วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ระยะ (ไม่รู้จักคิด)

 


ระยะ (ไม่รู้จักคิด)

ผมเคยแนะนำเพื่อนฝูงไว้ว่า การขับรถในประเทศนี้ ประเทศที่มีอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับสองของโลก ประเทศที่ทำสถิติอุบัติเหตุทางถนนอันดับหนึ่งในเอเชีย นอกจากจะต้องพกพาใบอนุญาตขับขี่ แล้ว สิ่งที่ต้องมี ขาดไม่ได้เลย ก็คือ บัตรโรงพยาบาลบ้า สักใบ เอาให้ชัวร์ก็สักสองสามใบ ซองยา ที่มียาแก้บ้าเหลืออยู่สักเม็ดสองเม็ด เอะอะจวนตัว ควบเฟอรารี่ ควบพอร์ช ควบนิสสัน ควบฟอร์จูเนอร์ ไปเหยียบใครตายเข้า ก็ต้องทำท่าชักแง่กๆๆๆๆ เอาให้เนียนก็แบบน้ำลายฟูมปาก ขี้เยี่ยวแตกราดกางเกง แบบนี้รอด แต่ล่าสุดที่ไปได้ยินมาจากเซียนหวยแถวบ้าน เดี๋ยวนี้ของขลังที่ทุกคนต้องหามาติดรถก็คือ เครื่องดื่มยี่ห้อควายแดง (ไม่รู้จริงๆว่า ควายป่า วัวป่า กระทิงเปลี่ยว มันเป็นตัวเดียวกันรึเปล่า) ผมชอบอ่านเรื่อง เพชรพระอุมา เลยเขียนคดีหมาดำไว้ด้วย คลิกอ่านต่อได้ถ้าอยากหาเรื่อง

สูตรคำนวณความเร็ว (Velocity) สมัยที่เรียนฟิสิกส์ ที่ไหนๆ ก็คือ V = S คือระยะทางที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ไป หารด้วย t คือเวลาที่ใช้ไปในการเคลื่อนที่

V = S/t

ข่าวครึกโครมเมื่อสองสามวัน ว่าคดีรถเฟอรรารี่ชนแล้วลากตำรวจไปสองร้อยเมตร จากนั้นขับหนีเข้าบ้าน จากนั้น...ผ่านไปแปดปี อัยการสั่งไม่ฟ้อง และหนึ่งในหลักฐานใหม่คือ มีท่านผู้เชี่ยวชาญ สาขาอะไรสักอย่าง ตามข่าวว่าเป็นหนึ่งเดียวในประเทศ ทำการคำนวณใหม่ พบว่า รถเฟอรารี่คันนั้น ขับด้วยความเร็วต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ซึ่งไม่ถือเป็นการขับรถเกินความเร็วที่กฏหมายกำหนด โอว!!! พระเจ้า !!!! อีมาสด้าแก่ๆของผมเนี่ย แตะนิดแตะหน่อยก็ขึ้นร้อย ร้อยสิบร้อยยี่แล้ว นี่โดนใบสั่งไปสี่ใบแล้วครับ 

นี่ยังไม่รวมข้อกล่าวหา ขับรถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น ตามมาตร 9 พรบ. จราจรทางบก 2562 ด้วยเหตุผลพิสดารว่าตอนขับไม่ได้เมา อาจจะเมาหลังขับ แหมๆๆๆๆ ไหนผลตรวจเลือดพบสารอนุมูลโคเคน ป๊าด คำชี้แจงว่าน่าจะเกิดจากยารักษาฟัน

ตายห่าละซี!! ยาสีฟันสูตรโบราณที่ใช้อยู่อาจจะมีฝิ่น กระท่อมเข้าสูตร เอาละเว้ย!!! ปล่อยให้เขาเถียงกันไป ใครแพ้ก็หน้าแหกไปเอง งานนี้ ทั้งตำรวจ อัยการ กระเตงกันไป ตั้งคณะทำงานมาไม่รู้กี่ชุด รอดูว่าจะลงเอยยังไง

การที่รถสักคันวิ่งไปแล้วจะหยุดทันหรือไม่ทัน ก่อนที่จะเกิดการเฉี่ยวชน มันก็มีสูตรคำนวณ


เปลี่ยนโหมดเป็นซีเรียสแล้วนะครับ ทำหน้าซีเรียสเหมือนนายตำรวจที่ออกมาแถลงข่าวว่า เอ่อ ผมไม่ค่อยมีความรู้ด้านกฏหมาย โธ่ ไอ้กระทิง !!สูตรนี้คือ

มีวิธีคำนวนหยาบๆ ซึ่งผมไม่แนะนำ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าใช้ไม่ได้

ระยะหยุด S- (Stopping Distance) = ระยะคิดและตอบสนอง (Perception-Reaction Distance) + ระยะเบรก (Braking Distance) 

สูตรคำนวณของ ASSHTO - American Association of State Highway and Transportation Official

S = (0.278 *t *V)+(V)2 ÷(V)2÷(254 *(f+G))

 ไปอ่านข้างล่างก่อนแล้วค่อยมาดูการแทนค่า

S = (0.278 * 0.75 *79)+(79)2 ÷(79)2÷(254 *(0.7+30))

S= 16.47 +0.8 = 17.2703334 เมตร

 

เอาคดีเฟอรรารี่นี่ก็แล้วกัน  คดีนี้ชนกระจาย ตำรวจ อัยการ นายก สอวอ สอ นอ ชอ สอ สอ คอ รอ มอ เทคโน ลอ กอ บอ  กระจายเกลื่อน ให้ได้อายกันไปถ้วนหน้า ชนยับเยิน ชนกระเด็นกระดอน ชนจนหน้ารถยุบเป็นรูปท้ายมอเตอร์ไซค์ กระจกหน้ายุบ แบบนี้ เซียนอย่างผมบอกได้เลย

ระยะหยุด (Stopping Distance) ไม่พอ  ผมไปค้นมาว่ารถสูตรหนึ่ง แบบซีอิ้วขวดเขียวเนี่ย รถอะไร มีระยะหยุดเจ๋งที่สุด เฟอรารี่ 488 GTB มีระยะหยุดที่ผ่านการทดสอบในสนามอยู่ที่ 39.6 เมตร เมื่อรถคันนั้นวิ่งด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง แปลงหน่วยเป็นกิโลเมตรก็อยู่ที่ 112.654 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง  ถือว่าเป็นระยะหยุดชนิดสั่งได้ สมราคาจริงๆ ถ้าเป็นอีแก่ของผม ความเร็วขนาดนั้น ใครมายืนขวาง ในระยะ 39 เมตร อย่างตำรวจจราจร มียืนโบกกระทันหัน รับประกันได้ กระจาย!!! แบบว่า พอลงจากรถไปจะเอาใบสั่ง อ้าว จ่าหายไปไหนว๊ะ เห็นแว่บๆ

ถ้าค่ำคืนนั้น จ่าเขาขับรถอยู่ไกลๆ และน้องเขาขับมาช้าๆ อย่างที่กูรูผู้นั้นเขาคำนวณมา ว่าน้องเขาขับมาแค่ V= 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคืนนั้น น้องเขาตาใสแจ๋ว ไม่ง่วง ไม่คึก ไม่ดีด ไม่ตัดสินใจช้ากว่ามนุษย์ขี้เหม็นทั่วไป เวลาเห็นอะไรตัดหน้า สมองสั่งตีน ตีนกระทืบเบรก ระยะนี้คนที่ประสาทเฉียบคมประมาณ 0.75 วินาที คนทั่วไปราวๆ t= 1 วินาที หลังจากเหยียบเบรก ระบบเบรกทำงาน ห้ามล้อกึก รถจะยังไถลไปต่อได้อีก ขึ้นกับความเร็วรถก่อนเบรก ขึ้นกับสภาพยาง แรงเสียดทานกับถนน สถาพถนนแห้งหรือเปียก เคสนี้ถนนแห้งแกร่ก และขึ้นกับสภาพถนนว่าลาดเอียงหรือไม่ รวมๆแล้วรถจะพุ่งไปอีกระยะหนึ่งก่อนหยุดสนิท

กรณีนี้ ความเร็วรถ V =ประมาณ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กูรูเขาคำนวณและตามที่อัยการยกคำสั่งไม่ฟ้อง ถนนแห้งรึเปล่า เหตุเกิดเวลาตีห้า กทม.อาจจะขยันรถน้ำต้นไม้มั้ง เอาๆๆๆ ถนนเป็นยางมะตอย ค่าความเสียดทานคงประมาณ 0.7 ถ้าจะช่วยผู้ต้องหาก็เอาใส่ไปน้อยๆ ถนนไม่ลาดเอียง หรือถ้าจะช่วยๆกันก็ใส่ไป 30 องศา   

จากที่ได้คำนวณมาตามสูตรของแอชโต (ASSHTO) แปลความโดยแอชโชล (ชื่อเหมือนลูกครึ่งเกาหลีเหนือกับอเมริกัน) ก็แปลได้ว่า

ถ้าน้องเค้า (เดี๋ยวนี้ตัวอะไรๆพอขึ้นเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นพะยูน หมาขี้เรื้อน หอยทาก คนในโลกออนไลน์ก็จะเรียกว่าน้องเก๊า) ขับรถด้วยความเร็วแค่ 79 กิโลเมตรต่อชั่งโมง บนนถนนสุขุมวิท ถนนแห้งแกรก รถของน้องเก๊า ยางใหม่เอี่ยม ถนนตรงนั้นมีความลาดเอียงตามสำนวนของจ่าฉุนที่ไปดูที่เกิดเหตุ หลังจากห่อศพเพื่อนของตัวเองเสร็จก็ลงบันทึกไปว่า ความลาดเอียง 30 องศา แหมกะจะลงเยอะกว่านี้ก็อาย ) สรุปแบบเมาๆเลยละกัน

รถคันนี้จะหยุดได้ในระยะ 17.2703334 เมตร ก่อนการชน พูดง่ายๆคือ ยังไงก็ไม่ชน ถ้าจ่าเขาไม่คิดสั้น ไม่จงใจขับตัดหน้าน้องเก๊า ยังไงน้องก็ต้องเบรกทัน  สำนวนที่วิเคราะห์โดย มิสเตอร์แอสโชล์ มันน่าจะไม่ฟ้องให้น้องเก๊าตกใจหนีไปอยู่เมืองนอกเสียตั้งนาน และที่สำคัญ คนที่ต้องเอาตังค์ 300 ล้านไปจ่าย น่าจะเป็นพี่จ่าเขานะแหละ

เพราะฉะนั้น ยกฟ้องไปเหอะ

ถ้าไม่อายกันมั่ง 

อยากจะฝากไว้ว่า รู้จักระยะหยุด ต้องหัดคิด คิดเป็นแล้วตัดสินใจเบรกซะ อย่าลากไปเรื่อยๆ มันจะตายกันหมดเลยนะหมู่


วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เป่าสาก



บังเอิญ เปิดไปเจอกระทู้ในหน้าเพจของกรมนี้เข้า เห็นคำถามที่เจ้าของกระทู้เค้าถามแล้วน่าสนใน และคิดว่าบรรดา จป.อีกไม่น้อยที่น่าจะมีคำถามคล้ายๆกัน  บางทีคำถามไม่มีคำตอบ เงียบเหมือนเป่าสาก 
เวลาเป่าสากเนี่ย มันไม่เงียบสนิท มันจะมีเสียง พรูด แพรด เสียงลมเล็ดออกมา แต่มันฟังไม่รู้เรื่อง  



หนูเป็น จป.วิชาชีพในโรงงานค่ะ พอดีมีเรื่องอุบัติเหตุในงานมาปรึกษาค่ะข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับขั้นตอนรายงานอุบัติเหตุของบริษัท


  1. เวลากะกลางวัน/วันทำงานปกติ ถ้าเกิดเหตุขึ้น จป จะไปดูอาการร่วมกับหัวหน้างาน พิจารณาว่าต้องส่งโรงพยาบาลหรือไม่ ถ้าต้องส่งโรงพยาบาล จป.จะเป็นคนไปส่งเอง
  1. กะกลางคืนหรือทำงานนอกวันเวลาปกติ (จป หรือพนักงานระดับสตาฟ ไม่ได้มาทำงาน) หัวหน้างานจะเป็นคนพาพนักงานๆ รักษาที่โรงพยาบาล
  1. ตอนนี้ บริษัทมีตู้เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้อยู่ในไลน์ผลิต เพื่อให้พนักงานหยิบใช้งานได้ทันท่วงที และมีเอกสารให้บันทึกการใช้ยาติดอยู่ที่ตู้ยานั้น ไว้ให้สำหรับกะดึกเขียน (หรือกะกลางวันบางคนไม่เดินมาแจ้ง แต่เราก็มีให้เขียนไว้บ้างก็ยังดี) (ส่วนยารับประทานที่ไม่ใช่สำหรับเหตุฉุกเฉิน จป.เป็นคนจ่ายยาให้อยู่ในออฟฟิศ (ไม่มีพยาบาล)) 


ปัญหาคือ
1.1 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย แล้วพนักงานมาทำแผลเองที่ตู้ยา โดยไม่แจ้งหัวหน้างาน , ไม่แจ้งจป. และไม่ลงบันทึกในเอกสาร สรุปว่าไม่หลักฐานยืนยันการเกิดอุบัติเหตุในงานเลย
กรณีนี้ จะมีบางเคสที่ไปแสดงอาการอักเสบ/รุนแรงหลังเลิกงาน (เช่น ฝุ่นเข้าตา มาล้างตาที่ตู้ยา กลับไปทำง่นต่อ (แต่ไม่บันทึก) แล้วไปตาแดงอักเสบหลังกเลิกงาน , งานบาดมือ มาทำแผลแต่ไม่บันทึก แล้วไปอักเสบ บวมแดงหลังเลิกงาน) พนักงานจึงไปพบแพทย์เอง และแพทย์สอบถามแล้วทราบว่าเกิดจากการทำงาน 
• บางโรงพยาบาลจะรับเข้ากองทุนเงินทดแทนเลย โดยให้พนักงานนำใบเสร็จและ กท16 มามอบให้บริษัทฯ ภายหลัง 
- กรณีนี้ ทางบริษัทสามารถปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาได้ไหมคะ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเกิดในเวลางาน (คำถาม 1)
- แล้วถ้าบริษัท ไม่จ่ายค่ารักษาให้ แล้วใครจะเป็นคนจ่าย (โรงพยาบาลออกใบ กท16 มาให้แล้ว) แบบนี้ต้องเคลียร์อย่างไรคะ (คำถาม 2)
- ถ้าบริษัทต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาให้ แต่บริษัทให้ใบเตือนพนักงานเนื่องจากไม่ดำเนินการตามขั้นตอนการรายงานอุบัติเหตุ ได้หรือไม่ (คำถาม 3)
- กรณีนี้บริษัทแก้ไขโดยการแจ้งไปทางโรงพยาบาล ถ้ามีพนักงานของบริษัทนี้ ไปใช้สิทธิ์กองทุนเอง ให้โรงพยาบาลโทรมาแจ้งบริษัทก่อนได้ไหมคะ (กรณีนี้ควบคุมยาก เพราะโรงพยาบาลมีคนไข้มากมาย รวมทั้งโรงงานก็มีจำนวนมาก โรงพยาบาลคงจะจำไม่ได้ว่าโรงงานไหน กำหนดอย่างไร) (คำถาม 4)
• บางโรงพยาบาลจะปฏิเสธการรักษา โดยให้พนักงานนำหลักฐานจากบริษัทมายืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุจากงานจริงๆ ทางโรงพยาบาลถึงจะยอมรับการรักษา
- กรณีนี้คือ พนักงานไม่มีหลักฐานอุบัติเหตุในงาน แต่ไปรักษาเอง ใช้สิทธิ์กองทุนฯ บริษัทสามารถปฏิเสธการออกเอกสารยืนยัน (ใบส่งตัวรักษา, รายงานอุบัติเหตุในงาน) ได้หรือไม่คะ (คำถาม 5)
- ถ้าบริษัทไม่จ่ายค่ารักษาให้ แล้วแจ้งให้พนักงานรักษาโดยใช้สิทธ์ประกันสังคมได้หรือไม่ (คำถาม 6) (บางครั้งเขาเกิดจากในงานจริงๆ แต่บริษัทก็ไม่ได้รู้ว่าจริงทุกครั้งไป)
- ทางบริษัทยืนยันกลับไปทางโรงพยาบาลว่า พนักงานไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่โรงพยาบาลเห็นว่าพนักงานแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุในงาน รวมทั้งออกเอกสาร กท16 ให้เรียบร้อย กรณีนี้จะสรุป/เคลียร์เป็นเช่นไรคะ (คำถาม 7)

ต้องเรียนทาง กรมสวัสดิฯ นะคะว่าทางบริษัทฯ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่รับผิดชอบพนักงาน บริษัทได้แจ้งขั้นตอนการายงานอุบัติเหตุไป รวมถึงขั้นตอนการเบิกอุปกรณ์ การลงบันทึกให้กับพนักงานทราบแล้ว วัตถุประสงค์คือ 
1. เพื่อจะได้ทราบสาเหตุ/ความถี่/ลักษณะการเกิดอุบัติ แล้วจะได้นำมาปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน 
2. ควบคุมการใช้ยา เพราะตู้ยาที่เก็บในไลน์ บริษัทต้องการให้พนักงานใช้งานในเหตุฉุกเฉินเท่านั้น เวลาที่เกิดเหตุจริงๆ จะได้หยิบใช้ได้ทันท่วงที แต่พนักงานบางคนชอบแอบเก็บไปใช้ที่บ้าน หรือเอาไปใช้ผิดวัตุประสงค์ 
ขั้นตอนที่บริษัทกำหนดนี้ พนักงานจะชอบด่าบริษัทว่า งก บริษัทเห็นแก่ตัว ซึ่งจริงๆ แล้วโรงงาน ไม่ใช่โรงพยาบาลที่จะรักษาพนักงานหมดทุกอย่างทุกโรค บริษัทมียารักษาโรคให้ตามอาการ เพื่อให้เบาเทาอาการป่วยให้ทำงานได้ด้วยความปลอดภัย ไม่ใช่รักษาให้จนหมดโรคหมดภัย บริษัทไม่มีพยาบาลมาจ่ายยาให้ คนจ่ายยาเป็น จป ไม่ได้มีความรู้เรื่องยารักษาโรคอะไรมากมาย เพราะเรียนมาแค่พื้นฐาน พนักงานก็เบิกใช้ยาจำนวนมาก และยาบางตัวก็เป็นยาอันตราย จป.ก็ไม่อยากจ่ายมั่วๆ หรือจ่ายตามใจคนใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายทั้งแก่คนใช้และคนจ่ายยาได้ 
คำตอบที่ได้รับจากท่าน เราจะได้นำไปแจ้งเตือนพนักงานที่ชอบทำผิดขั้นตอนเพื่อจะได้ทำให้เขาให้ความร่วมมือค่ะ เช่น 
- ถ้าไม่มีหลักฐานรายงานอุบัติเหตุ โรงงานจะไม่จ่ายค่ารักษาให้ 
- หรือโรงงานจะออกใบเตือน ถ้าไปใช้สิทธิ์กองทุนฯ โดยพละการ
ขอบพระคุณค่ะ
อ่านกระทู้จากต้นฉบับ



คำตอบคือ!!!!

กระทู้คำถามที่ถามมานี้เป็นเรื่องของความปลอดภัยในการทำงานรบกวนถามเข้าไปในส่วนของความปลอดภัยฯ จะได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่เฉพาะ เนื่องจากส่วนนี้เป็นส่วนของคุ้มครองแรงงานจะเชี่ยวชาญไม่เท่าสำนักความปลอดภัยแรงงาน หรือจะโทร.สอบถามโดยตรงก็ได้ที่ 0 2448 9128-39

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

N95 เดอะเบสจริงหรือ


หน้ากาก N95 ขาดตลาด ผู้คนแตกตื่นกลัวตายกันยกใหญ่

ผมนั่งดูปรากฏการณ์ความแตกตื่นของผู้คนในสังคมมาสักพักใหญ่ พร้อมๆไปกับการดูปรากฏการณ์ของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางสื่อ โดยหน่วยงานของรัฐ และข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อโลกออนไลน์ ชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดดีหรือจะนิ่งเสียตำลึงทอง ใจหนึ่งก็คิดว่ายุคสมัยนี้ ใครๆก็สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้พอๆกัน ใจหนึ่งก็คิดว่า เราก็ร่ำเรียนมาในสายวิชาชีพ อาชีวอนามัย และความปลอดภัย เรียนสุขศาสตร์อุตสาหกรรม เรียน พิษวิทยา เรียนอะไรต่อมิอะไรมา จะพูดดีมั๊ยว๊า

PM 2.5 คืออะไร

ถึงตอนนี้ ใครรู้บ้างว่ามันคืออะไร --- ตอนที่มีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มกรีนพีซออกมาให้ข่าว เมื่อราวๆ กลางๆปีที่แล้ว ตอนนั้นไม่มีใครสนใจอะไร นักข่าวก็เรียกมันว่า สาร พีเอ็ม 2.5 แหมทำเอากรูละงง สารอะไรวะ แถมโหมกระพือซะว่ามันอันตรายอย่างโน้นอย่างนี้ สูดเข้าไปถึงตายทีเดียว แต่จนแล้วจนรอด ไม่มีใครสนใจอะไร



มลพิษในอากาศที่เราสูดดมกันเข้าไปในแต่ละวัน มันมีอยู่หลายแบบ ได้แก่

  • ฝุ่น (Dust) ซึ่งก็คือ อนุภาคของของแข็ง ที่เกิดจากการบด การขัด การตัดการกระแทก ฟุ้งกระจายไปในอากาศ ฝุ่นบางอย่างก็ใหญ่มาก จนศาลรัฐธรรมนูญ ไอ้คนหัวล้านๆบอกว่า ให้รัฐบาลยุติโครงการรถไฟความเร็วสูงไปกำจัดถนนลูกรังในประเทศนี้ให้หมดเสียก่อน ฝุ่นซิลิกา ฝุ่นแอสเบสทอส ฝุ่นที่นักศึกษาจบใหม่ต้องฝึกเตะกันไว้ ก่อนจะได้งาน
  • ละออง (Mist) ซึ่งก็คือ อนุภาคของของเหลว   ที่เกิดจากการฉีดอัดมันผ่านหัวฉีดเล็กๆ เช่นสีสเปรย์ ยาฉีดยุง น้ำหอม ลอยฟุ้งไปในอากาศ หรือเวลาเราไอ จาม น้ำลายกระเซ็นเป็นละอองไปทั่ว ตอนที่มีโรคระบาด อย่างไข้หวัดนก ผู้คนจะกลัวกันมาก ใครจามออกมาทีในลิฟท์ แทบอยากจะถีบกระเด้งออกไปเลยเชียว ละอองน้ำในอากาศในฤดูหนาว ที่เราเรียกว่าหมอก พยัพหมอก นั่นก็เป็น Mist ประเภทหนึ่ง หรือเวลาเขาเล่นคอนเสริต เอาน้ำแข็งแห้งใส่ลงไปในน้ำร้อน นั่นก็เป็นละอองเหมือนกัน กรดบางอย่าง เปิดฝาป็อกออกมา มีละอองลอยฉุยขึ้นมาเชียว

  • ฟูม (Fume)    เป็นอนุภาคของโลหะหนัก    ที่เกิดการควบแน่นในอากาศ เช่นโลหะที่กลายเป็นไอระเหยจากเตาหลอม จากการเจียร์ การเชื่อม การตัดด้วยแก็ส อันนี้น่ากลัว เพราะช่างทั้งหลายสูดกันทุกวัน ให้ใส่หน้ากากก็ไม่ใส่

  • ไอ (Vapor) เป็นอนุภาคของของเหลวที่เปลี่ยนสถานะเป็นแก็ส ลอยไปในอากาศ

  • ก๊าซ (Gas) มันคือสถานะหนึ่งของสาร

  • ควัน (Smoke) เป็นชื่อเรียกรวมๆสำหรับมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้  มีทุกอย่างที่เอ่ยมาข้างบนนั่น

คำว่า อนุภาค หรือ Particulate - Particle จึงเป็นคำรวมๆ

อนุภาคที่เล็กกว่า 0.5 ไมครอน มันจะเข้าไปถึงปอดได้ พอไปถึงปอดมันก็แพร่ไปได้ทุกที่ แล้วแต่ว่าอนุภาคพวกนั้นมันเป็นอะไร ถ้าเป็นก๊าซ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ก็ไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ได้ดีกว่าออกซิเจนตั้งหลายร้อยเท่า ถ้าเป็นฝุ่นซิลิกา ก็ไปทำให้เกิดแผลในถุงลมปอด เป็นซิลิโคซิส ถ้าเป็นควัน ก็อมกันทุกวัน พวกนั้นก็เล็กกว่า 2.5 ไมครอนทั้งนั้นเลย แหม

PM 2.5 น่ากลัวไหม

ขนาด 2.5 ไมครอน นี่มันเล็กขนาดไหน
ไมครอน มันย่อมาจากคำว่า ไมโครเมตร หรือ 1 ใน 1,000,000 ส่วนของหนึ่งเมตร หรือ 0.00004 ของหนึ่งนิ้ว ป๊าด ยังนึกไม่ออกอยู่ดี  อ่ะดูรูปเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีขนาด 7 ไมครอน ถุงลมปอด หรือ Alvioli ของเราจะมีเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กๆสานกันระหว่างเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ คล้ายๆลูกตะกร้อ นึกออกมั๊ย แสดงว่า PM 2.5 มันจะผ่านจากถุงลมปอดเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ฟังดูแล้วน่ากลัวเชียว แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งตกใจ เพราะท่านที่เป็นสิงห์อมควันทั้งหลาย ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ด้วยการสูดเอา PM 2.5 ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือเป็นประจำ วันละหลายๆมวน แล้วไม่เห็นพวกมันจะตายชักกระแด่วๆซะที  ดังนั้น อย่าแตกตื่นตกใจไป พีเอ็มสองจุดห้า ไม่ทำอันตรายให้ตายได้ในทันที ผมกล้ารับประกัน ถ้าไม่จริง ผมให้โทรมารังควานได้สามวันโดยจะไม่ตอบโต้ใดๆ



เส้นผม ซึ่งมีขนาด 70 ไมครอน บางคนผมเส้นใหญ่ บางคนไม่มีผม ก็เทียบกับขนตรงไหนก็ได้ ขนาดของมันก็ราวๆ 70-75 ไมครอน
อะไรที่มันทะลุทะลวงถึงระบบทางเดินหายใจ มันน่ากลัวทั้งนั้นแหละ คำว่า พีเอ็ม สองจุดห้า มันคืออนุภาคที่มีขนาด เล็ก 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่านั้น มันไม่ใช่แค่ฝุ่น มันมีหลายๆอย่างรวมๆกัน การที่มีดอกเตอร์ท่านหนึ่งออกมากล่าวหาว่ามันเกิดจากการก่อสร้าง จึงไม่ถูกต้อง ยิ่งจะขอให้หยุดก่อสร้างไปจนกว่าฝุ่นจะตกลงพื้นหมด ยิ่งบ้ากันไปใหญ่ แค่นี้ก็แทบจะอดตายกันอยู่แล้ว 


สรุปสั้นๆ มันน่ากลัว มันมาจากหลายแหล่งกำเนิด และต้องมีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะยาว แต่ไอ้ที่เอาน้ำมาพ่นเป็นละอองตามสี่แยก อันนี้ ปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่จะทำไงได้ มันคิดได้แค่นั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวเขาจะด่าสวนเอาว่ามือไม่พายเอาตีนราน้ำ


ดังนั้น ถ้าจะถามว่า อนุภาคขนาด 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่านั้น มันมาจากไหน คำตอบก็คือ มันมาจากพวกเรานี่แหละครับ  เราไม่ว่ากัน ไม่โทษนั่นโทษนี่ จะว่าอากาศเสียมาจากรถ ก็จะโทษกันไปโทษกันมา ว่าเพราะอีปูว์ ปล่อยให้ซื้อรถคันแรกเยอะเกิน พวกเศรษฐีจะพาลของขึ้น คว้านกหวีดมาเป่า ปรี๊ดๆๆๆ เผลอสูดเอามลพิษตายไปเสียก่อน ส่วนคนยากจนอย่างผม ก็จะเกิดอาการหัวร้อน ที่อดทนการกดขี่ ดูถูกเหยียดหยามแบ่งแยกชนชั้น ไพร่สถุล ก็จะเกิดอาการของขึ้นพาลจะยกพวกมาปิดถนนให้รถติดเล่น เดือดร้อนบรรดาพวกขุนทหารต้องลากสไนป์เปอร์มายิงหัวพวกไพร่เล่นกันอีกหน มันจะยุ่งกันใหญ่


เอาเป็นว่า เมืองใหญ่ๆหลายๆประเทศ เขาประสบปัญหาแบบนี้มาก่อนเรา แล้วเขามีวิธีจัดการ
หลายประเทศ จัดการระบบการจราจรอย่างได้ผล มีระบบราง ระบบขนส่งที่ดี รถไม่มาก รถไม่ติด ถึงมี เขาก็เป็นรถไฟฟ้า แต่ประเทศสี่จุดสูญ (สูญเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งอิสระภาพ) อย่างเรา ยังทะเลาะกันไม่เลิก คงอีกนาน
หลายๆประเทศ เขาเข้มงวด กับแหล่งมลพิษ จับปรับกันหนักๆ
หลายๆประเทศ เขาเข้มงวดแม้กระทั่งเมรเผาศพ ไม่เหมือนบ้านเรา มีวัดทุกหัวมุม แต่ละวัดมีงานเผาศพแต่ละวันไม่รู้กี่เมร ตั้งแต่บ่ายไปจนเย็นค่ำ เผากันโขมง ไอ้ที่เผาๆนะ สาระพัดอย่างยัดเข้าไป ชุดหรู กระเป๋า เสื้อ ผ้ารองเท้า ไหนจะมีพวกโละหะหนัก อย่างสารอุดฟัน ฟอร์มาลีน ที่อัดกันเข้าไป แต่ละศพไม่รู้กี่ขวด เผาส่งวิญญานสู่สรวงสรรค์ แต่ดันไปไม่ไกล ลอยปกคลุมอยู่ วันดีคืนดี เกิดปรากฏการณ์ฟ้าสีน้ำตาล ที่ต่างประเทศเขาเรียกว่า Photo Chemical Smog เอาเป็นว่าปัญหาแบบนี้ ด้วยสติปัญญาของท่านผู้นัม แกคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้


หน้ากากแบบไหน เหมาะกับ PM 2.5 จำเป็นไหมต้อง N95


เรื่องหน้ากาก N95 นี่ก็มั่วกันมาตั้งแต่สมัยโรค SAR ระบาด

ตอนนู้น สมัยโรคไข้หวัดนก ไข้ซาร์ โรคอีโบล่า ระบาด ทางองค์การอนามัยโลกออกประกาศว่าให้เจ้าหน้าที่สวมใส่หน้ากาก N95 คราวนี้ก็เกิดการโกลาหล หน้ากากที่ไม่มีเลเบลว่า N95 คนก็หาว่าใช้ไม่ได้ มันกรองฝุ่นขนาดเล็กไม่ได้ บ้างก็ว่า หน้ากากแบบ N95 สามารถกรองอะไรเล็กๆได้ ขนาดเชื้อไวรัสยังกรองได้ ว่าไปนั่น ทีนี้ก็เกิดขาดตลาด พ่อค้าที่หัวใสก็เอาหน้ากากอะไรก็ได้มา ทำตรายาง N95 ปั๊มจึ๊กๆไป ขายดิบขายดี หมอบางคนก็ออกมาแนะนำว่า เอาหน้ากากอนามัย แล้วเอากระดาษเช็ดตูดพับสองชั้น ก็จะกรองได้เท่า N95 แหมๆๆๆ นี่ถ้ามีขี้ติดด้วยนิดส์นึง จะกรองได้เยอะกว่านะหมอ




ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักสิ่งที่เราเรียกๆว่าหน้าก่ง หน้ากากกันซะก่อนดีมั๊ยครับ ที่เราเรียกๆว่าหน้ากากเนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ เพราะหน้ากากมันคือ Face Mask-- อย่างที่พวกหมอ พยาบาล ใส่ในห้องผ่าตัด แบบนั้นเขาเรียกว่า Surgical Mask ซึ่งออกแบบมาเพื่อ แต่น แตน แต๊น  กันน้ำลายหมอกระเด็นใส่คนใข้เวลาพวกเขาพูด คุย ไอ จาม เพื่อกันละอองของเหลวที่จะกระเซ็นออกมา ดังนั้น Surgical Mask จึงไม่สามารถกันอนุภาคเล็กๆอะไรที่จะสูดหายใจเข้าไป ส่วนเอากระดาษเช็ดตูดมาพับรองอีกสองชั้น ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะว่า สิ่งที่เราใส่เพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจของเรา เรียกว่า Respirator บังเอิ้นที่ภาษาไทยมันไม่รู้จะแปลว่าอะไร ก็เลยเรียกมันว่าหน้ากาก เหมือนๆกับเวลาใครได้เป็นนายก ต่อให้ห่วยแตกแค่ไหน ออกทีวีทีเหมือนหมาบูลด็อก ออกมาเห่าโฮ่งๆๆ ก็ยังต้องเรียกพวกมันว่า พณ.ท่าน ผมไม่รู้ว่าแปลเป็นภาษาหยาบๆว่าอะไร ถ้าแปลได้จะแปลให้ฟังเลย เอาเป็นว่า Respirator ถูกออกแบบมาและใช้กันมานานมากแล้ว จำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. Air Purified Respirator --ชนิดกรองอากาศ

  2. Air Supplied Respirator --ชนิดที่ได้อากาศจากถัง หรือท่อจ่ายอากาศ ที่เราเห็นในหนังเวลานักดับเพลิง ใส่เข้าไป

หน้ากาก N95 ที่เราเรียกๆกัน มันก็คือ Air Purified Respirator ชนิดหนึ่งนั่นเอง ต้าดา  หน้ากากแบบกรองอากาศเนี่ย แยกย่อยออกไปได้หลายแบบ อย่างที่เห็น คือแบบใช้แล้วทิ้ง กับอีกแบบที่มีโครงเป็นยาง ครอบจมูก มีตลับใส้กรอง ถอดเปลี่ยนได้ บางรุ่นก็ครอบทั้งใบหน้า มีตลับยาวๆ เหมือนในหนังสตาร์วอร์




บางรุ่นก็มีปั๊ม ดูดเอาอากาศ ผ่านใส้กรอง แล้วจ่ายอากาศเข้าไปให้เราหายใจ แต่ละรุ่นก็จะมีขีดความสามารถในการปกป้องเราไม่เท่ากัน หรือที่เรียกว่า Assigned Protective Factor เริ่มเยอะแระ พวกเรียนน้อยจะเริ่มตากลับ เริ่มหลับ เอาเป็นว่า หน้ากากแบบ N95 เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง และมีค่า Assign Protective Factor แค่ 10เอ็กซ์ (ไว้จะมาเล่าต่อ)

ตัวอักษร N 95 มันคืออะไรอ่ะ

ก่อนอื่น ต้องบอกว่า หน่วยงานที่เขาจัดระดับประสิทธิภาพการกรองของ Respirator เนี่ย เขาคือองค์กรที่เรียกว่า NIOSH- National Institute for Occupational Safety and Health สถาบันอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) เป็นหน่วยงานวิชาการ ไม่ได้ออกกฎหมาย ไม่เหมือนบ้านเรา ไม่มีหลักวิชาการ ออกแต่กฎหมาย
NIOSH เขามีหน่วยงานที่ทำการทดสอบ Respirator และให้การรับรอง ในอเมริกา หน้ากากที่จะเอาไปให้ลูกจ้างใช้ มักจะต้องดูว่าผ่านการรับรองมาตรฐานมาก่อนรึเปล่า ถ้าเป็นบ้านเรา ข้างกล่องมีแต่ภาษา กว่างตุ้ง ภาษาแต้จือ ผมก็ไม่แน่ในว่าใช่รึเปล่า
นี่กำลังพูดถึงแบบใช้แล้วทิ้งนะครับ ส่วนที่เอามาทำหน้ากาก มักจะทำมาจากเส้นใยเซรามิค เส้นใยมิเนอร์รัลไฟเบอร์ ใครนึกไม่ออกก็นึกถึงฝอยขัดหม้อ ยี่ห้อสกอตไบร้ท์ละกัน แม่ผมพูดภาษาอังกฤษได้หลายคำก็ไอ้พวกนี่แหละ ไปซื้อแฟ๊บ ไปซื้อสกอตไบ้ท (แกออกเสียงแบบนี้) เอาละ นึกดูนะว่า ฝอยขัดหม้อ อัดกันจนบางเฉียบ เป็นหน้ากากที่พวกเราใส่ คิดดูละกันว่ามันจะสามารถกรองอนุภาคได้มากมายขนาดไหน


เวลาที่อนุภาคที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เล็ก ใหญ่แค่ไหน ไม่รู้แหละ ผ่านเข้าไป อนุภาคพวกนี้ก็จะถูกกรองโดยวิธีการเหล่านี้คือ เอาวิชาการหน่อยนะ จะได้หายงง จะได้เลิกเถียงกันว่า อึ้ย อันนี้ไม่ใช่ เอ็นเก้าสิบห้านะมึง ใส่ไม่ได้นะ
  • Impaction --อนุภาคใหญ่ๆมักจะชนปั่กเข้ากันเส้นใย แล้วติดอยู่
  • Interception --อนุภาคเล็กลงมาหน่อยรอดรูไปได้บ้าง ก็ผ่านไม่ได้ ติดอยู่ข้างใน บางคนบอก ไหน ไม่เห็นมีเลย เดี๋ยวปั๊ด ก็มันเล็กจนมองไม่เห็นไง
  • Diffusion --ที่เล็กกกกกมากกกกก อย่าง PM 2.5  เชื้อไวรัส อนุภาคนาโน พวกนี้ จะผ่านเข้าไปตามการไหลของอากาศ แล้วโดนอัดเข้าไปติดอยู่ ไปไม่รอด
  • Electrostatic attraction-- หน้ากากบางรุ่น เส้นใยมีประจุไฟฟ้า ช่วยในการจับอนุภาคได้อีกต่างหาก







อย่างนี้ มันก็กรองอนุภาคได้พอๆกันละสิ

ทำหน้าเหมือบรรลุธรรม ใช่ครับ โดยหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น อนุภาคก็คืออนุภาค ใหญ่เล็ก กูจับหมด ถึงตรงนี้หลายคนยังทำหน้าเป็นหมาสงสัย อ้าวแล้ว N95 มันไม่ใช่รุ่นที่กรองได้ดีที่สุด ละเอียดที่สุดหรอกรึ
โนครับ N แปลว่า NOT -เส้นใยที่ใช้ไม่สามารถจับอนุภาคที่มีน้ำมัน อย่างไอน้ำมัน น้ำมันเครื่อง ไอระเหยที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ไม่เชื่อลองใส่ไปยืนข้างๆผัดกระเพราะดูดิ
หน้าการแบบใช้แล้วทิ้งมีสามเกรด คือ N, R และ P




R= Resist  แปลว่า ใช้กับไอน้ำมันได้บ้าง ในงานที่ไม่โดนจังๆ อย่างงานพ่นสีนี่ไม่ได้เลย ต้องใช้รุ่นที่เป็นรหัส P= Proof
แต่ละแบบนั้นก็จะมีประสิทธิภาพในการกรอง ตั้งแต่ เอาละตั้งสติดีๆนะ
95%
99%
99.97%




ทีนี้ก็ลองแปลดูนะครับ หน้ากากรุ่น N95 แปลว่ามันกรองอนุภาคต่างๆได้ 95 เปอร์เซ็น ชัดยัง ฝุ่นใหญ่ฝุ่นเล็ก ไอ ละออง ไอระเหย ฟูม อะไรกูไม่รู้แหละ กูกรองได้ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหน้ากากสีเขียวที่เรียกว่า เซอร์จิคอลแมส ที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาบอกว่าต้องมี อย. นั้นมันไม่่ผ่านการรับรองจากผู่้ใดว่ามันกรองได้เท่าไหร่ เพราะเขาเอาไว้กัน Droplet น้ำลาย ส่วนกระดาษเช็ดตูดนั้น เอาไปขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ มันจะทำให้การกรองเป็นไปได้อย่างที่ผมเล่ามารึเปล่า อันนี้ต้องส่งไปให้ NIOSH ทดสอบครับ




มีหน้ากากหลายรุ่น ที่ไม่มี N95 Mark แต่เป็นของที่อ้างมาตรฐานยุโรป เช่น P1, P 2 P3 P4 ซึ่งถ้าจะเทียบๆก็คือ

P1 กรองได้ 80 %
P2 กรองได้ 95%
P3 กรองได้ 99%
P4 กรองได้ 99.97%




จุดใหญ่ใจความของการเลือกหน้ากาก ผู้เลือกจะต้องรุ้ว่า ใส่เพื่ออะไร
  1. ใส่เพื่อกันนายด่า --อันนี้ มึงไม่ต้องใส่ก็ได้ เปลือง ชิ้นนึงหลายบาท
  2. ใส่เพื่อกันอนุภาคที่มีอันตรายและมีระดับความเข้มข้นในอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆ มีแต่ไม่เกินมาตรฐาน ก็ต้องไปดูลักษณะงาน ระยะเวลาในการสัมผัส วิธีทำงาน และการยากง่ายในการจัดการ บางทีให้หน้ากากแบบมีตลับกรองที่มีค่า APF สูงๆ ก็จะได้ปลอดภัย แต่ใส่ลำบากอึดอัด เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใส่ ตายคือเก่า
  3. ผลการตรวจวัดสภาพแวดล้อม ปริมาณสารอันตรายในอากาศ ถ้าอยู่ในระดับ IDLH- Immediate Danger To Life and Health เป็นอันตรายคอขาดบาดตาย แบบนี้ N95 ก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้รุ่น Air Supplied Respirator เท่านั้น
เอาละครับ ใครที่ยังข้องใจว่ารุ่นนั้น รุ่นนี้ ใช้ได้ไหม ก็ถามมานะครับ อ่ะ N95 เจ๋งสุดเลยมั๊ย   NO!  it is NOT !






วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ครางซื่ออ้ายแฮงๆแน อ้ายหูบ่ดี


คนหูตึงนี่ เวลาเรียกเบาๆ ไม่ค่อยได้ยิน ต้องเรียกกันดังๆ ถ้าจะให้มาคราง อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย ๆๆๆๆ แบบในเพลงครางชื่ออ้ายแน คงไม่เวิร์ค อ่ะ โปรโมทเพลงให้ (362) ครางชื่ออ้ายแน - ศรีจันทร์ วีสี Feat. ต้าร์ เพ็ญนภา แนบชิด ท็อปไลน์ - YouTube คงต้องตะโกนกันดังๆ สามบ้านแปดบ้าน โอย โอย ซีด ซาด ฮู้ว อ้า .... แบบเพลงประเทศกูมี

หูคนเรามันมีเท่าๆกัน คือมีสองข้าง ส่วนประกอบข้างนอก ข้างใน เหมือนๆกันหมด ต่างกันก็อีตรงที่ พอมันเปลี่ยนเป็นกระแสประสาท ส่งไปที่สมอง อีตรงนี้แหละที่มันไม่เหมือนกัน



หูคนเรามีสามส่วน คือ

หูชั้นนอก
ก็ไล่ไปตั้งแต่ ใบหู ฝรั่งมันเรียกว่า Pinna เอาไว้รวมเสียงให้เข้าไปในรูหู นอกจากนี้ โครงสร้างของใบหูซึ่งเป็นกระดูกอ่อน เวลาเคี้ยวมันจะกรุบๆ มันทำหน้าที่บอกทิศทางของเสียงว่ามาจากมางไหน ข้างบน ข้างล่าง
คนบางคน ได้ยินแต่เสียงมาจากข้างบน เสียงคนยากคนจน ไม่ค่อยได้ยิน หูตึงเป็นบางทิศทางซะงั้น
ใบหูของบรรดาสามี ยังมีประโยชน์อีกอย่างก็คือ เอาไว้ให้บรรดาเมียๆ ใช้มาตรา 44 กดขี่ข่มเหง ดึงทึ้งเอาตามอารมย์

ถัดมาก็เป็น รูหู หรือที่เรียกว่า Ear Canal ที่นี่ คลื่นเสียงจะรวมเข้ามา มักจะมีขนหู มีขี้หู ซึ่งทำหน้าที่กรอง กันสิ่งแปลกปลอมไว้ และรักษาความชุ่มชื้น บางคนขี้หูมากมายอุดเต็มรู แบบนี้ก็จะมีปัญหา เรียกเท่าไหร่ไม่ค่อยหัน ต้องบ้องหูสักที เอาขี้หูออกซะมั่ง

หูชั้นกลาง
ก็คือส่วนที่เป็นเยื่อแก้วหูหรือที่เรียกว่า  Ear Drum หรือ Tympanic Membrane ส่วนนี้ ถ้าเอาไฟส่องเข้าไปจะเห็นเป็นสีเงินมันวาวเชียว เยื่อแก้วหูจึงกั้นระหว่างโพรงของหูชั้นกลาง กับหูชั้นนอก ที่โพรงนี้ มีท่อเล็กๆ เชื่อมไปเปิดที่โพรงช่องปาก และจมูก ที่เรียกว่า ยูสเตเชี่ยนทิวบ์ ผมไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร ท่อนี้มันจะช่วยให้ความดันในโพรงหูส่วนกลาง กับความดันอากาศภายนอกมันบาลานซ์กัน อย่างเวลาก่อนเครื่องบินจะลง เราจะมีอาการหูอื้ออยู่พักใหญ่ๆ บางทีปวดจนแก้วหูแทบแตก ถ้าอ้าปาก หาว หรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ท่อยูสเตเชี่ยนเปิด เปาะ หูเราก็จะหายอื้อ แต่พวกนักการเมืองหลายคน มีอาการหูอื้อเรื้อรัง อื้อตลอดชีวิต

ติดกับเยื่อแก้วหู ก็จะเป็นกระดูกที่ทำหน้าที่ส่งความสั่นสะเทือนไปยังหูชั้นใน กระดูกสามชิ้นนี่เรียงกันเหมือนกระเดื่องกลองชุด เรียกว่า กระดูกค้อน หรือ Malleus  กระดูกทั่ง Incus กระดูกโกลน Stapes

พอมีเสียงเข้ามา อย่างเสียงครางใหญ่ ของผู้ชาย ฮือ อือ ดี ๆๆ แบบนี้ เยื่อแก้วหูก็จะสั่นด้วยความถี่ต่ำๆ ถ้าเป็นเสียงคราง อุ๊ย อุ๊ย อุ๊ย ๆๆๆ รัวๆ แหลมเล็ก ความถี่ก็จะสูง เยื่อแก้วหูก็จะสั่นด้วยความถี่สูง ลองนึกดูละกันว่ากระเดื่องกลองมันจะสั่นระรัวขนาดไหน

หูชั้นใน
กระดูกรูปทั่ง มันจะไกดอยู่บนอวัยวะรูปร่างคล้ายหอย แต่ผมมองว่ามันเหมือนปหอยที่มีหนวดเหมือนปลาหมึกมากกว่า ไอ้ตรงหนวดนั่น เรียกว่า Semicircular canal มันทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว ที่เป็นบ้านหมุนกันเยอะๆ ก็มาจากการทำงานที่ไม่ปกติของไอ้เจ้านี่แหละ ส่วนตรงที่เป็นตัวหอยนั่นเขาเรียกว่า คลอเคลีย เวลาที่เสียงกระทบเยื่อแก้วหู มันสั่น แรงสั่นส่งผ่านกระดูกสามชิ้น มันมากดอยู่ตรงช่องรูปไข่ของไอ้หอยตัวนี้ ข้างในตัวหอยถ้าผ่าดูจะเห็นเป็นท่อขดวนๆอยู่ ข้างในมีของเหลว พอมันถูกกด ของเหลวกระเพื่อม
ถ้าเสียงที่เข้ามาแรง ซี๊ด อ็า แรง เรียกซื่อค่อยแรงๆแน มันก็กระเพื่อมแรง ผนังท่อที่ขดไปมามันขยับ ตรงผิวของผนังมันมีเซลล์ขน ที่ส่งสัญญานประสาทไปที่สมอง แปลออกมา คนหูตึงเพราะเซลล์ขนมันตาย เกิดจากเสียงดังมากๆ แต่บางคน บางทีฟังเพลงบางเพลง เกิดอาการคลั่ง ควบคุมจริตไม่ได้ หาว่าเพลงนี้ทำลายประเทศชาติมั่งละ แบบนี้ไม่น่าจะเกิดจากหอยในหู แต่เกิดจากสมองเสียมากกว่า สมองไม่ไดี ทีเพลงคราง๙ื่ออ้ายแน ไม่เห็นบ่นว่าอะไร พิลึกเชียว


รังสีกับผีกระสือ


สมัยเด็กๆ หนังเรื่องกระสือ กับหนังอุลตร้าแมน แรงพอๆกัน

แปลกมั๊ย สมัยนั้น ดูหนังอุลตร้าแมน เด็กๆ อยากเป็นอุลตร้าแมน เหาะได้ ปล่อยแสง แจ๊ด ๆๆๆๆ ใส่สัตว์ประหลาด แต่ไม่มีใครอยากเป็นผีกระสือซักคน แปลกจัง

ถ้าปีนี้ลุงตู่ ใส่ชุดอุลตร้าตุ่ย มาเล่าเรื่องอันตรายจากรังสีให้เด็กๆฟัง คงจะช่วยกระตุ้นความอยากรู้เรื่องรังสีได้มากโขทีเดียว 




เอาเถอะ ลุงแกงานเยอะ ช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กะการเป็นตู่ดิจิตอล แกไม่ว่างหรอก

รังสี Radiation มีสองแบบ มีอยู่ทุกหนทุกแห่งรอบตัวเรา คือ รังสีที่ไม่ก่อให้เกิดประจุ หรือเรียกว่า Non-Ionizing Radiation กับ รังสีที่ก่อให้เกิดประจุ หรือ Ionizing Radiation

รังสี เป็นพลังงาน ที่อยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อันตรายที่จะเกิดขึ้นก็คืออันตรายระดับเซลล์ ระดับดีเอ็นเอ เพราะในนั้น เป็นส่วนที่เล็กที่สุดที่เมื่อมันเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ก็จะเกิดอาการเจ็บ ป่วย เสียชีวิตหลายรูปแบบ มาค่อยๆทำความเข้าใจกันก่อน
พวกรังสีที่ไม่ก่อให้เกิดอิออน มักจะมีความยาวคลื่นยาว ความถี่ต่ำอย่างคลื่นแม่เหล็กจากสายไฟฟ้าแรงสูง  ถึงปานกลางอย่างคลื่นวิทยุ และไมโครเวฟ  ถ้าเป็นคลื่นแสง ก็ตั้งแต่ระดับอินฟราเรด ที่ตาเรามองไม่เห็น ไปจนเป็นคลื่นแสงที่ตาเรามองเห็น รวมถึงรังสีอุลตร้าไวโอเล็ท ที่บรรดาช่างเชื่อม เจอกันเป็นประจำทุกวัน




ส่วนพวกรังสีที่ก่อให้เกิดประจุ ก็เกิดมาจากสารที่อะตอมมีความไม่เสถียร (เริ่มพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้วสิเรา) คือสารกัมมันตภาพรังสี หรือที่เรียกว่า Radioactive พวกนี้มันเกิดได้ตามธรรมชาติ หรือมนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ที่รู้จักกันและได้ยินบ่อยๆตั้งแต่เด็ก ก็อย่าง รังสี แอลฟ่า ซึ่ง เคลื่อนที่ไม่ได้ไกล ผ่านอากาศได้ไม่กี่เซ็นต์ แค่กระดาษแผ่นเดียวก็ไม่สามารถทะลุได้ แบบนี้ขืนอุลตร้ายูดปล่อยออกไป คงตกไม่พ้นหัวแม่ตีน ไอ้สัตว์ประหลาดมันคงหัวเราะก๊ากๆๆๆ  รังสีเบต้า อันนี้ไปได้ไกลหน่อย แต่เจอแผ่นฟอยล์บางๆ ก็หยุดกึก อีกตัวคือรังสีแกมม่า ไอ้นี่ทะลุทะลวง ไปได้ไกลเชียว ทะลุแท่งคอนกรีตหนาๆได้สบาย แต่เจอแผ่นตะกั่วหนาๆก็ไปต่อไม่ไหว และอีกตัวยอดนิยมคือรังสีเอ็กซ์ พลังทะลุทะลวงเนื่อเยื่อมหาศาลพอๆกันทีเดียว  

รังสีแบบก่อให้เกิดประจุมีอันตรายอย่างไร


สารกัมมันตภาพรังสี มักจะมีการปลดปล่อยอิเลคตรอนออกมาได้ตลอดเวลา อิเลคตรอนที่หลุดออกมา ถ้ามันทะลุทะลวงเนื้อเยื่อเรา มันก็จะไปชนอะตอมของเซลล์ ทำให้เซลล์ที่ถูกปะทะ เกิดการสูญเสียโครงสร้างในอะตอม เช่น ในร่างกายเรา ในเซลล์เรามีน้ำเป็นองค์ประกอบ น้ำ คือ H2O พอโดนอิเลคตรอนลุงตู่ชนเข้า อะตอมไฮโดรเจนก็หลุดพลั่วะ กลายเป็นประจุไฮโดรเจน และประจุ OH- ที่เรียกว่า ไฮดรอกซิล ที่บรรดาพวกเซลล์ขายเครื่องสำอางค์บอก อนุมูลอิสระ นี่แหละ คราวนี้ระส่ำ มันก็ไปจับกับสารเคมีนู่นนี่นั่น ในเซลล์ กลายเป็นสารพิษอย่าง ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ แล้วไง เซลล์เราก็ถูกทำลาย ถ้ามันไปเกิดที่โครงสร้างของยีนส์ DNA มันก็เกิด การกลายพันธุ์ กลายเป็นนินจาเต่า กลายเป็นมนุษย์หมาป่า บางคนลูกออกมากลายพันธุ์ กลายเป็นหน้าเหมือนคนข้างบ้านซะงั้น หุๆๆๆ

นอกจากนี้มันยังเกิดผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ลดลง เวลาญาติเราทำคีโมเขาถึงห้ามเข้าไปกอดรัดฟัดนัว เพราะเขากลัวติดเชื้อไง
บรรดานักบิน อย่างไฟล้ทจากซูริค พวกนี้บินสูงๆ เขาเจอรังสีคอสมิคจากดวงอาทิตย์เยอะ เสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจก แต่ผมก็ไม่เข้าใจต้อกระจกกับปัญญาอ่อนเนี่ยมันเกี่ยวกันตอนไหน ทำไมมันถึงเอาผู้โดยสารเป็นตัวประกันตั้งหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้นอนในชั้นเฟิร์สคลาส


ที่น่ากลัวที่สุดคือการเกิดมะเร็ง ซึ่งเป็นการแบ่งตัวผิดปกติของเชลล์

การที่มันจะเกิดอันตรายแค่ไหนอย่างไร มันประกอบไปด้วยสองปัจจัย คือการทะลุผ่าน หรือ Penetration กับการกระทำต่อสิ่งที่มันทะลุผ่านไป Interaction

อนุภาคอัลฟ่า ที่หลุดมาจากสารกัมมันตภาพรังสี มันประกอบไปด้วยประจุนิวตรอนกับโปรตอน มันเลยมีความเป็นประจุบวก มันใหญ่ มันทะลุไปได้ไม่ไกล ไม่กว้าง ขนาดหนังหน้าด้านๆยังผ่านไม่ทะลุชั้นขี้ไคลเลย แต่มันสามารถทำลายเซลล์ที่มันผ่านเข้าไปได้อย่างมากเลยทีเดียว ถ้ามันเกิดปนเปื้อนไปกับอาหารที่เรากิน เข้าไปข้างใน หรือหายใจเข้าไป คราวนี้ละเสร็จเลย อย่างพวกแก็สเรดอน ซึ่งเกิดตามธรรมชาติจากการสลายตัวของดิน แร่ต่างๆ พวกนี้เราไม่รู้เรื่องรู้ราวสูดเข้าไป หรือใช้วัสดุก่อสร้างที่มีพวกนี้ปนเปื้อน เจ้าของบ้านก็จะสูดเอาเรดอนเข้าไปทุกวัน ไม่นาน มะเร็งถามหา

 
อนุภาคเบต้า เป็นอิเลคตรอนที่หลุดออกมาจากสารกัมมันตภาพรังสี มีความเร็วสูง มันเลยทะลุเข้าชั้นผิวหนัง แต่ก็ไม่ไกลไปกว่าอัลฟ่าเท่าไรนัก ยกเว้นสูดหายใจเข้าไป
รังสีแกมม่า มันไม่มีประจุ มันเป็นพลังงานล้วนๆ มันจึงมีอำนาจทะลุทะลวงไปได้ไกลมากๆ ไปได้เป็นพันๆฟุต ทะลุเนื้อเยื่อ ทะลุคอนกรีต แต่มันจะทำลายเซลล์บางจุดที่มันผ่านเข้าไปตลอดทาง


วิธีป้องกัน

  • เวลา Time เวลาเขาฉายเอ็กเรย์ มีไหมที่คนฉายมันฉาย ซื่ดๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเมามัน เขาฉายแป็บเดียว เพื่อลดระยะเวลาการสัมผัส
  • ระยะห่าง Distance เวลาจะฉาย อีคนฉายวิ่งออกไปหลบ บอกเราว่าอยู่นิ่งๆนะคะ แล้วมันก็วิ่งออกไปกดปุ่ม แน่จริงมึงมายืนข้างๆกูดิ

  • ฉากกั้น Shield ห้องเอกซเรย์จึงกั้นด้วยวัสดุที่ดูดซับรังสีได้ดี เห็นมะ อันนี้แหละ สำคัญเลย


ประเทศไทย มีกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับรังสี พ.ศ. 2547 โน่นแล้วนะจ๊ะ
ใครที่ชอบปล่อยรังสีอำมหิตใส่ลูกน้อง ระวังให้ดี กระสือจะมากินตับ แบร่

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เควายที มือชี้ ปากย้ำ





สมาคมความปลอดภัยและสุขภาพญี่ปุ่น หรือ JISHA ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 หรือ 1964 ภายหลังจากการพ่ายแพ้สงคราม เมืองสำคัญๆถูกระเบิดปรมาณูถล่มพินาศ ทหารญี่ปุ่นกลับสู่แผ่นดินพระจักรพรรดิ์ด้วยร่างกายและหัวใจที่แหลกสลาย ญี่ปุ่นในยามนั้นอยู่ในสภาพลำบากยากเข็ญ
การพัฒนาประเทศและอุตสาหกรรมจึงกลายเป็นเพียงความหวังเดียวของการอยู่รอดและกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
  • เพื่อลดความผิดพลาด
  • เพื่อลดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ
  • เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
  • เพื่อปลูกฝังจิตสำนึก
  • เพื่อสร้างทีมเวิร์ค
  • เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
  • เพื่อกระตุ้นให้มีการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร
  • เพื่อเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหา
คนญี่ปุ่นจึงเริ่มใช้เทคนิคที่ง่ายแสนง่ายที่เรียกว่า เควายที เพื่อสร้างวินัยในการทำงาน โดยบริษัทซูมิโตโม่ เมทัล อินดัสตรี้ส เป็นที่แรก ที่ใช้เควายที เมื่อปี พ.ศ. 2519 หรือ 1976 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เควายทีแพร่หลายไปในหลายประเทศ โดยเฉพาะในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น สำหรับประเทศไทย เควายทีก็คล้ายๆกับกิจกรรมเข้าจังหวะที่ฮือฮากันอยู่พักใหญ่ๆ แล้วก็ค่อยๆซาไปในที่สุด เช่นเดียวกันกับ กิจกรรมอย่าง 5 ส. เก็มบะ อะไรเทือกนั้น ที่ยังยั่งยืน ไม่มีทีท่าจะเสื่อมความนิยมก็อย่างเช่น ทงคัสสึ ราเม็ง ซูชิ วาซาบิ ที่เอาเข้าปาก เคี้ยวและกลืนได้ คนไทยก็มักจะไม่หลงลืมเสื่อมความนิยม

คงเป็นเพราะอารมย์มันคนละโหมดกัน คนญี่ปุ่น ต้องการขจัด ความดราม่า (Illusion) ความประมาท (Carelessness)  ความมั่วซั่ว (Sloppiness) ความหย่อนยานเหยาะแหยะ (Relaxation)  การตัดสินใจที่ผิดพลาด (Mis-judgement) คลาดเคลื่อน การละเมิดกฏระเบียบ (Violation)  มีเป้าหมายเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
แต่คนไทยทำเควายทีด้วยอารมย์ประมาณว่า "แม่ง อีกแระ กูละโคตรเบื่อ"  พอเสียงนาฬิกาดัง ทุกคนต้องยืนข้างๆโต๊ะ แล้วออกกำลังกาย แค่นี้กูก็จะตายแล้ว เบื่อจริงโว๊ย

พอให้ทำเควายที ก็ทำแบบขอไปที พูดๆ ชี้ๆไป เสียงดังๆ จะได้เสร็จๆ
เควายทีในบ้านเรา เลยต้องพึ่งการโปรโมท เช่น มีการแข่งขัน มีการแต่งเพลง ประกอบท่าเต้น ถ่ายวิโดีโอลงยูทูป
เควายทีแบบขอควายไปที เลยไม่ได้ช่วย กระตุ้นสมองส่วนที่เป็นสัญชาติญาน (Safety conscious brain) ไม่มีจิตสำนึก (Safety awareness)เพิ่มขึ้น ไม่กระตุ้นการเอาใจใส่ (Attention)  ได้ผลแค่ มือ ชี้ (ส่งเดช) ปากย้ำ (ส่งเดช) ทุกวัน ทำๆไปให้ซาโจ้แฮปปี้ก็พอ อิอิ

เควายทีแบบญี่ปุ่น ที่ผมเคยเห็น ตอนที่ไปดูงานที่นั่น มันคนและแบบกับที่ออกมาเต้นหยองแหยงกันในยูทูป มันคนละเรื่องกันเลย

ผมเดินตามหัวหน้างานชาวญี่ปุ่นเข้าโรงงาน พอถึงทางแยก เขาหยุด แล้วก็ชี้ซ้าย ขวา ซ้าย ปากก็พูดอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ ส่วนผม มัวแต่ดูโน่นดู่นี่ หยุดไม่ทัน เลยเผลอชนหลังเขาป๊าบ เป็นแบบนี้หลายที จนอดรนทนไม่ไหวจึงถามไปว่ายูทามอาร๊าย เขาก็ตอบว่า อีนี่คือเควายที อ๋อ
ตอนเปลี่ยนกะ คนงานญี่ปุ่นจะเข้าแถวในห้องคอนโทรลรูม คำนับกัน แล้วก็จะก้าวมาข้างหน้าทีละคน พูดๆๆๆๆ แล้วก็ส่งสมุดโน๊ทให้เพื่อนคู่กะที่จะเข้า ทำแบบนี้จนจบ แล้วเขาก็ทำเควายที ผมไม่เห็นมีใครมีท่าทีเบื่อหน่าย เหยาะแหยะ หรือหลบๆอยู่หลังเพื่อนเลยสักคน ไม่เหมือนที่บ้านกูเลย (ผมนึก) เควายทีแบบวาซาบิมันได้สร้าง สำนึก( Awareness) จนติดเป็นนิสัย (Habit) กลายเป็นบรรยากาศ (Climate) และหลอมรวมกลายเป็นวัฒนธรรม (Culture) ของคนญี่ปุ่นแบบแนบเนียน

ด้วยความที่เขามีวัฒนธรรมส่วนรวมแบบนั้น เวลาเขาทำอะไร เขาก็จะเอาจริงเอาจัง เซฟตี้สไตล์ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีแบบฟอร์ม มีเช็คลิทส์ มีแบบฟอร์มอะไรมากมาย แม้แต่ที่เราเรียกว่า โปรสิเด๋อร์ (Procedure)ของญี่ปุ่นที่ผมเห็น ก็มีเป็นรูปวาด เหมือนการ์ตูนซะมากกว่าที่จะเขียนอะไรเยิ่นเย้อ

จิตสำนึกแบบฝังจนเป็นสันดานเนี่ย มันสร้างได้ ในขณะเดียวกัน ความไร้สำนึกจนเป็นกมลสันดานเนี่ย มันลบยาก

มีคนถามว่า จิตสำนึกความปลอดภัยกับจิตสำนึกเรื่องคุณภาพมันไปด้วยกันได้ไหม เอาอะไรมาใช้ทำไมมันตายหมดที่เมืองไทย ให้ทำระบบคุณภาพ ก็ติ๊กมั่วจนลูกค้าเคลมคืน ขาดทุนแถมโดนฟ้องอีก โอ๊ว อารายกานนี่ ไทยแลนด์ ทามมายเป็นอย่างนี๊ สงสัยจริงๆ
คือ... เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น ...เรามีเอกราชมาช้านาน เราเลยดักดาน ภาษาอังกฤษก็ไม่แตกฉาน มึงจะทำไม พ่อแม่กูไม่เคยหวังให้เป็นขึ้ข้าใคร เขาส่งเรียนเพื่อเป็นเจ้าคนนายคน ค้าขายมันเป็นเรื่องของพวกเจ๊กจีน ญี่ปุ่นยุ่นปี่ แขกดอย ฝรั่งดองโน่น เราเลยไม่ชิน อย่ามาแตะต้องความเป็นเทย (ออกเสีย เทยยยย)

เอาง่ายๆ สูตรในการทำธุระกิจ   

           กำไร (Profit) = ยอดขาย (Sales) -ต้นทุน (Cost) 

  • Poor Safety - ทำงานห่วยแตก มีอุบัติเหตุไม่เว้นแต่ละวัน เดี๋ยวตาย เดี๋ยวเจ็บ ไฟไหม้ ระเบิด รถชน รถคว่ำ แบบนี้ มันจะมีกำไรไหม ต้นทุนบานเบอะ พอสิ้นปีไม่มีโบนัส ประท้วงอีก
  • Poor Deliver- ไม่ต้องพูดถึงว่าส่งของตรงเวลา ส่งของแบบมีคุณภาพ กูส่งให้มึงช้าไปสามวันนี่ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว  
  • Poor production, poor maintenance อันนี้ ไม่ต้องพรรณา ถนัดอยู่แล้ว ไม่ใช่ตังค์กู ผลาญมันเข้าไป
  • Poor Quality -- โอ้ย แบบฟอร์มเขามีให้กรอก เช็คลิสท์มีให้ติ๊ก คิดไรมาก
  • Poor Service-- บริการดีๆเขามีไว้ให้ฝรั่งนู่น ให้เลียตูดยังได้เลย คนชาติเดียวกัน คนเอเชีย เอาตีนเขี่ยๆก็ดีตายห่าแล้ว
สรุปง่ายๆ ถ้าจิตสำนึกความปลอดภัยไม่มี อย่าหวังเรื่องอื่นๆจะมี ขนาดเรื่องเป็นเรื่องตายยังไม่สำนึก ยังไม่มี จะเอาอะไรอี๊ก

สมัยหนึ่ง ผมดูแลทั้งหมด 5 ประเทศ แต่ละประเทศแหม อย่าให้พูด เด็ดๆทั้งน้าน จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ไทย เกาหลี
ผมได้ไปยืนสังเกตุการณ์ การทำ เควายที ของคนงานที่โรงงานที่รังสิต (คงไม่ต้องบอกว่าประเทศอะไร) เซฟตี้ประจำโรงงาน หันมามองผม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มันดูเขินๆ

เอ้า มาๆๆๆ เข้ามา วันนี้เจ้านายกูมา ทำเควายทีโชว์หน่อย
คนงานเข้ามายืนเก้ๆกังๆ มีหลายคนหลบอยู่ห่างๆ
กว่าจะเข้ามาได้นานเลย
ว่าแล้วก็เริ่มพิธีกรรม
มือชี้ปากย้ำ
ประโยคสุดท้าย พวกเขาตะโกนดังลั่นว่า

เซฟตี้ ต้องเป็นศูนย์ โอ้ เค้

ผมนี่ใจหายวาบ












วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ยายข้าวหมาก





ฟังข่าวจากวิทยุ มีคนโดนเจ้าหน้าที่จับกุม เรียกเงิน 3 หมื่นบาท หากไม่จ่ายคุณยายต้องเข้าคุก ต่อรองเหลือ 1 หมื่นบาท คุณยายไปยืมเขามา ดอกร้อยละยี่สิบ พูดไป แกก็ร้องไห้ไป

ประเด็นโต้เถียงกันระหว่าง เจ้าหน้าที่สรรพสามิต ก็คือ คุณยายแกขายน้ำข้าวหมาก ถือว่าแกขายเครื่องดื่มสาโทซึ่งมีแอลกอฮอล์ โดยไม่มีใบอนุญาต คุณยายแกก็ว่า ไอ้น้ำนี่มันน้ำข้าวหมาก มันไม่ฉุน มีแต่ผู้หญิงเขากินกัน มันหวาน อีนังที่ไปล่อซื้อน้ำข้าวหมากยังบอกว่า หวานอร่อยดีนี่จ๊ะยาย ไป๊ ไปโรงพัก

เรื่องทำนองนี้ ผมเห็นประจำตั้งแต่ยังเด็ก พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน เดี๋ยวก็มีลูกบ้านวิ่งหน้าตั้งมาให้ไปช่วยหน่อย ป่าไม้บุกจับ กำลังเลื่อยไม้ที่ตัดมาจากในนา โดนข้อหาตัดไม้ทำลายป่า บ้างก็โดนสรรพสามิตบุกไปจับ ระหว่างกำลังทำข้าวหมาก เตรียมงานบวชงานแต่ง และก็สาโทไหเล็กๆใบหนึ่ง เขาจะเอาสามหมื่น
หลังๆมานี่ ผมเริ่มเป็นห่วงยายสำเนียง แกขายก๋วยเต๊่ยว แกขายกล้วยทอด กล้วยฉาบ กลัวแกโดน อย.บุกจับ ข้อหาผลิตอาหารโดยไม่มีใบอนุญาต

ไอ้พวกที่ไปบุกจับยายเขาก็เหลือเกิน จับปุ๊บ ยัดข้อหาปั๊บ เรียกค่าปรับเต็มพิกัด แค่ชิม มึงรู้แล้วเรอะว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่

แต่เอาเถอะ เราคงต้องไปแก้กฏความปลอดภัยที่เกี่ยวกับ การห้ามดื่ม สุรา ยาเสพติด มาทำงาน คงต้องเพิ่มข้าวหมากไปด้วยอีกอย่าง

กะลาแลนด์นี่ มันแดนพระอินทร์นางฟ้านางสวรรค์จริงๆ


วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ไปโรงพัก

รู้ไหมว่าทำไมเขาเรียกสถานีตำรวจ (Police Station) ว่าโรงพัก



บ้างก็ว่า สมัยดึกดำบรรพ์ ครั้งที่ยังเรียกตำรวจว่า พลตระเวน มักจะสร้างเพิงพักไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อพักม้า พักคน เพราะสมัยนั้น พวกพลตระเวน คงจะขี่ม้า ฮี๊ กั่บ ๆๆๆๆ พอขี่ๆไป ตูดแตดเกิดระบม ม้าก็เหนื่อย เลยต้องพัก เลยเรียกว่า โรงพัก

บ้างก็ว่า สถานที่เอาไว้พักผู้ต้องหา (เอาไว้ซ้อมให้รับสารภาพด้วยกระมัง)จึงต้องมีที่ทางให้แยกออกจากที่อื่นๆ อันนี้ฟังเข้าทีดี

บ้างก็ว่า ที่โรงพักนี้ เปิดตลอด  24 ชั่วโมง ใครไปไหนมาไหน ไม่มีที่หลับนอน ก็จะได้แวะพัก เข้าทำนอง มีตำรวจอยู่ที่ไหน ประชาอุ่นใจที่นั่น

โรงพัก 300 กว่าโรง สร้างไว้คาราคาซัง บางที่มีแต่ตอ บางที่มีเป็นโครง ไม่มีฝา เห็นเขาฟ้องกันมาหลายปีแล้ว คดี ไม่ไปถึงไหน ส่วนไอ้คนหัวโจ๊ก เมื่อสี่ปีที่แล้ว เห็นเดินถือถุง เรี่ยไรเงิน เป่านกหวีด กลายเป็นขวัญใจแม่ยก เดินไปไหน สาวๆกรี๊ดสลบ อยากเข้าไปซบอกลุงกำนันให้หายหนาวอีกสักคน เห็นแกก็ยังอยู่ดีมีสุข ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น สงสัยอยู่เหมือนกัน ว่า มันเพราะอะไร

ก.ไม่มีกฎหมายมั๊ง เลยไม่รู้จะเอาผิดกันยังไง
ข.ไม่มีหลักฐานมั๊ง มันคงจมน้ำไปหมดอีตอนน้ำท่วมใหญ่
ง. มีหมดแหละ แต่ยังไม่ว่าสั่งฟ้อง แหม คดีมันเยอะ แค่จับจตุพรคนเดียวก็ไม่รู้กี่คดี ทำไม่ทันเลย ยิ่งตอนนี้ ไล่จับพระสึกอย่างเดียวก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว
จ. ไม่มีข้อถูก

เป็นเซฟตี้ใหม่ๆ ไปโรงพักสองหน

หนแรก ลูกน้อง (พูดให้ดูเท่ห์ เหมือนแผนกนี้ใหญ่มาก) รปภ.จับได้ว่ามีพนักงานแอบขโมยมอเตอร์ ตัวขนาดสัก สองสามกิโล โยนข้ามรั้วไปฝั่งสลัมคลองเตย  ไอ้คนโยนเลยโดนรวบคาหนังคาเขา ส่งโรงพักแถวทุ่งมหาเมฆ
สารวัตรที่เป็นคนสอบ ชื่อโกมล ส่วนผมสมัยนั้นชื่อ สุมนต์ ลูกน้องที่เป็น รปภ.ชื่อ กมล ส่วนผู้ต้องหา ชื่อ วิมล
ผมละเสียว ว่าหากสารวัตรพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก จะพาลติดคุกไปด้วย

อีกหน รปภ.ค้นตัวพนักงาน พบว่า ทำไมท้องป่องๆเหมือนใกล้จะคลอด จับดูเจอจานหลายใบ ยัดไว้ตรงท้องน้อย สมัยนั้น เขามักจะมีของแจก อย่าซื้อแฟ็บ แจกชาม ซื้อสบู่แถมจาน อะไรทำนองนี้ ก็ไปเจอสารวัตรคนเดิมอีก

คดีโรงพักฉาว กับคดีปล่อยท่านศาสดาแห่งถนนแจ้งวัฒนะ ที่ตอนนั้น ท่านได้ปลุกเสก กรวย ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง เที่วเอาไปวางขวางถนนไว้ ใครขืนไปแตะต้องกรวยศักดิ์สิทธิ์ จะมีอันเป็นไปถึงตาย มีคนเกือบตายหลายคน เพราะถูกตีนศักดิ์สิทธิ์ หมัดศักดิ์สิทธิ์ ลูกกระสุนเสก ปางตาย ขนาดนายทหารที่บ้านแกอยู่แถวนั้น ยังแทบเอาชีวิตไม่รอด เพราะไปลบหลู่กรวยศักดิ์สิทธิ์นั่นเข้า ท่านศาสดาเอง ก็ได้เข้าฉากแสดง ตอนที่พลตระเวน ไปบุกจับพระเถระหลายรูป เลยต้องมีฉาก ท่านศาสดาถูกตลบมุ้งจับกุม เอาไปขังไว้แป็บนึง แกไม่ได้ลำบากอะไรหรอก พอเข้าคุกปั๊บ แกทำไอแคร่กๆๆๆ พวกศิษยานุศิษย์ก็วิ่งวุ่น ออกมาแถลงกันยกใหญ่ ไอ้ป้อมบอกไม่เกี่ยว ไอ้ตู่บอกหนูไม่รู้ ใครสั่ง ไอ้ป๊อก ไอ้ๆๆๆ มันชิ่งกันหมด แกเลยแกล้งสำออย ไปนอนอยู่โรงพยาบาลสบายแฮ ตอนนี้ออกมาแร้ว คอยดูฉากต่อไป

โรงพักเน่าๆ กับศาสดาหลุดโลก ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะไปหงุดหงิด มันคงทำอะไรไม่ได้ ระบบมันเป็นอย่างนั้น บ้านเรามีเรื่องโกง เรื่องคอรัปชั่นอีกมากมาย ที่หมดอายุความ อย่างเสาตอหม้อตลอดแนวถนนวิภาวดีนั่นปะไร คดีคลองด่าน โอยอีกมากมาย

ข่าวที่อิตาลี่ ทางด่วนถล่ม คนตายไปเกือบ 40 ศพแล้ว เห็นทางการเขาเอาผิดบริษัทก่อสร้างที่สร้างทางด่วนแห่งนี้ และไม่ให้สัมปะทานอีก นี่ถ้าเป็นที่เมืองกะลาแลนด์ ดินแดนไร้เงินสด บัตรเครดิตเต็ม แถมติดเครดิตบูโร เมืองที่อยู่ในยุค 4.0 แต่บริหารแบบ 0.4 ป่านนี้เรอะ คงหาคนไปโรงพักยากส์
อภินิหารทางกฏหมายมันเยอะ กฏหมายมากมาย แต่พอจะเอามาใช้ มันต้องดูก่อน
ดูอย่างนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่ง เข้าพบผู้ต้องหายิงหมาดำ แกก้มลงไหว้ซะจนหัวแทบโขกหน้าอกท่านที่เป็นผู้ต้องหา แหม ช่างเป็นคนอ่อนน้อมเสียนี่กระไร ต่างจากอีตอนท่านไปที่ถ้าหลวง ท่านเที่ยวไปตะคอกคนที่เขากำลังเจาะเพื่อช่วยระบายน้ำจากถ้าว่ามีใบอนุญาตมั๊ย หูย มันคนละม้วนกันเสียจริงๆ ถ้าทางด่วนถล่มในบ้านเรา ป่านนี้ พวกโฟร์แมน ซุปเปอร์ไวเซอร์ ไซท์ก่อสร้างโดนกันระนาว ข้อหากระทำการโดยประมาท

กฏกระทรวงกำหนดมาตรฐานด้านการบริหาร และการจัดการด้านความปลอดภัย ปี 2549 เขียนหน้าที่บรรดาพวกหัวหน้างานไว้ว่า ถ้าเป็น จป.หัวหน้างาน ต้องทำอะไรบ้าง 9 ข้อ แต่ละข้อหมิ่นเหม่ต่อการตกเป็นผู้ต้องหา มาตรา 290 ทั้งนั้น ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรไป

ไป๊ ไปโรงพัก
อ๊าว โรงพักยังไม่เสร็จนี่หว่า
จ๋าเฉย วอสอง
ขอ วอสี่ทางน้ำ
วอสิบหก
แฟร่ด ๆๆๆๆๆๆๆ








ติดคุกเพราะชำนาญการ

 พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มีข้อกำหนดมากมายหลายมาตรา รับกันมาเป็นทอดๆ ไล่ไปตั้งแต่มาตรา 4 ที่เ...