วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

คาถามหาสะแลม SLAM

 

พี่ตูน ตอนเป็นนักร้อง ก็ดังเป็นพลุแตก

ผมเคยหลงเข้าไปดูคอนเสิร์ทพี่ตูนที่อิมแพคเมืองทองหนหนึ่ง แหม... เพลงแกมันส์ดีนะ แต่ผมร้องไม่ได้เลยสักเพลง ร้องไม่ได้ยังไม่เท่าไหร่ ฟังไม่รู้เรื่องนี่สิ มันเจ็บใจ เลยได้แต่ยกมือ โยกไปโยกมาตามคนข้างๆเขาไปเรื่อยเปื่อย ก็สนุกดี
พี่ตูนแกเป็นคนบ้านเดียวกับผม คนสุพรรณ มาหนนี้ แกออกวิ่งจากใต้จรดเหนือ เพื่อหาเงินมาช่วยโรงพยาบาลต่างๆ ผู้คนช่วยกันสมทบ อบอุ่นกันทุกสาระทิศ บอกได้เลยว่า พี่ตูนกลายเป็นขวัญใจมหาชนไปเลยทีเดียวเชียว ส่วนพี่ตูบของผม ช่วงนี้แย่หน่อย ไม่รู้จะรอดหน้าหนาวนี้รึเปล่า ช่วงนี้อาการไม่ค่อยดี ยาที่กิน ดูเหมือนจะระงับอาการที่กำเริบไม่อยู่ เมื่อสองสามวันก่อน เห็นแกไล่งับเงาตัวเองกั่บๆ นั่นก็อาการหนักอยู่พอสมควร

คาถาหลวงพ่อตูน

ถ้าพี่ตูนบวชตอนนี้ ใครๆเขาก็จะเรียก หลวงพี่ตูน ถ้าบวชนาน เขาเรียก หลวงพ่อตูน แต่ความดังระดับนี้ จะเรียก หลวงปู่ตูน ผมว่าก็ไม่มีใครแย้งอะไร เพราะ ของเขาดีจริง



ก่อนออกจากบ้านไปเที่ยวช่วงหยุดยาว เอาคาถาหลวงพ่อตูนติดรถไปด้วย
ท่องไว้ ตั้งนะโมสามจบ แล้วว่า สะแลม สะแลม สะแลม สะแลม  เอส แอล เอ เอ็ม

จำไว้ให้ดีนะคุณโยม
ตัวเอส ย่อมาจากคำว่า สะต๊อป STOP  ที่แปลว่าหยุด ความหมายก็คือ ก่อนจะทำอะไร หยุดคิดสักนิด คิดว่าปลอดภัยกับตัวเองไหม ปลอดภัยกับคนอื่นไหม คิดวางแผนให้รอบคอบก่อนลงมือทำงานทำการ
ตัวแอล ย่อมาจากคำว่า  ลุ๊ค LOOK แปลว่า มองดู มองรอบๆ ข้างบน ข้างล่าง ข้างซ้าย ข้างขวา มีอะไรที่จะเป็นอันตรายไหม ตรงนี้จอดได้ไหม ทางโค้ง ทางลงเนิน ขืนจอด รถคันอื่นมาเสยท้ายเข้า จะพากันตายยกครัวไปเสียเปล่าๆ
ตัว เอ ย่อมาจากคำว่า แอสเสจ (ASSESS) แปลว่าประเมิน ก็ความเสี่ยงไง ประเมินว่าโอกาสเกิดมันเป็นยังไง เกิดแล้วรุนแรงไหม คงไม่ต้องถึงกับกางตารางความเสี่ยง สัญชาติญานนี่ก็ใช้ได้แล้ว อย่างรถยางแตก จะจอดตรงทางโค้งลงเนิน อีแบบนี้ ขึ้นจอดตรงนั้น มีหวังสิบล้อเอาไปแดรกแน่นอน นอกจากนี้ยังต้องประเมินด้วยว่าจะลดความเสี่ยงยังไง ไม่ใช่ จอดตรงทางโค้งลงเนิน แล้วไปหักกิ่งไม่มาวาง หวังให้คนเห็น รถมาเร็วๆ มันมองไม่ทัน ทำอะไรต้องประเมิน
ตัวเอ็ม ย่อมาจากคำว่า แมเนจ (Manage) แปลว่า คอยดูว่าสิ่งที่ดำเนินการไปนั้นมันได้ผลไหม เช่น กิ่งไม้ อาจจะเวิร์คตอนกลางวัน แต่ถ้ามืดค่ำ มันมองไม่เห็น ก็ต้องเปลี่ยนวิธีที่มันเหมาะสม อย่างให้นังสนมลงไปยืนฉายไฟโบกให้สัญญานรถอื่น แต่ต้องยืนหลบๆหน่อยนะ เดี๋ยวคนเขาไม่รู้ คิดว่าเป็นตำรวจมาโบกรถ จะหักหลบ ชนกันตายเข้าอีก
ยกตัวอย่างมานี่ พอจะเข้าใจไหม SLAM
เอาล่ะ เอาๆ พี่ตูบ ขยับมา รับน้ำมนต์ เอ้อ ... ปู๊ด ๆๆๆๆๆ หายนะ หายบ้าเร็วๆ ปู๊ดๆๆๆๆๆ
อ้าว น่าน พี่ป้อม ไปโดนอะไรมาล่ะ หน้าตาหมองคล้ำ สงสัยโดนของมา มาๆๆๆ ขยับมาใกล้ๆ เออๆๆๆๆ ปู๊ด ๆๆๆๆๆๆ

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สุดจะพรรณา

สะเทือนใจ!!! คนงานรอดตายปาฏิหาริย์ หลังตกลงไปในถังละลายเดือด แต่บริษัทขอให้ตาย เพื่อหยุดจ่ายค่ารักษา




เรื่องราวของ หยวน หลงหัว คนงานวัย 38 ปี ได้ประสบอุบัติเหตุพลัดตกลงไปในสารละลายเดือดระหว่างปฏิบัติหน้าที่ แต่สามารถรอดชีวิตมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
นายหลงหัว ได้ทำงานต่อเนื่อง 13 ชั่วโมงโดยไม่ได้หยุดพัก และได้ตกลงไปในถังละลายเดือดจัด ทำให้ร่างกายของเขาถูกลวกไปกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ และต้องตัดขาขวาออกกลายเป็นคนพิการในที่สุด จากนั้นเขาต้องพักรักษาอาการที่โรงพยาบาล ผ่านไป 2 เดือน ทางบริษัทเรื่อมไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ทำให้ร่างกายของเขาแย่ลง
จากนั้นก็ได้พยายามโน้มน้าวทางครอบครัวให้หยุดการรักษาหนุ่มเคราะห์ร้ายคนนี้ แล้วทำการฉีดยาให้ตาย พร้อมสัญญาว่าจะชดเชยค่าเสียหายให้เมื่อเขาเสียชีวิต  "เราขอแนะนำให้ญาติแจ้งโรงพยาบาลให้ยุติการรักษา หลังจากที่เขาตายแล้วเราจะจ่ายค่าชดเชยให้" นี่คือข้อความของทางบริษัทที่ส่งมาแจ้งกับครอบครัวนายหลงหัว

ที่มา: http://www.kanomjeeb.com/news-details.php?item=4003

ข่าวนี้ไม่รู้จริงหรือเท็จ แต่ดูจากสภาพเครื่องจักรแล้ว ผมไม่แปลกใจ โรงงานในจีน ในเวียดนาม ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลย์ และในประเทศไทย หลายๆแห่งที่เคยไปเห็นมา ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

เครื่องจักรไม่มีระบบป้องกัน จุดที่คนทำงานต้องป่ายปีนไปเติมสารเคมี ไปตักตัวอย่าง ไปทำอะไรสักอย่าง ไม่มีแพลทฟอร์ม ไม่มีบันได ไม่มีราวกันตก ผิดกฎหมายหลายข้อหลายกระทง ถ้าปรับกันจริงๆ ไม่ต้องตั้งงบเลยครับ

คนงานทำงานควงกะ ทำกันจนกระทั่งหลับใน

คนงานกลัวนายจ้าง กลัวตกงาน

ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ไม่มีคณะกรรมการ ถึงมีก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

เซฟตี้กลัวนายจ้าง กลัวตกงาน ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ถึงมี ก็ไม่กล้าพูด รองานใหม่ ได้เมื่อไหร่ กูไปโลด

หน่วยงานราชการ หึๆ ไม่อยากพูดถึงมาก มีพรรคพวกเพื่อนฝูงนั่งกันสลอนในหน่วยงานคุมกฎ แต่มัน ก็ไม่กล้าพูด ไม่มีปาก ไม่มีเสียง ถึงมีก็ไม่พูด และไม่กล้าลาออก เดี๋ยวนี้ ข้าราชการเงินเดือนดี โบนัสงาม เช้าชาม เย็นชาม สบายจะตาย ช่วงคืนความสุขให้ประชาชนนี่ สบายฝรุดๆ

นี่ถ้าเป็นที่อเมริกานะมึง โดนปรับหมดตูด โชดดีนะมึงที่เกิดเป็นชาติเอเชีย  

เห็นข่าวคนงานลงไปล้างถังประปาตาย ที่ภูเก็ต ที่อุทัย ตายในถังน้ำมันที่บ่อทอง ชลบุรี โอย ตายซ้ำซาก ไม่รู้จะด่าใครดี ด่าไอ้ห่านี่ละกัน พล่ามๆอยู่บนจอทีวี แหมๆ ผลงานเยอะนะมึง ชาวบ้านไม่มีจะแดรกแล้ว ไอ้ฟาย

เซ็งกะลาแลนด์






วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

จ่อ...ทำขี้เกลืออะไร


เห็นพาดหัวข่าวแล้ว หงุดหงิด

มันจะจ่อทำขี้เกลืออะไร แจ้งความเอาผิดกับนายจ้างที่ทำผิดกฎหมายความปลอดภัย ในบ้านเรามันช่างยากเย็นแสนเข็นเสียเหลือเกิน ทั้งๆที่กฎหมายก็มีมากมาย เขียนเอาไว้เช็ดตูดรึไงครับพี่น้อง

ผมเคยเขียนเรื่อง Citation Report ของ OSHA USA อยู่บ่อยๆ เพราะคอยติดตามข่าวสารผ่านทางเว็ปไซท์ หมายเรียกดำเนินคดีของ OSHA
อ่านต่อที่นี่

ที่ติดตามก็เพื่อ นำมาเป็นอุทาหรณ์ อุทาเห่าให้กับบรรดาผู้บริหาร ว่าไอ้ที่ทำๆกันอยู่เนี่ย ถ้าเป็นที่อเมริกาบ้านมึงน่ะ มึงโดนปรับขี้แตกขี้แตนแล้ว อย่างเคสนี้ เป็นกรณี โรงงานทำฉนวนกันความร้อนในรถยนต์แห่งหนึ่งในรัฐ โอไฮโอ
โรงนี้ทำคนงานแขนขาดไปหนึ่งราย เพราะโดนเครื่องย่อยเศษผ้าลากเข้าไป เป็นโรงงานชื่อว่า ออโต้เหนียม อเมริกาเหนือ อิงค์  จากการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่แรงงาน พบข้อบกพร่องหลายประการ และมีการออกหมายเรียกดำเนินคดี และปรับ เป็นเงิน ฟังดีๆ ห้าแสนหกหมื่นเก้าพันสี่ร้อยหกสิบ ยูเอสดอลลาร์ เอา 35 คูณเข้าไป ก็ตกอยู่ที่ 19,950,000 บาท ไทย ไม่มีหรอก จ่อๆ จะดำเนินคดี แบบหน่อมแน้ม จำคุกไม่เกินหนึ่งปี ปรับสองแสนบาท ถุย !!

ที่อเมริกา เวลาเขาปรับกัน เขาแจ้งข้อหาแยกเป็นข้อๆ ไม่ใช่ ทำชุ่ยๆ ตายไปแล้วแปดเก้าศพ จ่อปรับสองแสน มึงจะจ่อทำขี้เกลืออะไร ??

มาดูกันว่าไอ้บริษัทนี้ โดนปรับเรื่องอะไรมั่ง


v

อ่านไม่ออก !!! ป๊าด !!! อ่านออกก็แปลไม่ได้ ฮึ่ย !! แปลได้ก็ไม่เกี่ยวกะกูนิ !!
เอาๆ อยู่ในกะลากันต่อไปพี่น้องเอ้ย

นี่เป็นเอกสารเรียกทวงหนี้จากบริษัท ออโต้นีอุ้ม นอร์ท อเมริกา อิงค์ ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 645 ถนนลาลเลนดอร์ฟ เหนือ โอเรกอน รัฐโอไฮโอ สรุปมีข้อหาตามใบสั่งปรับนี่ สามกระทง

กระทงแรก เป็นความผิดแบบ วิลฟูล -Willful ใครที่ยังไม่รู้มันคืออะไร ไปลองอ่านดูในบล็อกเรื่อง อยากได้แบบนี้มั่งจัง http://funnysafetytalk.blogspot.com/2014/12/blog-post_19.html

ไอ้ความผิดแบบนี้เขาเรียกว่า เจตนากระทำ คือรู้ทั้งรู้ แต่กูจะทำ กระทงนี้โนไป 373,001.00 USD ก็ราวๆ  
ล้านกว่าบาท

กระทงที่สอง เป็นความผิดแบบรีพีท -Repeat ผิดซ้ำผิดซาก เป็นดากทาเกลือ (แม่ยายผมชอบพูด ไม่รู้ดากทาเกลือมันเกี่ยวอะไรด้วย สงสัยแกชอบเอาเกลือมาทามั๊ง) กระทงนี้โดนไป 196,462 USD ก็ราวๆ หกล้านเก้าแสนกว่าๆ

มา ผมจะแจงให้ฟังนะครับพี่น้อง

กฎหมายเครื่องจักร บอกว่าให้นายจ้างทำการ์ด หรือเครื่องป้องกันส่วนที่เป็นอันตรายของเครื่องจักรที่เรียกว่า โอปะเรติ้งพ้อยท์ เพื่อป้องกันไม่ให้คนงานโดนหนีบ โดนดึงเข้าไป  ไง คล้ายๆกฎหมายกะลาแลนด์มั๊ย มันจะไม่คล้ายได้ไง ก็เราลอกเขามา อะไรดีๆ ลอกมาหมดเด๊ะๆ ยกเว้น การบังคับใช้กฎหมาย ไอ้โรงนี้ เจ้าหน้าที่เขาไปตรวจ เจอเครื่องเจียร์ เครื่องนู่นเครื่องนี่ ไม่มีการ์ด และรวมไปถึงไอ้เครื่องย่อยเศษผ้าหรือเทร็ดดิ้งแมชิน ไม่มีฝาครอบ โอช่าอเมริกาไม่มีจ่อครับ แจกเลย ค่าปรับเป็นเงินถึง ล้านกว่าบาท

ไงละมึง นี่ถ้าเอากฎหมาบ้านกูออกมากางนะ พรบ.ความปลอดภัย สุขภาพ บลาๆๆ ปี 2554

 มาตรา ๕๓ นายจ้างผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กําหนดในกฎกระทรวงที่ออกตาม มาตรา  ๘  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท  หรือทั้งจําทั้งปรับ

ถ้าอ่านแบบคนมีสมอง ก็จะแปลได้ว่า ไอ้ที่มีกฎหมายกำหนดไว้ตามมาตราแปด แล้วนายจ้างไม่ทำเนี่ย มันก็กระทงละ หนึ่งปี ปรับไม่เกินสี่แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ลองไปแหกตาดูซิ มีกฎกระทรวงกี่เรื่อง แต่ละเรื่องให้นายจ้างทำอะไรมั่ง ไอ้ที่หล่น ที่ตกลงมาตายเนี่ย ผิดไปกี่ข้อ ข้อละกี่ปี ปรับกี่บาท

มึงจะจ่อทำขี้เกลืออะไร จ่ออยู่นั่น หยั่งงี้มันต้องเจอ มอ สี่สิบสี่







วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

มีครบทุกอย่าง ยกเว้น "สำนึก"

ปีนี้หกวันตายเกือบสี่ร้อยศพ

ถ้าต้องขนใส่ตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ก็ต้องใช้ราวๆ 20 ตู้เลยทีเดียว
นี่คำนวณแบบหลวมๆ ใช้โลงขนาดยาว 1.8 เมตร กว้าง 60 ซม. สูง 60 ซม. กันอึดอัดยัดเยียด มีที่ว่างเผื่ออืดพอสมควร ตู้หนึ่งเรียงตามความลึกได้ 5 โลง ตามแนวกว้างได้ 4 โลง รวมๆก็ 20 โลงต่อตู้ แค่หกวันตายไปเกือบสี่ร้อย ก็ต้องใช้ตู้ราวๆ 20 ตู้ อันนี้ไม่รวมพวกที่เก็บได้ไม่ครบ เป็นเศษเล็กเศษน้อย หายไปบ้าง ไฟไหม้ไปบ้าง ไหลตามน้ำไปบ้าง
  
ประเทศไทย ถูกจัดเป็นอันดับ 2 ของโลกที่มีอุบัติเหตุจากการจราจร มากที่สุด เป็นรองจากประเทศลิเบียเพียงเล็กน้อย

ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ทฤษฎีด้านการบริหารความปลอดภัยแบบพื้นๆ อย่างทฤษฎีสามอี หรืออีสามตัว ที่ว่า ความปลอดภัยต้องการองค์ประกอบสำคัญสามอย่างคือ
  • วิศวกรรม (E-Engineering) รถดี ถนนดี ทางดี ป้ายครบ ไฟสว่าง
  • การศึกษา (E-Education) ปากเปียก ปากแฉะ
  • การบังคับใช้กฏ (E-Enforcement) ใช้ ม.44 ก็แล้ว
ใช้หมดทุกรูปแบบ แต่ยังไม่สามารถลดอุบัติเหตุ เจ็บและตายอย่างมากมายมหาศาลของคนไทยลงได้ เพราะว่า ประเทศไทย สังคมไทย เป็นประเทศที่ไร้สำนึก ใช่ครับ ผมพูดไม่ผิด เราเป็นชนชาติที่ไร้สำนึกในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะ สำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยส่วนรวม

นักขับรถในประเทศนี้ เพียงประเทศเดียว ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรได้ทุกข้อ
แซงในที่คับขัน
ใช้ความเร็วเกินกำหนด
มึนเมาขณะขับรถ
ปาด
เบียด
จี้
แข่ง
อาฆาต
โหดเหี้ย
อำมหิต
ริษยา
ด่าทอ




ผู้บริหาร หน่วยราชการ
ขุดโดยไม่ตั้งป้าย
กองโดยไม่สนใจใคร
ตั้งเครื่องกีดขวางตามอำเภอใจ
ตั้งด่านในที่ไม่ควรตั้ง
ช้าวชาม เย็นชาม
ทุจริต
โกงกิน

ประเทศไทย มีสันดานเสียมาตั้งแต่ไหนไม่ทราบ เป็นพ่อค้าแม่ค้า ก็ชอบอารมย์เสีย หงุดหงิด ใส่ลูกค้า ทำราวกับว่าลูกค้าจะเข้าไปบุกรุกหยิบฉวยสิ่งของ ถามก็ไม่ได้ ตวาดแว๊กๆ

พอนั่งหลังพวงมาลัย วิญญานนักแข่ง วิญญานนักเลง เข้าสิงทันที ใครขับช้า กูก็ด่าแม่ง แช่งชักหักกระดูก ขับปาดหน้า เบียดให้ตกถนน ให้ ของลับ ถึงขั้นลงไปชกต่อยตบตี ฆ่ากันตายก็มีให้เห็นได้ทุกๆวัน

สันดานไร้สำนึกส่วนรวมนี่มันแทรกอยู่ทุกๆอณูของความเป็นไทย ทุกระดับ ใหญ่โต จนถึงกระจอกงอกง่อย

รปภ. พอได้ทำหน้าที่เข้าหน่อยก็เบ่งกับ รถแท๊กซี่ ไล่ด่า ไล่ล็อกล้อ ขูดเลือดคนจนๆพวกเดียวกัน

อบต. อบจ. สส. เรื่อยมา จนพวกที่นั่งสลอนกันในสภา หาที่จะมีสำนึกส่วนรวม หายาก

ผมเองก็ไม่ได้มีสำนึกอะไรดีมากไปกว่าคุณ เพราะความที่มีกรรมพันธุ์ สันดาน ความเป็นไทยติดมาแต่กำเนิด ที่กล้าพูดและลงความเห็นว่า ไทย เป็นชนชาติที่ไร้สำนึกส่วนรวม ก็เพราะ ได้เห็น ได้ประจักษ์ มาแล้วกับตัวเอง ที่พูดมานั้นก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน ทำแบบนั้นมากก่อน ครั้นจะเสนอแนะแนวทางแก้ไข งัดเอาทฤษฎีมากมายมาเป็นแนวทาง นำเสนอ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะทฤษฎีอะไรก็ใช้ไม่ได้ผลกับคนไทย

สังคมไทยเป็นสังคมแบบ I can't do คือ กูทำไม่ได้หรอก
จะมีข้อแม้ ข้อโต้แย้ง ข้ออ้างสาระพัด ที่จะบอกว่า อย่าเลย ทำไม่ได้หรอก

ปีนี้ ไม่ได้ออกไปไหน  บอกตรงๆ กลัวตาย บนถนน เหมือนสงคราม ในปั๊มเหมือนเดินในดงผีดิบ ในห้าง เหมือนอยู่ในสมรภูมิรบ

พี่ครับ อันนี้เท่าไหร่ครับ
ป้ายข้างหน้านั่น  อ่านไม่ออกรึ

อ้าว!!! อีผีดิบ ถามดีๆ มึงเป็นเหี้ยอะไรนี่

หลังจากนั้นก็  อี๊ แอ่ อี๊ แอ่ ๆๆๆๆ

เอาล่ะ จบดีกว่า เครียดว่ะ เกิดเป็นคนไทย เครียดโว๊ยยยยยยยย








วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560

อันตรายจากสารเคมี

ฉบับนี้จะเป็นเพียงฉบับเดียวที่ใช้ภาษา ลีลา เป็นวิชาการ แทนที่จะเป็นภาษาแบบชาวบ้าน บ้านๆ ลูกทุ่ง โลดโผน เพราะเขาขอมา


เอาละนะ เข้าสู่โหมดวิชาการกันเลย ขออนุญาตผูกไทด์แป๊บ อะ แฮ่ม อะ แฮ่ม โหลๆๆๆ หนึ่ง สอง สาม เทสท์ เทสท์


ไฟพร้อม กล้องพร้อม แอ๊กกกกกก ชั่นนนนน


สารเคมี มีอันตรายอย่างไรบ้าง



แผนผังข้างบนน่าจะง่ายที่สุดแล้วสำหรับการอธิบายให้เห็นในภาพรวมๆว่า สารเคมี มีอันตรายอย่างไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้ทั้งนักวิชาการมาก นักวิชาการน้อย และนักวิชาเกิน จะได้ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปทีละเปลาะ


ถ้าจะจำแนกอันตรายของสารเคมีออกเป็นสองแบบใหญ่ๆ ก็จะจำแนกได้ว่า


ก. อันตรายต่อสุขภาพ
ข. อันตรายทางกายภาพ


นี่ถ้าบรรยายในชั้นเรียนแบบนี้ พวกที่นั่งหลังห้อง ก็จะเริ่มก้มหน้า ละสายตา แอบดูไลน์ อ่านเฟสบุค ส่งเมสเสจ หรือไม่ก็แอบหลับไปแล้ว


ทำไงได้ เขาขอมา ให้เป็นวิชาการ ก็จัดไป


ก. อันตรายต่อสุขภาพ (Health Hazards)

กล่าวรวมๆ ก็คือผลที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกาย ทั้งแบบเฉียบพลัน (Acute) หรือแบบ เรื้อรัง (Chronic)  เมื่อได้รับสารเคมีเข้าไป ส่วนจะเข้าไปทางไหนบ้างนั้น จะยังไม่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดในตอนนี้ เมื่อได้รับสารเคมีเข้าไป มันจะไปก่อให้เกิดอันตรายได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับสารเคมีตัวนั้นๆ กล่าวคือ


  1. เกิดอันตรายต่ออวัยวะเป้าหมาย (Target Organ) สารเคมีหลายส่วนใหญ่  เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะไปสะไปออกฤทธิ์ เกิดความเป็นพิษในร่างกายและอวัยวะต่างๆไม่เท่ากัน แต่มักจะส่งผลให้เกิดความเป็นพิษขึ้นที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งรุนแรงกว่า อวัยวะที่กล่าวมานี้ เรียกว่า อวัยวะเป้าหมาย
  2. เกิดการกัดกร่อน (Corrosive) สารเคมีจำนวนไม่น้อยเลยที่ออกฤทธิ์กัดกร่อน ในบริเวณที่เกิดการสัมผัส หรือเส้นทางที่สารเคมีนั้นผ่านเข้าไป
  3. เกิดมะเร็ง (Carcinogen) สารเคมีอีกมหาศาลทีเดียวที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
  4. เกิดอาการที่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยา (Sensitizer) ทำให้ร่างกายมีอาการแพ้รุนแรงขึ้น
  5. เกิดอาการระคายเคือง (Irritation) แบบนี้ไม่แพ้ แต่ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองขึ้นต่ออวัยวะ หรือส่วนของร่างกาย เช่น ตา ทางเดินหายใจ เป็นต้น
  6. เกิดอันตรายต่อระบบการสืบพันธุ์ (Reproductive System)
    • เกิดการกลายพันธุุ์ (Mutagens)
    • เกิดความผิดปกติของตัวอ่อน (Teratogens)












วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Line of Fire




โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง


เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ว๊าย พี่ ๆๆๆ เป็นอะไร 


เสียงหวีดร้องอย่างตกใจ


ช่วย.....พี่.....ด้วย......พี่.......ถูก......ยีงงงงงงง.......คร่อก




อ่านข่าวนี้แล้ว ผมมีอารมณ์เดียวเลย .... กะลาแลนด์นี่มันจะบ้ากันใหญ่แล้ว.... แห่ขันหมาก...จะปี้ (คำนี้มาจากคำว่า PEE  Personal Erotically Engagement ) กัน....ต้องยิงปืนฉลอง  อะไรของพวกมึงเนี่ย


ในภาษาเซฟตี้ มีคำหนึ่งที่ผม เน้นนักเน้นหนา กับลูกน้องว่าอย่าให้มี นั่นก็คือคำว่า Line of Fire
แปลว่า ทางปืน พวกจบนอก งง เพราะพูดไทยคำอังกฤษคำ เลยแปลไปว่า ควายเข้าแถว


ไลน์ออฟไฟร์  คือสถานการณ์ที่จะได้รับบาดเจ็บได้ จากการที่มีวัตถุ สิ่งของ เคลื่อนที่ เหวี่ยง หล่น ปลิว กระเด็น ดีด พุ่ง ยิง ไปในทิศทางนั้น แล้วมีคนไปขวางทาง อย่างกรณีนี้ ยิงปืน ถ้ายิงขึ้นฟ้า ลูกปืนก็พุ่งขึ้นฟ้า แล้วบังเอิญมีนกอีแร้งชะตาขาดบินผ่านมาพอดี ลูกปืน โบ๊ะเข้าที่ซอกตูด ร่วงผลอยลงมา แบบนี้เขาเรียก ไลน์ออฟไฟร์




อย่างเวลาทำงานกับเครน มีการยกของ แล้วปรากฏว่าสลิงขาด จังหวะเดียวกับที่ซิกแน่นแมน (ออกเสียงแบบสุพรรณเลย) กะลังยืน (ที่สุพรรณ ไม่มีคำว่า กำลัง เราพูดว่า กะลัง) ทำท่าปอบหยิบอยู่ใต้ของที่มันกะลังยก ของที่ร่วงลงมาหล่นตุ๊บบนหัว เละคาที่ แบบนี้ เรียกว่า ไลน์ออฟไฟร์




คุณเชื่อไหมว่า ความเสี่ยงแบบนี้แหละที่คนไทย เจ็บ และตายมากที่สุด เพราะอะไรรู้ไหม คำตอบก็คือ.....แต่น แต้น แต๊น.... สันดานครับ
  
มันมีสันดานสองอย่างที่ทำให้ควายเข้าแถวตายกันบ่อยๆก็คือ


ก. สันดานมักง่าย ฮึ่ย...มึงเชื่อกูดิ  ไม่ต้องหรอก เรื่องมาก ไม่ตรวจอุปกรณ์ ไม่ ไม่ ๆๆๆๆ ที่สำคัญ ไม่มีการกั้นพื้นที่
ข. สันดานดื้อ  เขากั้นไว้ ห้ามเข้า กูก็ปีน




สมัยอยู่สิงค์โปร์ จำได้เลยว่า คนงานไทย พอลงจากรถได้ มันกรูกันลอดรั้ว ̣(Barricade) ที่เขากั้นไว้ มีป้ายห้ามด้วย ลอดกันเป็นฝูง ทั้งหัวหน้า ลูกน้อง ลอดกันใหญ่


ไอ้ที่ลอดเข้าไปนั่นน่ะ เป็นพื้นที่ซึ่งเขากั้นไว้สำหรับงานยกด้วยเครน


ผมเริ่มงานวันแรก พอเห็นบั่กห่านี่ลอดกัน ผมก็เป่านกหวีดประจำกาย แหะๆ ผมไม่ใช่ กปปส. ตอนนั้นยังไม่มีเลย พอเป่านกหวีด ปรี๊ดดดดดด  ก็มีเสียงตอบรับเป็นภาษาไทยว่า กรวยยยยยย




ไลน์ออฟไฟร์ เป็นอุบัติเหตุที่ป้องกันได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ก็คือ อย่าให้โดนใคร กันพื้นที่ เวลาเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่มีใครตาย


แต่ในเมืองกะลาแลนด์เนี่ย อุปกรณ์ที่แพงที่สุด คืออะไรรู้ไหม  ป้ายกับรั้วครับ ส่วนใหญ่จะเน้นใช้ ธงราว แบบธงกถินผ้าป่า


ส่วนใหญ่ พวกที่โดนหนีบ โดนกระแทก ก็พวกที่ทำงานนั่นแหละ ประเภท กูต้องยืนใกล้ๆ ถึงจะเท่ห์ เคยเห็นไหม เวลายกของ ไม่ค่อยใช้ แท่กไลน์ (Tag line) กูชอบประคองใกล้ๆ ทำราวกับว่า ถ้าหล่นลงมา กูจะอุ้มไว้


ลองไปดูนะครับ ไอ้ที่โดนของตกใส่ ของกระเด็นใส่ เหวี่ยงใส่ ร้อยทั้งร้อย มันเกิดจากสาเหตุที่เป็น Immediate Cause อยู่สองประการ ก็คือ มีพลังงานที่ปลดปล่อยจากแหล่งพุ่งออกไป และ ข้อสอง ไปขวางทางมัน



ส่วนกรณียิงปืนมั่วซั่ว เพียงเพื่อเฉลิมฉลองว่าเดี๋ยวเถอะมึง กูจะ โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ กันแล้ว ผมว่ามันบ้าครับ


ไปดีกว่า ไปรำหน้านาคแล้ว ได้เวลา เข้าหอ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง












วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Kala Land 4.0



ปกติ บางทีก็ไม่ปรกติ เพราะภาษาไทย เขียนได้ทั้งแบบปกติ และไม่ปรกติ ซึ่งโดยปกติ ผมเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย โดยเฉพาะ การได้ฟัง ได้เห็น ได้อ่าน และดูความเป็นไปเป็นมาในภาพรวม ของประเทศ แต่ตอนนี้ ผมกำลังสับสนกับศัพท์ใหม่ๆ ที่กำลังเป็นเสมือนนโยบายของประเทศกะลาแลนด์เลยทีเดียว นโยบายที่ว่า คือ....แต่น แตน แต้น....กะลาแลนด์ สี่จุดศูนย์

แป่ว....ววววว... มันคืออะไรง่ะ ???


ในยูตูป มีพรีเซนต์เตชั่น ดูแล้วน่าจะจ้างเขาทำมาหลายตังค์อยู่ทีเดียว เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า คุณรู้หรือไม่ว่า ที่กะลาแลนด์ มีรายได้เฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ ปีละ สองแสนสามพันสามร้อยกะอีกหกบาทแน่ะ


เรอะ ???
รายได้ดีนะ แม่ผมขายกล้วยฉาบ วันๆหนึ่ง แกขายได้ไม่กี่ถุง ถุงละไม่กี่บาท แกเลิกทำนามานานมากแล้ว หลังจากขายนาส่งควายเรียนจนจบสามตัว ส่วนน้าๆ อาๆผมที่ยังเหลือ ยังไม่เจ็บ ไม่ป่วยตาย เพราะยาฆ่าแมลง สารเคมี ก็ยังทำนากันต่อไป

ที่กะลาแลนด์ ว่ากันว่า สมัยยังเป็น หนึ่งจุดศูนย์ ชาวไร่ชาวนาทำมาหากินแบบพอมีพอกิน ส่วนใหญ่ไม่พอกิน นี่ดีนะ มีถุงยังชีพแวะเวียนมาแจกเป็นฤดูๆ หน้าแล้ง มีรถมาแจกน้ำ สมัยเด็กๆผมยังเคยเข็นรถที่มีปี๊บไปใส่น้ำที่เขามาแจก สนุกดี เปียกทั้งตัว เย็นดี กว่าจะขโยกขเยกมาถึงบ้าน น้ำเหลือครึ่งปีบ (ที่จริงบ้านผมที่สุพรรณเขาไม่เรียกป้งเรียกปี๊บ เขาเรียก ปีบ ปอ อี บอ หปีบ งง มั๊ย ภาษาบ้าอะไรโคตรสับสนเลย พอใส่หอ อี หี บอ หีบไปข้างหน้า ผิดหลักไวยากรณ์เลย เพราะ ป อี บอ ต้องอ่านว่า หปีบ เหมือนคำว่า ป อา บอ หปาก ) สมันนู้น เราก็อยู่กันแบบ พอมั่ง ไม่พอมั่ง คนสุพรรณไม่ค่อยอพยพทิ้งถิ่น ส่วนถุงยังชีพกันหนาว น้ำท่งน้ำท่วมไม่ค่อยได้กับเขาหรอก เพราะไม่ค่อยหนาว และไม่ค่อยมีแม่น้ำลำคลอง ชลประทาน เขาประทานมาไม่ถึง

พอผมเรียนจบ ก็เข้าไปเป็นแรงงานในระบบ สองจุดศูนย์ คืออยู่โรงงาน เป็นเซฟตี้ไง โรงงานแรก ใช้คนงานเยอะหน่อย สมัยนั้นพวกผู้บริหาร กับผู้ใช้แรงงานมักจะเผชิญหน้ากัน เป็นแบบสหภาพแรงงาน มีการประท้วง ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นเรื่องค่าแรง ในสมัยกะลาแลนด์สองจุดศูนย์เนี่ย ว่ากันตามจริง ที่บ้านผมก็ยังทำนาอยู่เลย จำได้แม่นว่าอาคนรองกินยาตายประท้วงชีวิตไม่พอกิน เพราะสภาพเศรฐกิจในกะลาแลนด์มันแสนจะฝืดเคือง โรงงานในยุคสองจุดศูนย์หนักไปที่ผลิตของกระจอกงอกง่อย สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ครีบดับกลิ่นเต่า น้ำยาล้างจาน กระดาษเช็ดตูด ประเภทนั้น โอ้ย เซฟตี้นะเรอะ ไม่มีหรอก สมัยนั้น คนยังเข้าใจว่าเซฟตี้เป็นยาม ยามเป็นเซฟตี้อยู่เลย

สมัยกะลาแลนด์สามจุดศูนย์ เป็นยุคผลิตอุตสาหกรรมหนัก โรงงานรถยนต์ เหล็ก เคมี แห่กันเข้ามาบ้านเราที่กะลาแลนด์ โอ้ย เซฟตี้เรอะ ยังสองจุดศูนย์อยู่เลย นายจ้างใหญ่ ส่วนมากแค่จะให้ทำตามกฎหมายก็แทบจะฆ่ากันตายอยู่แล้ว จำได้มั๊ย โรงงานตุ๊กตาไฟไหม้ แหมๆๆๆๆ ตื่นเต้น ตาแหก แตกตื่น ออกฎหมายมาเพียบ แล้วไงต่อ

นี่กะลาแลนด์กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุค สี่จุดศูนย์ ด้วยเหตุผลว่า เรากำลังเป็นประเทศที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง MIC 

น้าเขยผมถามลั่น อะไร เหรอไอ้หนู (ทำเสียงเหน่อๆ จะได้อรรถรสมากเลย) Middle Income Country ผมกระแดะใส่ภาษาอังกฤษ

น้าอีกคนถามขัดขึ้นมาเสียงดัง มันเป็นควยอะไรรึ
(ที่บ้านนอก การเติมคำแบบนั้นลงไป ก็คล้ายๆเวลาเราดูหนังฝรั่งซาว์ดแทรก ที่มักจะมีคำว่า Fuck ปนๆอยู่ในบทพูด มันเป็นวัฒนธรรมโบราณที่ไม่หยาบคายควยเคยอะไร (เวลาใช้ เขาใส่สร้อยเข้าไปด้วย จะได้ฟังรื่นหูขึ้น) ผมแปลต่อ ประเทศที่มีรายได้ปานกลาง

ควยยยย คราวนี้ยาวเลย ไม่มีเสียงเหน่อ แถมเน้นหางเสียง

น้าพองนั่งอยู่ด้วย เสริมขึ้นมา อีชิบหายยยย กูจะไม่มีจะแดก มันปานกลางตรงไหน๊   เออ จริงของแก ... ผมยกมือขัด อธิบายต่อ ไอ้ยุคสี่จุดศูนย์นี่ เราต้องใช้นะวัดตากำ (ลิ้นเริ่มคับปาก) ใหม่ๆ คราวนี้ทุกคนเงียบกริบ มองตาล่อกแล่ก

อะไรรึ ไอ้นะวัดตากำ วัดใหม่ที่หลวงพ่อหนุ่มเพิ่งย้ายมาอยู่นะเรอะ เห็นเขาว่าแม่นนักหนา

ขี้เกียจสาธยาย เอารูปกางเกงในให้น้าๆดู ทุกคนครางฮือ
แบบนี้มันดีตรงไหนล่ะไอ้หนู
หน้าตาบ่งบอกความอยากเรียนรู้ เพื่อก้าวไปสู่ กะลาแลนด์สี่จุดศูนย์
ดีสิ เวลาปวดขึ้ ก็แค่ถอดกางเกงนอก
น้าพอเสริมทันที
ขี้ได้เลย ไม้ต้องแก้
น้าคอง ขี้สงสัย แล้วเวลาจะเยี่ยวทำไง
น้านอ ตบกระบาลป๊าบนึง มันจะยากตรงไหน
มึงก็รูดซิบข้างหน้านั่นดิ
คราวนี้ เริ่มเกิดการเผชิญหน้า
ไม่ได้เรื่องแล้ว คงต้องลี้ภัย บรรยากาศ ไม่เอื้อต่อการปรองดอง



เอาเถอะ ไม่ว่ากะลาแลนด์มันจะไปแบบไหน ของจริงๆ เราอยู่กันตรง ศูนย์จุดสองสอง บางทีก็จุดสามแปด หนักหน่อยก็สิบเบ็ดมอมอ เราเองก็รู้ๆกันดีอยู่

ในเมื่อเศรษฐกิจมันแบบนี้ เซฟตี้คงไปไกลกว่า ศูนย์จุดสามคงยาก

เอ้า ดื่มมมมมม  กร่อกๆๆๆๆๆๆ



วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ศาลเอียง


ดัดแปลงมาจากเว็บไซ้ทหนึ่ง

เมื่อวานซืน อ่านข่าวว่า หัวหน้าอัยการแห่งรัฐ ที่อเมริกา ถูกประธานาธิบดีสั่งปลด (ใช้คำว่า Fired ) ถ้าเป็นที่บ้านเรา มันคงไม่แค่สั่งปลด แต่มีความหมายลึกๆว่า ให้อุ้มเอาไปยิงทิ้ง แล้วแก้ผ้าฝัง จะได้ย่อยสลายเร็วๆ
เช้านี้ อ่านข่าว เจอว่า ศาลเมือง อะไรหว่า จำไม่ได้แล้ว มีคำสั่งระงับคำสั่งประธานาธิบดีที่ให้แบน แปลว่าสั่งระงับ ห้าม แต่ถ้าเป็นบ้านกรู แบน อาจจะหมายรวมถึง การทำยังไงก็ได้ ให้มันแบน อาจจะกระทืบ สั่งสอน ผู้เดินทางเข้าอเมริกาที่มีสัญชาติ 7 ชาติที่ทรัมป์ (นี่ถ้าขืนกรูเรียกท่านผู้นำที่กะลาแลนด์แบบนี้ กรูแบนแน่ๆ) สั่งห้ามเข้าประเทศ

ป๊าด นี่มันช่างแตกต่างกับที่บ้านกรูเหลือเกิน ศาลที่บ้านกรูนะ อย่าว่าแต่จะเถียงเลย สบตาท่านผู้นำมันยังไม่กล้าเลย เรื่องจะมาสั่งระงับอะไรทำนองนี้ ฝันไปเถอะ เดี๋ยวนี้ เขามีการพิจารณาทางลับด้วยนะ ศาลที่กะลาแลนด์

ว่ากันตามที่จริง ชื่อนี้ก็เท่้ห์ดีนะ Kala Land ประชาชนในประเทศ ก็เรียกว่า Kalalandise ฟังดูเหมือนพวก กรีก โรมัน

ศาลบ้านกรู เอียงกระเท่เร่ ตอนนี้ ผีตายโหง ผีขโมด ผีสาระพัด เข้ามาอยู่เต็มบ้านไปหมด เจ้าที่นะเรอะ นู่น หนีไปสิงอยู่ที่ต้นมะเขือข้างรั้วนู่น แบบนี้มันน่าขุดเอาไปทิ้งทางสามแพร่งเสียเหลือเกิน


พูดเรื่องศาลพระภูมินี่ มันมีเรื่องน่าคิดนะครับ นั่งอ่านข่าวไป ก็คิดไปเรื่อยเปื่อย ว่ากะลาแลนด์มันจะเป็นยังไงต่อ นึกภาพไม่ออก

ในระบบการบริหารความปลอดภัยเนี่ย (เข้าโหมดเซฟตี้ซะหน่อย) เรามุ่งเน้นที่จะสร้างวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องมีมาตรการต่างๆ ที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า
  • มีโปรแกรม (Programs ) ถ้าเป็นที่กะลาแลนด์ เขาจะชอบพูดกันให้เท่ห์มากขึ้นว่า มีการบูรณาการ (บอกตรงๆ ผมโคตรเอียนกับคำนี้เลย) ที่กะลาแลนด์เนี่ย อุดมสมบูรณ์ไปด้วยมาตรการสาระพัด ที่ไหนในโลกหล้าเขามีอะไร กะลาแลนด์มีทุกอย่าง เผลอๆ ดีกว่าด้วย แต่....
  • มีมาตรฐาน (Standards) คือที่อื่นๆ เวลาเขากำหนดมาตรการ เขาก็ต้องอิงมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ เรามีมาตรฐานเดียว ก็คือ มาตรฐานตาม มอก. (มาตรฐานออกโดยกู) อย่าได้ไปเถียง ไปถามเข้าเชียวนะมึง พวกเอี้ยนี่มันเป็นคนโคตรดี ถ้ามึงขืนสงสัย มึงจะโดนเขวี้ยงด้วยโพเดี้ยม ตายคาที่นะเว้ย
  • การเป็นไปตามนั้น (Compliance) คือ การปฏิบัติตามมาตรการและมาตรฐาน แต่ที่กะลาแลนด์ ข้อนี้ ไม่มี เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องมีการปฏิรูปกันก่อน เพื่อให้เกิดการบูรณาการ และการสอดประสาน การร่วมสังสรรค์ พันธนาการ บรรเจิด เกิดการสังเคราะห์ ตกผลึก ผนึกประสานแนวร่วม รวบรวมความสามัคคี อันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว กันก่อน (เหนื่อยว่ะ)
ผมตั้งคำถามง่ายๆนะ ว่า
มีพนักงานที่โคตรรักษริษัทคนหนึ่ง เห็นกระดาษติดอยู่ที่ลูกกลิ้ง ด้วยความกลัวว่าเซ็นเซอร์ที่จับการเคลื่อนไหวของสายพานลำเลียนจะสั่งหยุด เขาก็เลยกระโดดมุดรั้วเตี้ยๆ เข้าไป แล้วใช้มือหยิบกระดาษชิ้นนั้นออกมา ในจังหวะนั้น ลังบรรจุสินค้าเคลื่อนที่มาชนเขาล้มลง ขาเข้าไปติดกับรางโซ่และถูกบิดจนขาขาด

แบบนี้ ถามว่า นายจ้างมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่  ผมถามไปงั้นแหละ ในวงการเซฟตี้นี่ เรื่องทำนองนี้ มันไม่มีใครพูดถึง มันไกลเกินไป เซฟตี้ที่บ้านกรูนะ เขาพูดกันติดปากว่า   ทำเซฟตี้ 

กรูก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทำ ทำไมไม่พูดว่า ทำให้เซฟลี่ Safely ทำเป็นมั๊ย
อย่าไปถามศาลที่บ้านกูนะ มึงเห็นไหม นั่งแดกไก่ต้มอยู่ริมรั้วนู่น มันไม่ว่างตอบหรอก ศาลเอียง
แต่ถ้าเป็นเมืองโดนัลทรัมป์นะ มึงเอ้ย โดนปรับกันขี้แตกขี้แตนเลยมึง ไม่เชื่อลองเข้าไปอ่านดู การบังคับใช้กฎหมายของ OSHA USA คลิกแล้วเข้าไปอ่านดู จะเห็นว่า เขาปรับกันแต่ละข้อหา เป็นเงินมหาศาล ถ้าเป็นบ้านกรูนะ อย่าให้เซด






สุดแสนจะอัพเซ็ท




ตอนที่ได้ดูการแสดงโชว์จระเข้ ฉากหนึ่งที่เร้าใจมากๆ ก็คงจะอีตอนที่นักแสดง ค่อยๆ เอามือล้วงเข้าไปหยิบแบ้งค์ในปากจระเข้ และยิ่งเสียวมากๆก็อีตอนที่เขาค่อยๆเอาหัวมุดเข้าไปในปากจระเข้แล้วยิ้ม โบกมือให้ท่านผู้ชม

ความเสียวที่ว่า มันบังเกิดขึ้นก็เพราะว่า ไอ้เข้ที่นอนอ้าปากอยู่นั่นมันไม่ใช่ของปลอม ก่อนหน้านั้นมันก็งับไม้ที่นักแสดงใช้เคาะมันจนหักสะบั้นต่อหน้าต่อตา แล้วมันก็ไม่ใช่ไอ้เข้ฟันหลอ มันมีฟันเต็มปาก แค่เพียงว่าไอ้เข้ตัวนี้ เกิดนึกอยากจะหุบปากเพื่อดูดขี้ฟันที่ติดอยู่ ในจังหวะที่มือ หรือหัวของนักแสดงอยู่ในนั้น ผู้ชมนับร้อยก็คงได้เห็นภาพอันน่าสะเทือนขวัญ

แล้วมันเกี่ยวกับหัวข้อที่ตั้งไว้ยังไง มันเกี่ยวสิ ถึงไม่เกี่ยว ก็จะพูดให้เกี่ยวให้จงได้

อัพเซ็ทคอนดิชั่น (Upset Conditions) เติม เอสไปตัวนึง จะได้ หมายความว่า สภาวะใดๆก็ตามที่ผิดปกติ ในแง่ของการบริหารความปลอดภัย เวลามีสภาวะแบบนี้ ถ้าเป็นโรงงานเคมี ก็ยกตัวอย่างเช่น การเกิดอุณหภูมิ ความดัน ในถัง หรือรีแอคเตอร์ผิดปกติ หรือเกิดการล้น การระบายแรงดัน แก็สรั่ว ไฟไหม้ ระเบิดเถิดเทิง แบบนี้แหละ

ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นโรงงานที่ใช้เครื่องโม่ เครื่องปั่น อัพเซ็ทคอนดิชั่นก็อาจจะยกตัวอย่างเช่น การที่มีเศษแร่ เศษวัสดุไปติดค้าง แล้วทำให้เครื่องทำงานขัดข้อง มีสิ่งของไปค้างในสายพานลำเลียง เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอะไรแบบไหน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว มันอัพเซ็ทไปหมด หัวหน้างาน ก็อัพเซ็ท ผู้จัดการก็อัพเซ็ท ผู้อำนวยการ เรื่อยไป จนถึง เมียผู้จัดการ เมียน้อยผู้จัดการ ทุกคนอัพเซ็ทไปหมด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกลเป็นหมื่นๆไมล์ พอรู้ว่าเครื่องหยุด มันอัพเซ็ทกันไปหมด และด้วยเหตุนี้แหละ สภาพจริงๆเวลาเกิดอัพเซ็ทคอนดิชั่นขึ้น ก็จะเห็นพวกกุลี กรรมกร โฟร์แมน หรือแม้แต่หัวหน้ากะ ต่างกระโจน ป่ายปีน พุ่งเข้าใส่ หมายจะแก้ไขสถานการณ์ อย่างไม่คิดชีวิต ย้ำนะ ว่า อย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้เครื่องหมุนอยู่ มันก็จะเอานิ้ว เอามือ เอาสาระพัดอวัยวะแหย่เข้าไปเพื่อเขี่ยเศษที่ติดอยู่นั่นออก ถ้าสารเคมีรั่วอยู่ มันก็จะคว้าอะไรก็ได้ใกล้มือ ถ้าไม่มี หากจะต้องถอดกุงเกงใน เอาไปยัดไว้เพื่อหยุดการรั่วไหลมันก็เอา สภาพแบบนี้แหละ มันไม่ได้ต่างอะไรจาก นักแสดงโชว์จระเข่้ที่พูดถึงมาแต่ต้น ว่า ทำไปเพื่ออะไร ??? บางคนนิ้วขาด มือขาด หรือถูกเครื่องลากเข้าไปบดจนละเอียด บางคนถูกไฟคลอก ระเบิดแหลกเป็นเศษเนื่้อ ถามจริงๆ เพื่ออะไร ??

นั่นคือเรื่องจริงๆ โรงงานในเอเชีย เวลามันถูกออกแบบมา ระบบป้องกันมันก็ไม่ค่อยจะมี ไอ้ที่มีก็เปิดออกง่ายแสนง่าย มุดง่าย ปีนง่าย เมื่อเอามารวมกับกรรมกรที่แสนดี พร้อมพลีชีพเพื่อองค์กร จึงเห็นข่าวสยองแบบนั้นตลอดมา



ในประเทศที่เขาเจริญแล้ว ประชาชนเขาไม่อัพเซ็ทง่ายๆ คือต่อให้เครื่องติดขัด เขาก็ไม่มีทางจะกระโจนเข้าใส่ เอาชีวิตเข้าแลกแบบคนเอเชีย และต่อให้จะพยายามเป็นฮีโร่ แค่เอามือ เอาอวัวะโผล่เข้าไป ระบบก็จะตัดพลังงานอันตรายออกหมด ไม่เจ็บ ไม่เละกันง่ายๆ นอกเสียจากว่า ไปเจอพวกนักลงทุนที่มาจากประเทศนอก ที่รู้จักเอเชียดี มันไม่เอาระบบที่สมบูรณ์มา เพราะมันแพง สู้เอาตังค์มาจ้างฝ่ายกฎหมาย จ้างผู้จัดการที่ด่าเก่งๆ โหดๆดีกว่า เวลาเกิดเหตุ ไอ้พวกนี้จะคอยปกป้อง โยนความผิดให้คนที่เจ็บที่ตาย เพราะกลัวนายอัพเซ็ทว่า มันไม่ทำตามโปรซีดเยอร์

ไงล่ะมึง ถามเหมื่อที่เคยถาม เวลามึงเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อแก้ไขสภาพที่เครื่องจักรที่ออกแบบห่วยแตกมาแต่แรก เพื่อให้มันเดินได้ แล้วมึงเจ็บ มึงตาย เขาดูแลลูกเมียมึงมั๊ยล่ะ อ๋อเรอะ ยังไม่มีเมีย ไอ้ควายยยย

สอนยากสอนเย็น โคตรอัพเซ็ทเลยว่ะ เอ้า... แหย่ๆมันเข้าไป เอ้า หู้ย เล่ หู้ย อ๊ากกกกกก  

ไม่ต้องห่วง ตรุษจีนปีหน้า กูจะเผาระบบอินเตอร์ล็อกไปให้ เอิ้กๆๆๆๆ




วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560

โรค อาไร ง่ะ ไม่เคยได้ยิน

เข้าไปดูในประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง  กําหนดชนิดของโรคซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทํางาน

มันมีโรคระบบหายใจที่เกิดจากการทำงาน ลำดับที่ 6 โรคซิเดโรสิส ก็เลยสงสัยว่ามันคือโรคอะไร ตอนแรกอยากจะเดาไปมั่วๆ เพราะชื่อโรคมันคล้ายซินเดอเรร่า เอะ รึ่ว่าจะเกี่ยวกับแม่เลี้ยงวะ รึไม่ก็ติดมาจากคนแคระ เพราะบางฉบับ เคยนินทาว่าซินเดอเรร่า เสียสาวให้คนแคระทั้งเจ็ด ป๊าด ไปกันใหญ่ มั่วแล้วเรา นั่นมันสโนว์ไวท์นี่หว่า เหอๆๆๆ บัวใต้น้ำจริงๆเลยกรู ฮ่าๆๆๆ เอิ้กๆๆๆ ขำอะไรกัน ทำไม อย่างผม ทำงานเพื่อประเทศชาติมามากมาย พูดผิดไม่ได้รึไง...เดี๋ยวเขวี้ยงด้วยโพเดี้ยม !!!


ไปสืบกันดีกว่า ว่าโรคนี้ คนไทยเป็นได้รึเปล่า แต่ผมว่านะ มีหลายโรคทีเดียว ที่คนไทยเขาไม่เป็นกัน คือ เป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ พอตายก็เผาๆกันไป คงไม่ใช่โรคจากการทำงานหรอก คนไทยเขาไม่เป็นกัน


เหมือนโรคซิลิโคซิส พอผมพูด มีอีบ้า ไอ้บ้าหลายคนออกมาดิ้นพล่าน จะฟ้องร้องผม หาว่าทำให้องค์กรเสื่อมเสียชื่อเสียง อีห่าเอ้ย กูพูดเพื่อให้ความรู้คน มึงเสือกอะไรด้วย มึงไม่อยากเป็นก็เรื่องของมึงดิ กูก็ไม่อยากให้ใครเป็น อะจบไปเรื่องนั้น ประเดี๋ยวแม่งฟ้องกูอีก


มาดูโรคชื่อแปลกนี่กัน เวลาเป็นจะได้ออกเสียงถูก จะได้ไม่อายเขา เวลายมมะบาลถาม มึงเป็นอะไรตาย ก็ออกเสียงให้ถูกๆ ออกเสียงว่า ซิเดอร์ เวลาออกเสียงอาร์ กระดกลิ้น แล้วเอาเสียงอาร์รวมกับเสียงโอ มันจะฟังคล้ายๆฝรั่ง อย่าไปออกเสียงว่า สิเด๋อ  มันฟังคล้ายๆเพื่อนผม ไอ้นี่คนอุดร

sid·er·o·sis

(sid'ĕr-ō'sis),
1. A form of pneumoconiosis due to the presence of iron dust. 
มันเป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งของ นิวโมโคนิโอสิส ที่เกิดจากการมีฝุ่นเหล็ก  เอ๋???? คนไทยไม่มีม๊าง คนไทยไม่เคยทำงานกับฝุ่นเหล็กหรอก ที่บ้านนี้เมืองนี้ เขาไม่ เจียร์ ไม่ขัด ไม่อัด ไม่กระแทก ไม่หลอม ไม่เชื่อมเหล็กหรอก งานกระจอกแบบนี้ คนไทยทำไม่เป็น โอ๊ย อย่าห่วง



เอ้าๆๆๆ มันเป็นปอดบวมแบบหนึ่งจากฝุ่นเหล็กน่ะ โอ่ๆๆๆๆ ไม่มีก็ไม่มี อย่าร้อง (สมัยเด็กๆ เวลาหกกะล้ม แม่จะเอามือตีนู่น ตีนี่แล้วปลอบเราให้หยุด ไม่ได้ผล เราก็แหกปากร้องหนักเข้าไปอีก เพื่อจะขอตังค์กินหนม แม่รู้ทัน ตีป๊าบเข้าที่ตูด คราวนี้หยุดสนิท เด็กฉลาด ชาติเจริญ ตามคำขวัญนายก แหมนี่ถ้านายกไม่ให้คำขวัญ คงไม่ฉลาดขนาดนี้นะเนี่ย)


2. Discoloration of any part by desposition of a pigment containing iron; usually called hemosiderosis.
อาการด่าง หรือเปลี่ยนสีที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ เรียกว่า ฮีโมซิเดอโรสิส

3. An excess of iron in the circulating blood.
การมีเหล็กอยู่มากเกินในกระแสเลือด ไอ้พวกนี้ ไม่รู้เวลาเดินผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ดังติ๊ดๆๆๆๆๆ ของผมเหล็กไม่เยอะ แต่หมอใส่ไว้ ทั้งบนทั้งล่างเลย (ฟันปลอม)

4. Degeneration of the retina, lens, and uvea as a result of the deposition of intraocular iron.
[sidero- + G. -osis, condition]

การเสื่อมของเรติน่า เลนส์ และก็ยูเวียร์

ทีนี้ใครที่อยากรู้ว่าเขาวินิจฉัยโรคพวกนี้กันยังไง ก็ลองเป็นดูนะ ไม่ยากเลย เวลาทำงานกับเหล็กก็ไม่ต้องใส่หน้ากาก สูดฟูมเข้าไป น่านแหละ อึดไว้ อย่าตายซะก่อนล่ะ ไปถามหมอนะว่า มันเป็นแบบไหน

เดาเอานะ เวลาปอดบวมเนี่ย ต้องเปลี่ยนไซส์ยกทรง เพราะปอดมันบวมไง กึ๋ยๆๆๆ

“ไม่เข้าใจแม่งถามได้ไงวะเนี่ย...เอ๊ะมันเกี่ยวตรงไหนวะ”(โรคเครียดจากการไม่ทำงาน)

เมื่อวาน เห็นแว๊บๆในยูทูป (ยู ทิ้ว เบอะ) มีไอ้บ้าคนหนึ่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงตอบคำถามนักข่าว ไม่เห็นหน้า ฟังแต่เสียง ถามนักข่าวว่า “ไม่เข้าใจแม่งถามได้ไงวะเนี่ย...เอ๊ะมันเกี่ยวตรงไหนวะ”

หลังจากนั้นก็ พูดเรื่องบัวใต้น้งใต้น้ำ  ก็น่านนะดิ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกัน ไอ้บ้านี่ (นักข่าวแหละมั๊ง)





เวลาคนมีความเครียดมากๆ มันเพี้ยนกันได้ทุกอาชีพ เป็นข้าราชการ เป็นรัฐมนตรี เป็นนายก เป็นประธานาธิบดี เป็นรองนายก เครียดได้ เพี้ยนได้หมด อยู่ที่ว่า มันจะบ้า หรือเพี้ยนนานเพี้ยนหนักกว่ากันแค่ไหน

ประเทศไทยป่วยหนัก เข้าขั้นวิกฤติ นี่เห็นข่าวข้าราชการระดับสูง ฉกภาพวาด ถูกดำเนินคดี เห็นข่าวคนออกกำลังกายตามนโยบายวันพรุดตาย เห็นข่าวการบินเทย (ออกเสียงแบบเทพเทือก) ว่าจะฟ้องโรลสรอยด์ข้อหาว่า ออกมาสารภาพว่าติดสินบน น่าน กรูจะบ้าไปกะมึง บ้านกูป่วยหนักมากจริงๆ เห็นข่าวคนที่นั่งรถไฟไปสวนอะไรสักอย่างที่ประจวบถูกศาลสั่งจำคุก ข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคณะปฎิวัติ นี่บ้าหนักเลย (คนนั่งรถไฟน่ะ) เขาสั่งห้ามก็ยังบ้าจะฝ่าฝืน ไอ้พวกบ้ามันสั่ง ก็ไม่รู้จักทำตาม ล่าสุด ข่าวคราฟท์เบียร์ อีกหน่อย พวกไข่ลวก ไข่ต้ม ผัดกะเพรา ที่เขาขายในร้านโคตรสะดวกซื้อ คนไทยคงทำกินเองไม่ได้ เพราะผิดกฎหมา(ย)

แล้วก็นะ  พวกนักข่าวนี่ก็เหลือเกิน ยิงคำถามบ้าๆบอๆ คนเขาไม่ชอบให้ถามก็ถามอยู่นั่น ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ คนมันเครียด อย่าไปปลุกเร้ามาก เกิดตลั่ง เส้นเลือดแตกขึ้นมาจะทำยังไง บ้านเมื่องจะไร้ผู้นำไม่ได้นะ ดูอย่างอเมริกาสิ ขนาดเข้าสาบานตนได้แค่ไม่กี่วัน อาการเริ่มออก ส่วนไอ้บ้าที่บ้านผม มันบ้ามาตั้งแต่สมัยสั่งห้ามผัดกระเพราะนู่นแล้ว ไอ้นั่นรักษาไม่ได้แล้ว เฮ่อๆๆ เพื่อนผมมันเกลียดกลิ่นกระเพรา มันบอกทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง เลยไม่กิน

ภาพจากไทยรัฐ


โรคจากความเครียดเนี่ย เบิกได้นะ ตามกฎกระทรวงเรื่องโรคจากการทำงาน แต่ไม่แน่ใจนะว่าไอ้บ้าที่ออกทีวี มันเครียดจากการทำงานรึเปล่า อาจจะเครียดจากต่อมลูกหมากโต หรือไม่ก็ระดับฮอร์โมน เทสทอสเตอโรน ต่ำ ก็เป็นไปได้ มันเป็นไปได้หมดแหละ

ในฐานะนักความปลอดภัย อาชีวอนามัย นั่งดูข่าว ทางยูทิวเบอะ ก็พลอยเครียดตามไปด้วย เออนะ ประเทศกู ป่วยมากจริงๆ  ไปดีก่า อย่าถามคนบ้า อย่าว่าคนเมาเบียร์คราฟท์ มันผิดกฎหมาย เข้าใจป่าว อ่ะ ไม่เข้าใจ งั้นก็พวกบัวใต้น้ำล่ะดิ ในสังคมไทย มีทั้งคนดีและคนไม่ดี พวกคนไม่ดี นี่เป็นบัวใต้น้ำ ส่วนพวกคนดีที่รับสินบนโรลสรอยด์นั่น เขาไม่ได้เจตนา แต่เพราะมีคนไม่ดีมาเสนอติดสินบน ก็เลยพลอยติดร่างแหไปเท่านั้น เหอะๆๆๆ เหอๆๆๆๆ ไอ้บ้า พูดไปได้ ไม่เข้าใจ บ้าจริงหรือเมายากันยุง





วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

แบ้งค์กงเต็ก กับเพอร์มิททูเวิร์ค





โดนัลทัมป์คงใจแทบขาดถ้ามาเห็นบ้านเราเผาแบ้งค์ดอลลาร์เป็นปึกๆ

ให้มันรู้ซะมั่งว่าประเทศไหนมั่งคั่งที่สุด เมื่อวานนี้ ไอเผาไปสามเข่งใหญ่ๆ ส่งไปให้ ก๋ง เตี่ย (วันนี้อยากเป็นลูกจีนกะเขามั่ง ปกติไม่ได้เรียกเตี่ย) แบ้งค์กงเต็กดอลลาร์ที่เผาส่งไปเมื่อวานทำให้ผมกังวลจนนอนไม่หลับ หลังจากกลับถึงบ้านแล้ว ก็ค่อยมานึกได้ว่า ตายห่าละสิ เตี่ยกูจะไปแลกที่ไหนละเนี่ย เอาไว้ปีหน้าดอลลาร์อ่อน บาทแข็งกว่านี้ ผมจะเผาเงินไทยไปให้ละกัน

การเผาแบ้งค์ เผารถ เผานาฬิกา เสื้อผ้าแบรนด์เนม ส่งไปให้ผู้ล่วงลับ มันเป็นพิธีกรรม ที่ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม เห็นคนอื่นเผา ก็เผากับเขามั่ง นี่ถ้าไอ้ข้างบ้านมันเผาบีเอ็ม เผาเบ้นซ์ หรือเผาบ้านมันจริงๆ ผมก็ยังไม่รู้เลย ว่าจะเผามาสด้าเก่าๆ ส่งไปให้เตี่ยมั่ง มันจะสมหน้าตาและฐานะกระจอกๆกะเขามั๊ย

เอาเป็นว่า พิธีกรรมพวกนี้ เขาทำๆตามๆกันมา เรื่องเซฟตี้ก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้คนไทย เห่อใส่เสื่้อสะท้อนแสงสีเขียว ใส่หมวก ในพิธีเปิดป้าย เปิดงาน ปล่อยขบวนรถ สาระพัด ประมาณว่า เรานี่โคตรจะให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยเรย
ไอ้เรื่องพิธีกรรมนี่ ถนัดกันนัก แต่ไอ้เรื่องที่มีความจำเป็นและสำคัญ ไม่ชอบ อย่างเรื่อง Permit To Work คนเอเชีย เกือบทุกชาติ ไม่เฉพาะในกะลาแลนด์ เป็นแบบเดียวกันหมด ไม่ชอบ ไม่ทำ แถมบ่นอีกว่า เสียเวลา ขั้นตอนเยอะ เอกสารมากมาย ทำไมต้องมีฟอร์มนั้น ฟอร์มนี้ บางแห่งฉลาดหนักมาก มีฟอร์มเดียว หน้าเดียว ใช้ได้ทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นงานขี้หมูราขี้หมาแห้ง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่เสียเวลา
ไอ้ความคิดที่ว่า ต้องทำเซฟตี้ มันมีอยู่แถวๆในประเทศแถบเอเชียนี่แหละ จะเชื่อมจะตัดทีต้องตรวจนู่นตรวจนี่ โคตรจะเสียเวลาเลย นี่ถ้ามีงานที่สูงด้วยนะ โอยต้องมีแบบฟอร์มทำงานบนที่สูง ต้องนู่นนี่นั่น เสียเวลาจริงๆเลย

พอถามเข้าว่า ไอ้ที่มึงว่าเสียเวลาเนี่ย เวลาของใคร  เวลามึงหรือเวลานายจ้าง เคยเห็นไหม หมาหงุดหงิด โดนเหาแดก คันยิกๆ เกาไปครางไป แหมเซฟตี้แม่งเรื่องมาก หงิงๆ กฎเกณฑ์เยอะ สร้างแต่ความกลัว กดขี่ชีวิตกูจัง หงิงๆๆๆ

ในระบบ Permit To Work เนี่ย มันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อนเลย มันเป็นระบบที่โคตรจะมีประสิทธิภาพต่ำที่สุดด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับมาตรการอื่นๆ เช่นมีระบบตัดแก็สอัตโนมัติ ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ ระบบขึงตาข่ายรองรับคนตก หรือปีกแบบพกพาได้ เวลาตกก็มีเซ็นเซอร์ กางพรึบ ต่อให้หล่นยากยอดตึกใบหยก มันก็ไม่ตาย แต่คำถามก็คือ มึงมีของแบบนั้นมั๊ยล่ะ ไอ้ขี้เกลือ
ในระบบ Permit To Work มันจึงเป็นระบบที่อาศัยกระดาษมาเป็นเครื่อง เป็นข้อตกลงว่า เอาละนะ ถ้ามึงทำตามนี้ หนึ่งสองสามสี่ห้า กูจะอนุญาต แล้วไอ้คนอนุญาตก็เซ็นฉึกลงไป ส่วนไอ้คนรับใบอนุญาต ก็รับว่าข้าพเจ้าจะทำตามที่กำหนดนั้น เซ็นฉับลงไป ถ้าผิดไปจากเงื่อนไขก็สั่งระงับยับยั้ง
ถ้าไปเจอเอาไอ้พวกเผาแบ้งกงเต็ก สักแต่ว่าเซ็นๆกันไป แล้วมันจะเป็นยังไง

เซฟตี้เนี่ย ว่ากันไปแล้ว มันไม่ต้องมีกฎนู่นนี่ ให้ไอ้พวกโลกสวยมานั่งกระแนะกระแหนว่า กฎเซฟตี้ มีไว้เพื่อสร้างบรรยากาศมาคุ สร้างความหวดกลัว ทำไมไม่ใช้วิธีละมุนละม่อม ทำไมการละเมิดกฎอย่าง Lock Out Tag Out กฎอย่าง Permit To Work จะต้องซีเรียส ทำไมไม่ให้โอกาส 

ก็เอาดิ ให้โอกาสก็ได้ เราอนุญาตให้โรงงานเราระเบิดได้ไม่เกินปีละสามครั้ง อนุญาตให้พวกมึงเอามือยัดเข้าโรลเลอร์ได้ห้าครั้ง แขนขาดได้ไม่เกินสี่คน เอาแบบนั้นไหมล่ะ

กฎพวกนี้ ที่เขาเรียกว่า โกลเด้นรูล ที่เอาไปผูกกับงานอันตรายอย่าง Permit To Work เป็นส่วนใหญ่ก็เพราะเขากลัวไอ้พวกเผาแบ้งค์กงเต็กนี่แหละ พวกที่สักแต่ว่าเซ็นๆไป ถวายเจ้า (นาย)

เซฟตี้ ไม่ต้องมีกฎอะไรมากมายหรอก ว่ากันตามจริงๆ ธรรมชาติของเซฟตี้ ถ้าไม่เซฟ มึงก็เจ็บ ก็ตาย (เวลาโน๊สอุดมพูดมึงๆกูๆ แหม มันน่ารักจัง) มึงไม่ต้องมาเถียง ว่าทำไมไม่ใช้วิธีการอบรม การชักชวน การโน้มน้าว นี่ กูจะบอกให้นะ ความเสี่ยงที่เกี่ยวโยงกับการที่ไอ้พวกเผาแบ้งกงเต็ก เซ็น Permit ซี้ซั็วมันสูง มันตาย เวลาตาย ไม่ได้ตายคนเดียว มึงเข้าใจยัง

แต่ก็อีกนั่นแหละ คนไม่เข้าใจ ยังไงก็ไม่เข้าใจ พูดเรื่องนี้ซ้ำๆซากๆ คนมันไม่เห็นด้วยมันรำคาญ เหมือนเสียงชักโครกจากห้องข้างบน เวลานอนโรงแรม แหมมันโคตรจะหนวกหู

แต่เสียงชักโครก จากห้องที่มึงยืนรอ ปวดขี้จนแทบราด เสียงชักโครก ครืดๆๆๆๆปรี๊ดๆๆๆๆ ตามมาด้วยเสียงขยับนุ่งกางเกงของไอ้คนข้างใน มันยิ่งกว่าเสียงสวรรค์เลยนะมึง ไม่เชื่อลองคิดดู สักวันมึงจะคิดถึงคำพูดกู









ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...