ายๆ อาการก็ไม่แตกต่างกัน นั่นก็คือ การแสดงอำนาจ ข่มคนอื่น ที่มาล่วงล้ำอาณาเขต หรือจะเป็นภัยคุกคาม พวกสัตว์เลื้อยคลาน เหี้ย ตะกวด กิ้งก่า หมา แมว เป็นเหมือนกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งคน เพราะอย่างที่ทราบ เรามีสมองส่วนเล็กๆที่อยู่ใต้สุด ที่หลงเหลือมาจากวิวัฒนาการ นั่นก็คือ Reptelian Brain เวลามันทำงาน สมองส่วนที่เป็น Emotional Brain กับ สมองส่วนทีทำหน้าที่ในการคิดพิจารณามันหยุดทำงาน ในเพลานั้น แผงคอ ชูชัน ใบหน้า แววตา เกรี้ยวกราด เขี้ยวในปากเผยอกว้าง อะดรีนาลีนฉีดเต็มที่ หัวใจเต้นแรงรัว เลือดไหลพลุ่งพล่านไปยังกล้ามเนื้อทุกส่วนที่เตียมพร้อมสำหรับการใช้กำลัง นั่นล่ะ อาการสมองเหี้ย

 

หัดนั่งสมาธิ ควบคุมสติอารมย์กันบ้างนะ สมองเหี้ยจะได้ไม่ออกมาอาละวาดบ่อยๆ

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

เซฟตี้ กับ ยามตีแหม่ง

เป็นเซฟตี้มาหลายปี บทบาทหน้าที่เปลี่ยนไปจากสมัยแรกๆ เป็น จป. ทำงานคนเดียว เมื่อปี พ.ศ. 2528 สมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายความปลอดภัยอะไรมากมาย ทำมันทุกเรื่อง ไม่มีลูกน้อง ที่พอจะพึ่งพาได้ก็มีบรรดา รปภ.ที่เขายกมาให้ดูแล เพราะชื่อตำแหน่งมันไปหมิ่นเหม่ใกล้เคียงกัน "เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย" จนเดี๋ยวนี้ เวลาโฆษกเขาแนะนำวิทยากร ก็มักจะเติมให้ว่า อดีต เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย บริษัทนั่นนู่นนี่ 

พอเติบโตมา เปลี่ยนจากเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นผู้จัดการ ก็ยังไม่วาย ได้รับตำแหน่ง ผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัย ป๊าดโธ่ จะว่ากันไปแล้ว หน่วยงานสองหน่วยนี่มันแยกกันไม่ได้ งานรักษาความปลอดภัย หรือที่เรียกว่า Security Management มันมีความเหมือนกับงานเซฟตี้อยู่หลายอย่าง และที่เหมือนกันแบบแยกกันไม่ได้เลยก็คือ การป้องกันและระงับความสูญเสีย เพราะฉะนั้น ในเมืองนอก เขาจึงมีแผนก Loss Prevention and Control ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองหน้าที่นี้ก็คือ งานรักษาความปลอดภัย เน้นไปที่ภัยที่จะเกิดจากเจตนาของคน เช่น ลักขโมย วางเพลิง ทำร้ายร่างกาย ก่อวินาศกรรม ทุจริต บุกรุก เป็นต้น ในขณะที่งานด้านความปลอดภัย จะเน้นไปที่ภัยที่เกิดจาก อันตรายหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่พึงประสงค์ ไม่ได้วางแผนไว้ให้มันเกิดแบบนั้นแบบนี้ เรียกรวมๆว่า Incident หรือ ถ้ามีความสูญเสียเกิดขึ้น ก็เรียกว่า Accident ใครที่ยังมั่วๆอยู่กับคำนิยามสองคำนี่ก็ไปหาตำหรับตำรามาอ่านเสียใหม่


ด้วยความเหมือนและความต่าง ของงานสองแบบนั่น เรายังมีความเหมือนกันแบบแยกกันไม่ออกอีกประการหนึ่งก็คือ กระบวนการบริหารความเสี่ยง ที่มีจุดเริ่มต้นแบบเดียวกันก็คือ การประเมินความเสี่ยง

งานรักษาความปลอดภัย หรือ รปภ. เป็นงานที่ต้องประเมินความเสี่ยง ว่าอะไรที่ไหน มีจุดอ่อน มีความล่อแหลม เป็นช่องว่างให้เกิดความสูญเสีย เพราะฉะนั้น หากมีบริษัท รปภ.เข้ามาหาผม แล้วถามผมว่า จะเอา รปภ.กี่คน เอาผู้ชายกี่คน เอาผู้หญิงกี่คน แบบนี้ ผมจะบอกว่า ไปไกลๆเลย คุณเข้ามาขายบริการรักษาความปลอดภัย และบอกว่าเป็นมืออาชีพ แต่กลับข้ามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไปได้อย่างน่าโมโห ทำไมคุณไม่สำรวจสภาพต่างๆ ประเมินความเสี่ยง ระบุจุดล่อแหลมต่างๆแล้วค่อยเสนอมาตรการที่เหมาะสมในการรักษาความปลอดภัยมา บางจุดการใช้เครื่องมือ ระบบตรวจจับ และส่งสัญญาน มีความจำเป็นมากกว่าไปเอาคนมาใส่ชุดยืนตะเบะตะบี้ตะบัน  ประตูหน้าต่าง รั้ว ที่มีอยู่ต้องเพิ่มเติม ต้องดัดแปลงปรับปรุง แสงสว่าง ต้นไม้ที่ยื่นกิ่งล้ำข้ามรั้วมา พวกนี้ บริษัทรักษาความปบอดภัยแบบจับเสือมือเปล่า แบบประเภทหากินง่าย ไปต้อนคนขึ้นรถมาจากบ้านนอก เอามาใส่ชุด รปภ. สอนขวาหันซ้ายหันแล้วเอามาลงประจำจุด จะโดนผมด่าหนัก และยิ่งไอ้ประเภท ชาร์จค่าวิทยุ ไฟฉาย กระบี่กระบอง ค่าเครื่องแบบบ้าบอคอแตกมา แบบนี้ไปไกลๆ(ตีน) ถ้า รปภ.ของคุณไม่สามารถสื่อสารกันด้วยโทรจิตได้ หรือเห็นในที่มืดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์พวกนั้น ก็แสดงว่า เขาจะทำงานได้เต็มที่ไม่ได้โดยไม่ใช้วิทยุ เพราะฉะนั้น อย่ามาชาร์จเงินผมเพื่ออุปกรณ์ที่จะทำให้คุณทำงานได้ มันไม่เมกเซนส์  และร้อยทั้งร้อยครับ บริษัท รปภ.ในบ้านเรา มันมั่ว มันมีสี มันมีนาย แต่มันไม่มืออาชีพ ไอ้พวกนี้ ไม่เคยได้งานจากผมแน่นอน ส่วนไอ้พวกที่เคยได้งาน เพราะมีใต้โต๊ะ มีนอกมีในกับคนเก่าๆ รับรองได้ กระเจิง เคยมีเจ้าของบริษัท รปภ. เป็นจ่า อยู่แถวๆบ่อวิน มาขู่ผมถึงถิ่น หลังจากโดนยกเลิกสัญญา บ้านเรามันเป็นแบบนี้แหละ และนี่เป็นเหตุผลเดียวที่ผมทำใจลำบากเวลาถูกประกาศว่าเป็น ผู้จัดการรักษาความปลอดภัย เพราะคนที่เขาทำงานด้านนี้ เขาไม่มีความเป็นมืออาชีพ รปภ.มาแต่ละนาย ไม่กล้าแม้กระทั่งจะขอตรวจบัตรพนักงาน ไม่กล้าตรวจค้นใคร ไม่กล้าที่จะทำตามมาตรการรักษาความปลอดภัยแบบมืออาชีพ คุณว่าจริงไหม จ้างมานั่งเฝ้าป้อมยามโดยแท้


สมัยอยู่โรงไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย ก็เป็นแบบที่ผมว่า ยาม มีหน้าที่อันทรงเกียรติประการหนึ่ง คือ คอยวิ่งถือธงเขียวนำหน้ารถ เอ็มดี วิ่งเหยาะๆ จากปากประตูโรงงานโอเลฟิน เพียงแค่ว่า นายจะได้ไม่ต้องลงไปแลกบัตร เพียงแค่ว่าจะได้บายพาสระบบรักษาความปลอดภัยของเขา เพียงแค่ว่าเพื่ออำนวยความสะดวก และเพียงแค่ว่า เป็นการอวยเกียรติเจ้านาย ทำไมล่ะ เป็นเอ็มดี ติดบัตรพนักงานมันลำบากตรงไหน ไม่มีบัตรเรอะ ก็ลงไปแลกบัตร บันทึกการเข้าออก มันจะตายเรอะ หรือว่าชอบแบบที่ว่าใครจะเดินเข้าเดินออกโรงไฟฟ้าเมื่อไหร่ก็ได้ เผลอไปกดปุ่มฉุกเฉิน แก็สเทอร์ไบน์ร่วงไปสักบล็อกหนึ่งแล้วลูกค้าอีกยี่สิบสามสิบรายไฟดับ โดนปรับบานเบอะ ชอบแบบนั้นเรอะ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://i-worksafe.blogspot.com/2010/12/emergency-pre-planning.html


นี่แหละตัวอย่าง แพระดิมชิฟท์ เปลี่ยนมุมมองในเรื่องความเสี่ยง มันเปลี่ยนยาก ถ้าสันดานไม่เปลี่ยน มองความเสี่ยงไม่ออก ถึงมองออก ก็ไม่เชื่อถือว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ถึงเชื่อ ก็ไม่ทำตามมาตรการที่จะลดความเสี่ยงเหล่านั้นลงอย่างเคร่งครัด เจ้ายศเจ้าอย่าง บายพาสหมดทุกระบบ เหลือแต่กาก โรงไฟฟ้าที่ว่านี้ พวกหมวกสีทองนี่ตัวดีเลย เจ้ายศเจ้าอย่าง ซ้อมแผนฉุกเฉินที จะมีคนจัดเตรียมหมวกสีทองวางบนโต๊ะปูผ้าขาวไว้ให้ พวกนี้ ปีชาติหนึ่งอยู่ออฟฟิศที่กรุงเทพ แต่กลับมีชื่อเป็น อีเมอร์เจนซี่คอมมานเดอร์ อบรมอะไรที่เกี่ยวกับ Emergency Comnand Center ก็ไม่เคย โอย กรูจะบ้า ให้ไอ้พวกบ้านี่สั่งการระงับเหตุ มีหวังตายกันเป็นเบือ เริ่มต้นผิด ก็ติดเป็นสันดาน พอจะเปลี่ยนให้ถูก แหมดิ้นพล่าน โวยวาย นั่นนู่นนี่ นี่ไง พวกที่ยากต่อการเปลี่ยนมุมมองในการบริหารความเสี่ยง สันดานชิบ!!
เรื่องทำนองนี้มีอีกมากมาย เล่ากันไม่จบ เอาไว้มาต่อกันว่า เราจะจัดการกับการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงกันอย่างไร


http://i-worksafe.blogspot.com/2010/12/emergency-pre-planning.html

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

พาราไดม์ชิฟท์ ปาร้าดำชิบ


มีข่าวเฮดไลน์อยู่สองข่าวที่ทำให้ผมรู้สึกสลดหดหู่ ก็คือ ข่าวระเบิดที่ถังเก็บน้ำเสียของโรงงานแห่งหนึ่งในภาคอีสาน และข่าวเรือล่ม คนตาย คนสูญหายร่วมๆ 26 ศพ

หัวข้อที่เขียนวันนี้ คือ Paradigm shift regarding risk -การเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยง - หุหุ ฟังดูเป็นงานเป็นการเกิ้น! เอาแบบสไตล์ผมเลยนะ  เป็นการเปลี่ยนกมลสันดานเรื่องการบริหารความเสี่ยง!!

บางคนคงเริ่มสงสัยและเริ่มเดาไปพลางๆว่ามันคืออัลไลย์ ... อะไร(วะ) พาราไดม์ ชื่อคล้ายๆโรงแรมม่านรูด เอ...มันจะเหมือน พาราไดซ์ไหมหน้อ... เอะ รึว่ามันคือปาร้าดำชิบ ผลิตภัณฑ์ใหม่ เอาปลาร้ามาทำแผ่นอบกรอบใส่ถุงส่งนอก ...
Paradigm -ตามดิกชันนารี อ่านว่า "แพ-ระ-ดิม" กระดกลิ้นเล็กน้อยตอนออกเสียง แพร์ หระ ดิ่ม จะฟังดูดีขึ้นเยอะ มันแปลว่า แบบอย่าง หรือต้นแบบ หรือโมดล อะไรทำนองนั้น ส่วนชิฟท์ ออกเสียง ถึๆ ข้างหลังหน่อยหนึ่ง แปลว่า เคลื่อนหรือเลื่อน อ่ะ แล้วมันแปลว่าอัลไลย์ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ เวลาเอามารวมๆกันแล้วมันฟังดูพิลึก กึ ดี ...

สมัยนู้นๆๆๆๆๆ ตอนยังไม่มีรถยนต์ใช้ พาหนะสำคัญในเมืองนอกคือม้า ขี้ม้า หี้ กั่บๆๆๆ ยิงกันสนั่นในหนังเด็กเลี้ยงควาย (Cow Boy movies) จะเห็นว่า เบาะรองนั่งกันขนม้าทิ่มตูด (ภาษาไทยแท้) ก็ถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างเข้ากับสองอย่าง คือหลังม้า กับตูดคนนั่ง ต่อมา พอมีรถจักรยาน อานรถจักรยานก็ยังออกแบบมาให้เหมือนอานม้าอยู่ดี ยิ่งจักรยานแข่ง อานแหลมเปี้ยว นั่งแล้วเจ็บตรูดชะมัด เบาะรถมอเตอร์ไซค์ แม้แต่เบาะรถยนต์สมัยแรกๆ ยังคงรูปร่างแบบอานม้า กว่าจะเปลี่ยนรูปร่างมาเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มันต้องผ่านการยอมรับและการต่อต้านมาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว ไอ้ปรากฏการณ์ที่คนเกิดการเปลี่ยนกรอบความคิดและยอมรับสิ่งใหม่ๆนั่นแหละ เรียกว่า ปาร้าดำชิบ หรือ แพระดิมชิฟท์ถึ โอ้วแม่เจ้า เถียงกันข้ามศตวรรษ หากใครเกิดไปออกแบบอานหน้าตาแปลกๆมาละก็ จะถูกประนามหยามเหยียดว่านอกคอก พิเรนทร์ บัดซบ สิ้นคิด อะไรประมาณนั้นเลยเชียว





การเปลี่ยนวิธีคิด หรือกรอบความคิดเกี่ยวกับความเสี่ยง ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการการที่จะเปลี่ยนบรรยากาศด้านความปลอดภัยในองค์กร หรือที่เรียกว่า เซฟตี้ไคลเมท ถึ (Safety Climate) บางคนทำหน้างงหนักเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเช่น ในบางองค์กร บรรยากาศความปลอดภัย มันสบายๆ ไม่ซีเรียส คือ มึงอยากทำก็ทำ ไม่อยากทำกูก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากมาเมื่อไหร่ก็มา อยากเชื่อมตรงไหนก็เอาเลย หู้ย!! เปอร์หม่ง เปอร์หมิด เรอะ วุ้ย!!! เปิดก็ได้ ไม่เปิดก็ได้ - นี่เป็นบรรยากาศความปลอดภัยแบบหนึ่ง ที่ระบบการจัดการไม่ได้เข้มงวด กฎระเบียบ มีไว้อวดตอนออดิท 

บางแห่ง จะเข้า จะออก เครื่องไม้เครื่องมือ ตรวจกันละเอียดเปะ คนที่จะมาทำงานก็อบรมกันอย่างกับจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก่อนจะทำงานได้ต้องขออนุญาต มีคนไปตรวจหน้างาน อันไหนไม่ถูกก็จะต้องแก้ไข จนกว่าจะเห็นว่าปลอดภัย จึงเริ่มทำงาน มิหนำซ้ำจะมีคนมาตรวจอยู่เรื่อยๆ หากเกิดการฝ่าฝืน จะถูกสั่งหยุด ดีไม่ดีอาจจะถูกเนรเทศออกนอกไซท์งานเอาเสียง่ายๆ  นี่ก็เป็นบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ทีนี้ลองจินตนาการว่า ไอ้เซฟตี้ มันมาจากบรรยากาศแบบมาคุแบบหลัง ส่วนไอ้ผู้จัดการ ไอ้วิศวกร ไอ้ซุปเปอร์ไวเซอร์ มันมาจากบรรยากาศแบบสบายๆ แบบโรงงานเถ้าแก่ มันจะเกิดอะไรขึ้น แพระดิมชิฟท์ถึ คงมันส์พิลึก มันก็เป็นไปได้สองทาง คือ เซฟตี้แพ้ ลาออก ถูกบีบ ถูกอัด กระเด็น ไปขายประกัน ไอ้พวกสบายๆเฮๆๆๆๆ หนุกๆๆๆ สามวันต่อมา ปล่อยผู็รับเหมาไปเชื่อมถัง ไม่ตรวจวัด ไม่กำจัดก็าซไวไฟ ระเบิดตูม ตายสาม คราวนี้ละมึง แพระดิมชิฟท์ของแท้ ชิบหายไง เป็นประเภท ไม่เห็นศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไอ้ฟาย
การเปลี่ยนกรอบความคิดเกี่ยวกับความเสี่ยงมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนตั้งแต่สิ่งเหล่านี้ คือ
1. อันตรายทุกอย่าง มีระดับความเสี่ยงที่ไม่เหมือนกัน ในสถานะการณ์ที่ต่างกัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน
2. ความเสี่ยงที่ค้างอยู่ หรือที่เรียกว่า เรซิดวลริสก์กึ (Residual Risk) จะต้องอยู่ในระดับที่เรียกว่า อาหลาบ (ALARP)
มีใครรู้จักอาหลาบมั๊ย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ http://i-worksafe.blogspot.com/2010/11/alarp.html
3. ความเสี่ยง เป็นเครื่องมือในการบริหาร ที่แห่งไหนที่ประเมินความเสี่ยงเพียงแค่ให้ได้ OSHAS 18000 แล้วเก็บเข้าลิ้นชัก เอาไว้อวดออดิทเทอร์ ก็เตรียมได้เลย ความเสี่ยงมันต้องถูกเอามาใช้ทุกวัน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะมีคนแบบไหนในบรรยากาศแบบไหน คนต้องยึดเอาความเสี่ยงเป็นจุดยุติในการโต้เถียง ถ้าความเสี่ยงสูงมากๆ จะหยุดก็ต้องหยุด ไม่ใช่มาด่ากัน มึงรู้มั๊ย กรูเป็นคราย!!! เฮ้ย กรูเป็นผู้จัดการโครงการนาว้อย !!! พอระเบิดตูม!!! กรูไม่รู้ กรูไม่ได้เป็นผู้จัดการโครงการ ถุย! ไอ้ฟาย
4 ความเสี่ยงเป็นเครื่องมือในการชี้ชัดความเร่งด่วน และการจัดสรรทรัพยากร เพื่อจัดการกับมัน ไอ้ประเภท เป็นมะเร็งแล้วเอายาหม่องตราลิงมาทา ขอทีเถอะ
อธิบายมาถึงตรงนี้ จะเห็นว่า แพหระดิมฉิบ มันเป็นการเขย่าองค์กร ตั้งแต่หัวจรดหาง ถ้าความคิด มุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยงยังไม่เปลี่ยน รอไปเถอะครับ อย่าหวังว่าจะได้เข้าไกล้คำว่า ซีโร่ฮาร์ม คงมีแต่ซี้แล้วหามประการเดียวเท่านั้นแหละครับ ไปดูข่าวงมศพก่อนนะ ยังหาไม่เจออีกสามศพ
จบก่อนดีกว่า ตัดเข้าโฆษณา ข้าวเกรียบรสปราร้าดำ ตราฉิบหาย กินแล้วจะติดใจ คำเดียวสั้นๆ ฉิบหาย ฉิบหาย กร่อบๆๆๆๆๆ

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ภาวะผู้นำ


ภาวะผู้นำ หรือที่เรียกว่า หลีดเด้อชิบ (ออกเสียงแบบไทยกระแดะ)  หรือ ลีดเด้อฉิบ (ออกเสียงแบบสำเนียงอเมริกันตกยาก คือมาอยู่กับเมียไทยหลายปี คำส่งคำศัพท์ลืมเกลี้ยง นอนอยู่เถียงนาน้อยเป็นเวลาเนิ่นนาน)
คำนี้คำเดียวเนี่ยนะ สร้างความมึนงง ให้แก่ผู้คนมาหลายชั่วศตวรรษ โดยเฉพาะ คนไทย ที่ในยามนี้ ท่านผู้นัม มีปัญหาภาวะผู้นำเอามากๆ นี่เห็นร่ำๆว่าจะอยู่เป็นนายกต่อไปอีกสักยี่สิบปี ตายกูตาย แค่นี้ก็จะเลียกระดานกันอยู่แล้ว โอยๆ (ผมพูดถึงท่านผู้นัม ของชนเผ่าดั้งแปบนะ คนที่เอาเรื่องเสือตาเหลืองมาเล่าให้ฟังไง จำได้มั๊ย )
ภาวะผู้นำ มันมีอยู่สามแบบ ที่ส่งผลเรื่องความปลอดภัย
แบบแรก เรียกผู้นำแบบนี้ว่า ผู้นำแบบ คสช. คือผู้นำแบบว่า คุณสั่งมาผมจึงช่วย ผู้นำแบบนี้ เป็นประเภทที่ว่า เดินผ่านไปเห็นถังน้ำมันหกรั่วอยู่ พวกนี้จะรีบเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณว่า คุณไม่ได้สั่ง ผมเลยไม่ช่วย บางคนขนาดน้ำมันหกขวางทาง มันยังกระดึ๊บๆ ผ่านไปหน้าตาเฉย  บางคนก็บ่น กระปอด กระแปด กระปริบ กระปรอย ว่า แหม ดูซิเนี่ย อันตรายจังเลย แหม เซฟตี้เราเนี่ยไม่เอาใจใส่ดูแลเลย ว่าแล้วก็ถ่ายรูปแชะ แล้วเดินจากไป

แบบที่สอง ผู้นำแบบ สทรร. เสือกทุกเรื่องที่มีเรา ผู้นำแบบนี้ ไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทำเลย กระวีกระวาดจัดการหาผ้าขี้ริ้ว มาซับมาเช็ด หาทรายมากลบ หาป้ายมาวาง กลัวคนอื่นและตัวเองจะได้รับอันตราย ถ้าเป็นสมัยยุคหิน ผู้นำแบบนี้แหละที่กระโดดขวางเสือเขี้ยวยาวไว้ จนโดนเสือคาบไปแดรก

แบบที่สาม เรียกว่า ทูเกตเตอร์วีสะตอง คือแบบว่าทุกเรื่องไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่พวกเราด้วยกันทั้งหมดช่วยเป็นหูเป็นตา ไม่ใช่ว่า ใครเอากระเป๋าเป้มาวางไว้ข้างศาลพระพรหม กูไม่สนใจ ไม่ใช่ธุระกู สุดท้าย ตูมสนั่น

คุณว่าในกะลาแลนด์แดนดั้งแปบนี้ มีภาวะผู้นัมแบบไหนเยอะกว่ากัน




ติดคุกเพราะชำนาญการ

 พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มีข้อกำหนดมากมายหลายมาตรา รับกันมาเป็นทอดๆ ไล่ไปตั้งแต่มาตรา 4 ที่เ...