วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Line of Fire




โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง


เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ว๊าย พี่ ๆๆๆ เป็นอะไร 


เสียงหวีดร้องอย่างตกใจ


ช่วย.....พี่.....ด้วย......พี่.......ถูก......ยีงงงงงงง.......คร่อก




อ่านข่าวนี้แล้ว ผมมีอารมณ์เดียวเลย .... กะลาแลนด์นี่มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว.... แห่ขันหมาก...จะปี้ (คำนี้มาจากคำว่า PEE  Personal Erotically Engagement ) กัน....ต้องยิงปืนฉลอง  อะไรของพวกมึงเนี่ย


ในภาษาเซฟตี้ มีคำหนึ่งที่ผม เน้นนักเน้นหนา กับลูกน้องว่าอย่าให้มี นั่นก็คือคำว่า Line of Fire
แปลว่า ทางปืน พวกจบนอก งง เพราะพูดไทยคำอังกฤษคำ เลยแปลไปว่า ควายเข้าแถว


ไลน์ออฟไฟร์  คือสถานการณ์ที่จะได้รับบาดเจ็บได้ จากการที่มีวัตถุ สิ่งของ เคลื่อนที่ เหวี่ยง หล่น ปลิว กระเด็น ดีด พุ่ง ยิง ไปในทิศทางนั้น แล้วมีคนไปขวางทาง อย่างกรณีนี้ ยิงปืน ถ้ายิงขึ้นฟ้า ลูกปืนก็พุ่งขึ้นฟ้า แล้วบังเอิญมีนกอีแร้งชะตาขาดบินผ่านมาพอดี ลูกปืน โบ๊ะเข้าที่ซอกตูด ร่วงผลอยลงมา แบบนี้เขาเรียก ไลน์ออฟไฟร์




อย่างเวลาทำงานกับเครน มีการยกของ แล้วปรากฏว่าสลิงขาด จังหวะเดียวกับที่ซิกแน่นแมน (ออกเสียงแบบสุพรรณเลย) กะลังยืน (ที่สุพรรณ ไม่มีคำว่า กำลัง เราพูดว่า กะลัง) ทำท่าปอบหยิบอยู่ใต้ของที่มันกะลังยก ของที่ร่วงลงมาหล่นตุ๊บบนหัว เละคาที่ แบบนี้ เรียกว่า ไลน์ออฟไฟร์




คุณเชื่อไหมว่า ความเสี่ยงแบบนี้แหละที่คนไทย เจ็บ และตายมากที่สุด เพราะอะไรรู้ไหม คำตอบก็คือ.....แต่น แต้น แต๊น.... สันดานครับ
  
มันมีสันดานสองอย่างที่ทำให้ควายเข้าแถวตายกันบ่อยๆก็คือ


ก. สันดานมักง่าย ฮึ่ย...มึงเชื่อกูดิ  ไม่ต้องหรอก เรื่องมาก ไม่ตรวจอุปกรณ์ ไม่ ไม่ ๆๆๆๆ ที่สำคัญ ไม่มีการกั้นพื้นที่
ข. สันดานดื้อ  เขากั้นไว้ ห้ามเข้า กูก็ปีน




สมัยอยู่สิงค์โปร์ จำได้เลยว่า คนงานไทย พอลงจากรถได้ มันกรูกันลอดรั้ว ̣(Barricade) ที่เขากั้นไว้ มีป้ายห้ามด้วย ลอดกันเป็นฝูง ทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ลอดกันใหญ่


ไอ้ที่ลอดเข้าไปนั่นน่ะ เป็นพื้นที่ซึ่งเขากั้นไว้สำหรับงานยกด้วยเครน


ผมเริ่มงานวันแรก พอเห็นบั่กห่านี่ลอดกัน ผมก็เป่านกหวีดประจำกาย แหะๆ ผมไม่ใช่ กปปส. ตอนนั้นยังไม่มีเลย พอเป่านกหวีด ปรี๊ดดดดดด  ก็มีเสียงตอบรับเป็นภาษาไทยว่า กรวยยยยยย




ไลน์ออฟไฟร์ เป็นอุบัติเหตุที่ป้องกันได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ก็คือ อย่าให้โดนใคร กันพื้นที่ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่มีใครตาย


แต่ในเมืองกะลาแลนด์เนี่ย อุปกรณ์ที่แพงที่สุด คืออะไรรู้ไหม  ป้ายกับรั้วครับ ส่วนใหญ่จะเน้นใช้ ธงราว แบบธงกถินผ้าป่า


ส่วนใหญ่ พวกที่โดนหนีบ โดนกระแทก ก็พวกที่ทำงานนั่นแหละ ประเภท กูต้องยืนใกล้ๆ ถึงจะเท่ห์ เคยเห็นไหม เวลายกของ ไม่ค่อยใช้ แท่กไลน์ (Tag line) กูชอบประคองใกล้ๆ ทำราวกับว่า ถ้าหล่นลงมา กูจะอุ้มไว้


ลองไปดูนะครับ ไอ้ที่โดนของตกใส่ ของกระเด็นใส่ เหวี่ยงใส่ ร้อยทั้งร้อย มันเกิดจากสาเหตุที่เป็น Immediate Cause อยู่สองประการ ก็คือ มีพลังงานที่ปลดปล่อยจากแหล่งพุ่งออกไป และ ข้อสอง ไปขวางทางมัน



ส่วนกรณียิงปืนมั่วซั่ว เพียงเพื่อเฉลิมฉลองว่าเดี๋ยวเถอะมึง กูจะ โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ กันแล้ว ผมว่ามันบ้าครับ


ไปดีกว่า ไปรำหน้านาคแล้ว ได้เวลา เข้าหอ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง












วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Kala Land 4.0



ปกติ บางทีก็ไม่ปรกติ เพราะภาษาไทย เขียนได้ทั้งแบบปกติ และไม่ปรกติ ซึ่งโดยปกติ ผมเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย โดยเฉพาะ การได้ฟัง ได้เห็น ได้อ่าน และดูความเป็นไปเป็นมาในภาพรวม ของประเทศ แต่ตอนนี้ ผมกำลังสับสนกับศัพท์ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นเสมือนนโยบายของประเทศกะลาแลนด์เลยทีเดียว นโยบายที่ว่า คือ....แต่น แตน แต้น....กะลาแลนด์ สี่จุดศูนย์

แป่ว....ววววว... มันคืออะไรง่ะ ???


ในยูตูป มีพรีเซนต์เตชั่น ดูแล้วน่าจะจ้างเขาทำมาหลายตังค์อยู่ทีเดียว เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า คุณรู้หรือไม่ว่า ที่กะลาแลนด์ มีรายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ ปีละ สองแสนสามพันสามร้อยกะอีกหกบาทแน่ะ


เรอะ ???
รายได้ดีนะ แม่ผมขายกล้วยฉาบ วันๆหนึ่ง แกขายได้ไม่กี่ถุง ถุงละไม่กี่บาท แกเลิกทำนามานานมากแล้ว หลังจากขายนาส่งควายเรียนจนจบสามตัว ส่วนน้าๆ อาๆผมที่ยังเหลือ ยังไม่เจ็บ ไม่ป่วยตาย เพราะยาฆ่าแมลง สารเคมี ก็ยังทำนากันต่อไป

ที่กะลาแลนด์ ว่ากันว่า สมัยยังเป็น หนึ่งจุดศูนย์ ชาวไร่ชาวนาทำมาหากินแบบพอมีพอกิน ส่วนใหญ่ไม่พอกิน นี่ดีนะ มีถุงยังชีพแวะเวียนมาแจกเป็นฤดูๆ หน้าแล้ง มีรถมาแจกน้ำ สมัยเด็กๆผมยังเคยเข็นรถที่มีปี๊บไปใส่น้ำที่เขามาแจก สนุกดี เปียกทั้งตัว เย็นดี กว่าจะขโยกขเยกมาถึงบ้าน น้ำเหลือครึ่งปีบ (ที่จริงบ้านผมที่สุพรรณเขาไม่เรียกป้งเรียกปี๊บ เขาเรียก ปีบ ปอ อี บอ หปีบ งง มั๊ย ภาษาบ้าอะไรโคตรสับสนเลย พอใส่หอ อี หี บอ หีบไปข้างหน้า ผิดหลักไวยากรณ์เลย เพราะ ป อี บอ ต้องอ่านว่า หปีบ เหมือนคำว่า ป อา บอ หปาก ) สมันนู้น เราก็อยู่กันแบบ พอมั่ง ไม่พอมั่ง คนสุพรรณไม่ค่อยอพยพทิ้งถิ่น ส่วนถุงยังชีพกันหนาว น้ำท่งน้ำท่วมไม่ค่อยได้กับเขาหรอก เพราะไม่ค่อยหนาว และไม่ค่อยมีแม่น้ำลำคลอง ชลประทาน เขาประทานมาไม่ถึง

พอผมเรียนจบ ก็เข้าไปเป็นแรงงานในระบบ สองจุดศูนย์ คืออยู่โรงงาน เป็นเซฟตี้ไง โรงงานแรก ใช้คนงานเยอะหน่อย สมัยนั้นพวกผู้บริหาร กับผู้ใช้แรงงานมักจะเผชิญหน้ากัน เป็นแบบสหภาพแรงงาน มีการประท้วง ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องค่าแรง ในสมัยกะลาแลนด์สองจุดศูนย์เนี่ย ว่ากันตามจริง ที่บ้านผมก็ยังทำนาอยู่เลย จำได้แม่นว่าอาคนรองกินยาตายประท้วงชีวิตไม่พอกิน เพราะสภาพเศรฐกิจในกะลาแลนด์มันแสนจะฝืดเคือง โรงงานในยุคสองจุดศูนย์หนักไปที่ผลิตของกระจอกงอกง่อย สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ครีบดับกลิ่นเต่า น้ำยาล้างจาน กระดาษเช็ดตูด ประเภทนั้น โอ้ย เซฟตี้นะเรอะ ไม่มีหรอก สมัยนั้น คนยังเข้าใจว่าเซฟตี้เป็นยาม ยามเป็นเซฟตี้อยู่เลย

สมัยกะลาแลนด์สามจุดศูนย์ เป็นยุคผลิตอุตสาหกรรมหนัก โรงงานรถยนต์ เหล็ก เคมี แห่กันเข้ามาบ้านเราที่กะลาแลนด์ โอ้ย เซฟตี้เรอะ ยังสองจุดศูนย์อยู่เลย นายจ้างใหญ่ ส่วนมากแค่จะให้ทำตามกฎหมายก็แทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว จำได้มั๊ย โรงงานตุ๊กตาไฟไหม้ แหมๆๆๆๆ ตื่นเต้น ตาแหก แตกตื่น ออกฎหมายมาเพียบ แล้วไงต่อ

นี่กะลาแลนด์กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค สี่จุดศูนย์ ด้วยเหตุผลว่า เรากำลังเป็นประเทศที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง MIC 

น้าเขยผมถามลั่น อะไร เหรอไอ้หนู (ทำเสียงเหน่อๆ จะได้อรรถรสมากเลย) Middle Income Country ผมกระแดะใส่ภาษาอังกฤษ

น้าอีกคนถามขัดขึ้นมาเสียงดัง มันเป็นควยอะไรรึ
(ที่บ้านนอก การเติมคำแบบนั้นลงไป ก็คล้ายๆเวลาเราดูหนังฝรั่งซาว์ดแทรก ที่มักจะมีคำว่า Fuck ปนๆอยู่ในบทพูด มันเป็นวัฒนธรรมโบราณที่ไม่หยาบคายควยเคยอะไร (เวลาใช้ เขาใส่สร้อยเข้าไปด้วย จะได้ฟังรื่นหูขึ้น) ผมแปลต่อ ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ควยยยย คราวนี้ยาวเลย ไม่มีเสียงเหน่อ แถมเน้นหางเสียง

น้าพองนั่งอยู่ด้วย เสริมขึ้นมา อีชิบหายยยย กูจะไม่มีจะแดก มันปานกลางตรงไหน๊   เออ จริงของแก ... ผมยกมือขัด อธิบายต่อ ไอ้ยุคสี่จุดศูนย์นี่ เราต้องใช้นะวัดตากำ (ลิ้นเริ่มคับปาก) ใหม่ๆ คราวนี้ทุกคนเงียบกริบ มองตาล่อกแล่ก

อะไรรึ ไอ้นะวัดตากำ วัดใหม่ที่หลวงพ่อหนุ่มเพิ่งย้ายมาอยู่นะเรอะ เห็นเขาว่าแม่นนักหนา

ขี้เกียจสาธยาย เอารูปกางเกงในให้น้าๆดู ทุกคนครางฮือ
แบบนี้มันดีตรงไหนล่ะไอ้หนู
หน้าตาบ่งบอกความอยากเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่ กะลาแลนด์สี่จุดศูนย์
ดีสิ เวลาปวดขึ้ ก็แค่ถอดกางเกงนอก
น้าพอเสริมทันที
ขี้ได้เลย ไม้ต้องแก้
น้าคอง ขี้สงสัย แล้วเวลาจะเยี่ยวทำไง
น้านอ ตบกระบาลป๊าบนึง มันจะยากตรงไหน
มึงก็รูดซิบข้างหน้านั่นดิ
คราวนี้ เริ่มเกิดการเผชิญหน้า
ไม่ได้เรื่องแล้ว คงต้องลี้ภัย บรรยากาศ ไม่เอื้อต่อการปรองดอง



เอาเถอะ ไม่ว่ากะลาแลนด์มันจะไปแบบไหน ของจริงๆ เราอยู่กันตรง ศูนย์จุดสองสอง บางทีก็จุดสามแปด หนักหน่อยก็สิบเบ็ดมอมอ เราเองก็รู้ๆกันดีอยู่

ในเมื่อเศรษฐกิจมันแบบนี้ เซฟตี้คงไปไกลกว่า ศูนย์จุดสามคงยาก

เอ้า ดื่มมมมมม  กร่อกๆๆๆๆๆๆ



วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ศาลเอียง


ดัดแปลงมาจากเว็บไซ้ทหนึ่ง

เมื่อวานซืน อ่านข่าวว่า หัวหน้าอัยการแห่งรัฐ ที่อเมริกา ถูกประธานาธิบดีสั่งปลด (ใช้คำว่า Fired ) ถ้าเป็นที่บ้านเรา มันคงไม่แค่สั่งปลด แต่มีความหมายลึกๆว่า ให้อุ้มเอาไปยิงทิ้ง แล้วแก้ผ้าฝัง จะได้ย่อยสลายเร็วๆ
เช้านี้ อ่านข่าว เจอว่า ศาลเมือง อะไรหว่า จำไม่ได้แล้ว มีคำสั่งระงับคำสั่งประธานาธิบดีที่ให้แบน แปลว่าสั่งระงับ ห้าม แต่ถ้าเป็นบ้านกรู แบน อาจจะหมายรวมถึง การทำยังไงก็ได้ ให้มันแบน อาจจะกระทืบ สั่งสอน ผู้เดินทางเข้าอเมริกาที่มีสัญชาติ 7 ชาติที่ทรัมป์ (นี่ถ้าขืนกรูเรียกท่านผู้นำที่กะลาแลนด์แบบนี้ กรูแบนแน่ๆ) สั่งห้ามเข้าประเทศ

ป๊าด นี่มันช่างแตกต่างกับที่บ้านกรูเหลือเกิน ศาลที่บ้านกรูนะ อย่าว่าแต่จะเถียงเลย สบตาท่านผู้นำมันยังไม่กล้าเลย เรื่องจะมาสั่งระงับอะไรทำนองนี้ ฝันไปเถอะ เดี๋ยวนี้ เขามีการพิจารณาทางลับด้วยนะ ศาลที่กะลาแลนด์

ว่ากันตามที่จริง ชื่อนี้ก็เท่้ห์ดีนะ Kala Land ประชาชนในประเทศ ก็เรียกว่า Kalalandise ฟังดูเหมือนพวก กรีก โรมัน

ศาลบ้านกรู เอียงกระเท่เร่ ตอนนี้ ผีตายโหง ผีขโมด ผีสาระพัด เข้ามาอยู่เต็มบ้านไปหมด เจ้าที่นะเรอะ นู่น หนีไปสิงอยู่ที่ต้นมะเขือข้างรั้วนู่น แบบนี้มันน่าขุดเอาไปทิ้งทางสามแพร่งเสียเหลือเกิน


พูดเรื่องศาลพระภูมินี่ มันมีเรื่องน่าคิดนะครับ นั่งอ่านข่าวไป ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ว่ากะลาแลนด์มันจะเป็นยังไงต่อ นึกภาพไม่ออก

ในระบบการบริหารความปลอดภัยเนี่ย (เข้าโหมดเซฟตี้ซะหน่อย) เรามุ่งเน้นที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องมีมาตรการต่างๆ ที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า
  • มีโปรแกรม (Programs ) ถ้าเป็นที่กะลาแลนด์ เขาจะชอบพูดกันให้เท่ห์มากขึ้นว่า มีการบูรณาการ (บอกตรงๆ ผมโคตรเอียนกับคำนี้เลย) ที่กะลาแลนด์เนี่ย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมาตรการสาระพัด ที่ไหนในโลกหล้าเขามีอะไร กะลาแลนด์มีทุกอย่าง เผลอๆ ดีกว่าด้วย แต่....
  • มีมาตรฐาน (Standards) คือที่อื่นๆ เวลาเขากำหนดมาตรการ เขาก็ต้องอิงมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ เรามีมาตรฐานเดียว ก็คือ มาตรฐานตาม มอก. (มาตรฐานออกโดยกู) อย่าได้ไปเถียง ไปถามเข้าเชียวนะมึง พวกเอี้ยนี่มันเป็นคนโคตรดี ถ้ามึงขืนสงสัย มึงจะโดนเขวี้ยงด้วยโพเดี้ยม ตายคาที่นะเว้ย
  • การเป็นไปตามนั้น (Compliance) คือ การปฏิบัติตามมาตรการและมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ ข้อนี้ ไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องมีการปฏิรูปกันก่อน เพื่อให้เกิดการบูรณาการ และการสอดประสาน การร่วมสังสรรค์ พันธนาการ บรรเจิด เกิดการสังเคราะห์ ตกผลึก ผนึกประสานแนวร่วม รวบรวมความสามัคคี อันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันก่อน (เหนื่อยว่ะ)
ผมตั้งคำถามง่ายๆนะ ว่า
มีพนักงานที่โคตรรักษริษัทคนหนึ่ง เห็นกระดาษติดอยู่ที่ลูกกลิ้ง ด้วยความกลัวว่าเซ็นเซอร์ที่จับการเคลื่อนไหวของสายพานลำเลียนจะสั่งหยุด เขาก็เลยกระโดดมุดรั้วเตี้ยๆ เข้าไป แล้วใช้มือหยิบกระดาษชิ้นนั้นออกมา ในจังหวะนั้น ลังบรรจุสินค้าเคลื่อนที่มาชนเขาล้มลง ขาเข้าไปติดกับรางโซ่และถูกบิดจนขาขาด

แบบนี้ ถามว่า นายจ้างมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่  ผมถามไปงั้นแหละ ในวงการเซฟตี้นี่ เรื่องทำนองนี้ มันไม่มีใครพูดถึง มันไกลเกินไป เซฟตี้ที่บ้านกรูนะ เขาพูดกันติดปากว่า   ทำเซฟตี้ 

กรูก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทำ ทำไมไม่พูดว่า ทำให้เซฟลี่ Safely ทำเป็นมั๊ย
อย่าไปถามศาลที่บ้านกูนะ มึงเห็นไหม นั่งแดกไก่ต้มอยู่ริมรั้วนู่น มันไม่ว่างตอบหรอก ศาลเอียง
แต่ถ้าเป็นเมืองโดนัลทรัมป์นะ มึงเอ้ย โดนปรับกันขี้แตกขี้แตนเลยมึง ไม่เชื่อลองเข้าไปอ่านดู การบังคับใช้กฎหมายของ OSHA USA คลิกแล้วเข้าไปอ่านดู จะเห็นว่า เขาปรับกันแต่ละข้อหา เป็นเงินมหาศาล ถ้าเป็นบ้านกรูนะ อย่าให้เซด






สุดแสนจะอัพเซ็ท




ตอนที่ได้ดูการแสดงโชว์จระเข้ ฉากหนึ่งที่เร้าใจมากๆ ก็คงจะอีตอนที่นักแสดง ค่อยๆ เอามือล้วงเข้าไปหยิบแบ้งค์ในปากจระเข้ และยิ่งเสียวมากๆก็อีตอนที่เขาค่อยๆเอาหัวมุดเข้าไปในปากจระเข้แล้วยิ้ม โบกมือให้ท่านผู้ชม

ความเสียวที่ว่า มันบังเกิดขึ้นก็เพราะว่า ไอ้เข้ที่นอนอ้าปากอยู่นั่นมันไม่ใช่ของปลอม ก่อนหน้านั้นมันก็งับไม้ที่นักแสดงใช้เคาะมันจนหักสะบั้นต่อหน้าต่อตา แล้วมันก็ไม่ใช่ไอ้เข้ฟันหลอ มันมีฟันเต็มปาก แค่เพียงว่าไอ้เข้ตัวนี้ เกิดนึกอยากจะหุบปากเพื่อดูดขี้ฟันที่ติดอยู่ ในจังหวะที่มือ หรือหัวของนักแสดงอยู่ในนั้น ผู้ชมนับร้อยก็คงได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนขวัญ

แล้วมันเกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้ยังไง มันเกี่ยวสิ ถึงไม่เกี่ยว ก็จะพูดให้เกี่ยวให้จงได้

อัพเซ็ทคอนดิชั่น (Upset Conditions) เติม เอสไปตัวนึง จะได้ หมายความว่า สภาวะใดๆก็ตามที่ผิดปกติ ในแง่ของการบริหารความปลอดภัย เวลามีสภาวะแบบนี้ ถ้าเป็นโรงงานเคมี ก็ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุณหภูมิ ความดัน ในถัง หรือรีแอคเตอร์ผิดปกติ หรือเกิดการล้น การระบายแรงดัน แก็สรั่ว ไฟไหม้ ระเบิดเถิดเทิง แบบนี้แหละ

ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นโรงงานที่ใช้เครื่องโม่ เครื่องปั่น อัพเซ็ทคอนดิชั่นก็อาจจะยกตัวอย่างเช่น การที่มีเศษแร่ เศษวัสดุไปติดค้าง แล้วทำให้เครื่องทำงานขัดข้อง มีสิ่งของไปค้างในสายพานลำเลียง เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอะไรแบบไหน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันอัพเซ็ทไปหมด หัวหน้างาน ก็อัพเซ็ท ผู้จัดการก็อัพเซ็ท ผู้อำนวยการ เรื่อยไป จนถึง เมียผู้จัดการ เมียน้อยผู้จัดการ ทุกคนอัพเซ็ทไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกลเป็นหมื่นๆไมล์ พอรู้ว่าเครื่องหยุด มันอัพเซ็ทกันไปหมด และด้วยเหตุนี้แหละ สภาพจริงๆเวลาเกิดอัพเซ็ทคอนดิชั่นขึ้น ก็จะเห็นพวกกุลี กรรมกร โฟร์แมน หรือแม้แต่หัวหน้ากะ ต่างกระโจน ป่ายปีน พุ่งเข้าใส่ หมายจะแก้ไขสถานการณ์ อย่างไม่คิดชีวิต ย้ำนะ ว่า อย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้เครื่องหมุนอยู่ มันก็จะเอานิ้ว เอามือ เอาสาระพัดอวัยวะแหย่เข้าไปเพื่อเขี่ยเศษที่ติดอยู่นั่นออก ถ้าสารเคมีรั่วอยู่ มันก็จะคว้าอะไรก็ได้ใกล้มือ ถ้าไม่มี หากจะต้องถอดกุงเกงใน เอาไปยัดไว้เพื่อหยุดการรั่วไหลมันก็เอา สภาพแบบนี้แหละ มันไม่ได้ต่างอะไรจาก นักแสดงโชว์จระเข่้ที่พูดถึงมาแต่ต้น ว่า ทำไปเพื่ออะไร ??? บางคนนิ้วขาด มือขาด หรือถูกเครื่องลากเข้าไปบดจนละเอียด บางคนถูกไฟคลอก ระเบิดแหลกเป็นเศษเนื่้อ ถามจริงๆ เพื่ออะไร ??

นั่นคือเรื่องจริงๆ โรงงานในเอเชีย เวลามันถูกออกแบบมา ระบบป้องกันมันก็ไม่ค่อยจะมี ไอ้ที่มีก็เปิดออกง่ายแสนง่าย มุดง่าย ปีนง่าย เมื่อเอามารวมกับกรรมกรที่แสนดี พร้อมพลีชีพเพื่อองค์กร จึงเห็นข่าวสยองแบบนั้นตลอดมา



ในประเทศที่เขาเจริญแล้ว ประชาชนเขาไม่อัพเซ็ทง่ายๆ คือต่อให้เครื่องติดขัด เขาก็ไม่มีทางจะกระโจนเข้าใส่ เอาชีวิตเข้าแลกแบบคนเอเชีย และต่อให้จะพยายามเป็นฮีโร่ แค่เอามือ เอาอวัวะโผล่เข้าไป ระบบก็จะตัดพลังงานอันตรายออกหมด ไม่เจ็บ ไม่เละกันง่ายๆ นอกเสียจากว่า ไปเจอพวกนักลงทุนที่มาจากประเทศนอก ที่รู้จักเอเชียดี มันไม่เอาระบบที่สมบูรณ์มา เพราะมันแพง สู้เอาตังค์มาจ้างฝ่ายกฎหมาย จ้างผู้จัดการที่ด่าเก่งๆ โหดๆดีกว่า เวลาเกิดเหตุ ไอ้พวกนี้จะคอยปกป้อง โยนความผิดให้คนที่เจ็บที่ตาย เพราะกลัวนายอัพเซ็ทว่า มันไม่ทำตามโปรซีดเยอร์

ไงล่ะมึง ถามเหมื่อที่เคยถาม เวลามึงเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแก้ไขสภาพที่เครื่องจักรที่ออกแบบห่วยแตกมาแต่แรก เพื่อให้มันเดินได้ แล้วมึงเจ็บ มึงตาย เขาดูแลลูกเมียมึงมั๊ยล่ะ อ๋อเรอะ ยังไม่มีเมีย ไอ้ควายยยย

สอนยากสอนเย็น โคตรอัพเซ็ทเลยว่ะ เอ้า... แหย่ๆมันเข้าไป เอ้า หู้ย เล่ หู้ย อ๊ากกกกกก  

ไม่ต้องห่วง ตรุษจีนปีหน้า กูจะเผาระบบอินเตอร์ล็อกไปให้ เอิ้กๆๆๆๆ




ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...