วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ หรือที่เรียกว่า หลีดเด้อชิบ (ออกเสียงแบบไทยกระแดะ) หรือ ลีดเด้อฉิบ (ออกเสียงแบบสำเนียงอเมริกันตกยาก คือมาอยู่กับเมียไทยหลายปี คำส่งคำศัพท์ลืมเกลี้ยง นอนอยู่เถียงนาน้อยเป็นเวลาเนิ่นนาน)
คำนี้คำเดียวเนี่ยนะ สร้างความมึนงง ให้แก่ผู้คนมาหลายชั่วศตวรรษ โดยเฉพาะ คนไทย ที่ในยามนี้ ท่านผู้นัม มีปัญหาภาวะผู้นำเอามากๆ นี่เห็นร่ำๆว่าจะอยู่เป็นนายกต่อไปอีกสักยี่สิบปี ตายกูตาย แค่นี้ก็จะเลียกระดานกันอยู่แล้ว โอยๆ (ผมพูดถึงท่านผู้นัม ของชนเผ่าดั้งแปบนะ คนที่เอาเรื่องเสือตาเหลืองมาเล่าให้ฟังไง จำได้มั๊ย )
ภาวะผู้นำ มันมีอยู่สามแบบ ที่ส่งผลเรื่องความปลอดภัย
แบบแรก เรียกผู้นำแบบนี้ว่า ผู้นำแบบ คสช. คือผู้นำแบบว่า คุณสั่งมาผมจึงช่วย ผู้นำแบบนี้ เป็นประเภทที่ว่า เดินผ่านไปเห็นถังน้ำมันหกรั่วอยู่ พวกนี้จะรีบเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณว่า คุณไม่ได้สั่ง ผมเลยไม่ช่วย บางคนขนาดน้ำมันหกขวางทาง มันยังกระดึ๊บๆ ผ่านไปหน้าตาเฉย บางคนก็บ่น กระปอด กระแปด กระปริบ กระปรอย ว่า แหม ดูซิเนี่ย อันตรายจังเลย แหม เซฟตี้เราเนี่ยไม่เอาใจใส่ดูแลเลย ว่าแล้วก็ถ่ายรูปแชะ แล้วเดินจากไป
แบบที่สอง ผู้นำแบบ สทรร. เสือกทุกเรื่องที่มีเรา ผู้นำแบบนี้ ไม่ต้องมีใครมาสั่ง ทำเลย กระวีกระวาดจัดการหาผ้าขี้ริ้ว มาซับมาเช็ด หาทรายมากลบ หาป้ายมาวาง กลัวคนอื่นและตัวเองจะได้รับอันตราย ถ้าเป็นสมัยยุคหิน ผู้นำแบบนี้แหละที่กระโดดขวางเสือเขี้ยวยาวไว้ จนโดนเสือคาบไปแดรก
แบบที่สาม เรียกว่า ทูเกตเตอร์วีสะตอง คือแบบว่าทุกเรื่องไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่พวกเราด้วยกันทั้งหมดช่วยเป็นหูเป็นตา ไม่ใช่ว่า ใครเอากระเป๋าเป้มาวางไว้ข้างศาลพระพรหม กูไม่สนใจ ไม่ใช่ธุระกู สุดท้าย ตูมสนั่น
คุณว่าในกะลาแลนด์แดนดั้งแปบนี้ มีภาวะผู้นัมแบบไหนเยอะกว่ากัน
บันไดห้าขั้นเพื่อรู้ทันและป้องกันอุบัติเหตุ
ท่านเริ่มสอนพวกเราด้วยหัวข้อเรื่อง การตั้งโรงงาน
เรียนไปจนหมดภาค ก็ยังตั้งโรงงานไม่เสร็จ
มาหนนี้ ผมได้รับเชิญไปบรรยายในงานสัปดาห์ความปลอดภัยภาคที่สงขลา โดยได้รับมอบหมายมาให้พูดหัวข้อว่า 5 ขั้นตอนรู้ทันปัญหาเพื่อการป้องกันอุบัติเหตุ นี่มันก็คล้ายๆกับหัวข้อที่ว่า ตั้งโรงงานอย่างไรให้ปลอดภัยไร้อุบัติเหตุ หัวข้อมันมโหฬารมากเลยครับท่านผู้อ่าน
ไม่ต้องตกใจ รับรองว่าจะเอาให้จบในการบรรยายหนึ่งวัน ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปว่า ใครเอาเทคนิคห้าขั้นตอนไปใช้แล้วอุบัติเหตุไม่ลดลง ให้มาเรียนซ้ำได้
ก่อนที่กูรูวิชาทำข้าวมันไก่ จะสอนเคล็ดลับ มันก็ต้องอารัมภบท ไหว้ครูกันก่อน อ่ะ ขยับเข้ามา ดอกไม้ ใส่พาน ค่าบูชาครู สองสลึง พร้อมยัง
มีใครรู้ไหมว่า อุบัติเหตุในสากล ละ โลก นี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ถ้าเป็นสมัยมนุษย์ยุคหิน ก็คงจะตอบว่า อุบัติเหตุ เกิดจากความประมาท แบบว่า วิ่งไล่หมู หมา กา ไก่ หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่ดีๆ ไม่ทันระวัง ตกเขาตาย หรือไม่ก็ถูก เสือ สิงห์ กระทิงดุ เล่นงานเอาถึงตาย ส่วนไอ้พวกที่รอดมาได้ก็มาเล่าให้คนที่เหลือฟัง ว่าไอ้เสือใหญ่ตัวนั้น ตามันสีเหลืองเป็นประกาย เขี้ยวยาวลากพื้นแกรกๆ พละกำลังราวช้างสาร แล้วก็เติมความพิศดารเข้าไปอีกนิดหน่อย พวกลูกเล็กเด็กแดงฟังกันตาแป๋ว ตอนจบ ลงเอยว่า ถ้าจะเข้าป่าล่าสัตว์ แล้วแคล้วคลาดจากเหตุเภทภัย ก็ต้อง หาเครื่องสังเวยมาบูชา เทพเจ้า ฮูลูลู โดยที่จะต้องให้ข้าเป็นผู้จัดพิธีขึ้น และนี่เลย หินวิเศษ เอาไว้อม เวลาออกป่า ว่าแล้วก็เอาไปวาดไว้ข้างผนังถ้า เพื่อใช้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา
อ่ะ มะ...เข้ามาดูใกล้ๆ นี่คือภาพเขียนสี ที่ถ้ำแห่งหนึ่งแถวๆบ้านเชียง ที่เข้าใจว่า เซฟตี้ประจำชนเผ่า ดั้งแปบเขียนเอาไว้ ยังไม่มีผู้ใดถอดรหัสออกมาเป็นตำหรับตำราได้ แต่ถ้าคุณโทรมาตอนนี้ เราจะให้ลายแทง พร้อมตำบรรยาย ไปในราคาสองร้อยบาทถ้วน แถมเครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องชงกาแฟ เครื่องล้างจาน และอีกหลายรายการ มูลค่าเกือบสามแสนบาท โอย กรูจะบ้า ของราคาสองร้อย ของแถมสามแสน คนขายก็บ้า คนซื้อก็สติไม่ดี พอๆกัน
เข้าเรื่องก่อน เดี๋ยวคนอ่านจะด่าเอา
เขียนให้อ่านฟรีๆแล้วยังบ่น ทีเฟสบุ๊ค มีแค่สระเอตัวเดียว มีคนกดไลค์เป็นล้านๆ โอยๆๆ กรูจะบ้าอีกแล้ว เอาเป็นว่า นี่เป็นเคล็ดวิชา ในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่สามารถลด อุบัติเหตุลงได้อย่างต่อเนื่อง และฐาวรชั่วกาลนานเทิอญ เลยทีเดียว
พักโฆษณาสักครู่ (กรูยังไม่ทันเหนื่อยเลย พักโฆษณาอยู่นั่น)
จบก่อนดีกว่า หมดคาบเรียน เอาไว้คอยติดตามตอนต่อไป รับรอง จบก่อนสร้างโรงงานเสร็จแน่ครับ อาจารย์ หึๆๆๆ
วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559
เข้า บ่ เถิง เขา บ่ให่ เข่า
ในทุกๆการฝึกอบรมด้านความปลอดภัย น้อยนักที่จะได้เห็น คนสวน แม่บ้าน รปภ.มีโอกาสได้เข้ารับการฝึกอบรมกับเขาบ้าง กิจกรรมต่างๆมักจะจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มพนักงานประจำที่เป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายธุระการ ฝ่ายซ่อมบำรุงและผู้รับเหมาที่ทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต มาตรการต่างๆด้านความปลอดภัย เช่น ประชุมกลุ่มย่อย ระบบขออนุญาตทำงาน อุปกรณ์ป้องกันอันตรายและอื่นๆ ก็หาได้เข้าถึงพวกเขาไม่... ที่แย่ที่สุดก็คือ ไม่มีหน่วยงานไหนที่จะบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า พวกเขาอยู่ใต้สังกัด เขาจึงอยู่ในกลุ่มที่จะบอกเราว่า เข้า บ่ เถิงดอก เขาบ่ให้เข้า
จึงเป็นเรื่องธรรมดามากที่จะเห็นคนตัดหญ้าเข็นเครื่องตัดหญ้าโกโรโกโสไปที่ห้องซ่อมบำรุง ขอยืมประแจที่ห้องช่าง ถอดใบมีดออกมาลับเอง หรือไปขอยืมบันไดปีนตัดต้นไม้ ... ดีร้ายก็ถูกตะเพิดให้เอาไปซ่อมที่อื่น หรือดีหน่อยก็ได้รับการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อจากช่างใจดี คนพวกนี้ไม่อยู่ในเรดาร์ของการบริหารจัดการ บางคนก็ไม่ใช่พนักงานบริษัทโดยตรงแต่เป็นคนงานที่จ้างผ่านบริษัทหัวคิวอีกต่อหนึ่ง เครื่องไม้เครื่องมือก็หามาเอง เสียก็ซ่อมเอง ทำงานก็ทำเอง น้อยครั้งนักที่จะมีใครไปกำกับดูแล โดยรวมก็คือ อยู่ตามมีตามเกิด อย่างกรณีคนสวนถูกใบมีดของเครื่องตัดหญ้าบาดระหว่างที่เขาพยายามใส่ใบมีดที่เพิ่งถูกลับมาคมกริบ เหตุเกิดเพราะประแจแหวนมันไม่ลงล็อค หัวน๊อตมันใกล้กันและประแจทำมุมไม่ดี พอออกแรงดัน ประแจหลุดจากหัวน๊อต นิ้วหัวแม่มือก็กระแทกเข้ากับคมใบมีดเลือดอาบ
เมื่อไม่นานมานี้ คนงานเช็ดกระจกที่อยู่บนนั่งร้านแบบกระเช้า ตกลงมาตายคาที่สามศพเพราะสายสลิงขาด ก็อีหรอบเดียวกัน ช่างแอร์ถูกไฟดูด ขณะเข้าบริการล้างแอร์ที่กันสาดอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ถามเข้าก็ไม่รู้ว่างานนี้ใครดูแล ซ่อมบำรุง หรือฝ่ายธุระการ
ระบบต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น ต้องใช้ถุงมือหรืออุปกรณ์อะไร ต้องขออนุญาตไหม ต้องกั้นพื้นที่ ต้องติดป้ายเตือน ต้องตัดไฟไหม จิปาถะจะถูกบายพาสหมดสิ้น เพราะไม่มีเจ้าภาพดูแล บางทีสายงานและความรับผิดชอบที่กำหนดไว้ก็ไม่ชัดเจน คนทำก็งง คนคุมก็มึน
มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้ามารับจ้างรายวันในโรงงานอุตสาหกรรม เช่นคัดแยกเศษไม้ กระดาษ ถังสารเคมี ที่อาจจะต้องเสี่ยงกับตะปู สารเคมี ฝุ่นผง ขอบคมของปี๊บ ถัง และอะไรอีกมากมาย เชื่อไหมว่าพวกเขามือเปล่า บางคนรองเท้าขาดหัวแม่ตีนโผล่ ถามเข้าก็งง บอกแค่ว่า เถ้าแก่ให้มาแบบเนี๊ย
รปภ. เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในแดนสนธยา นัยหนึ่งก็เหมือนจะมีอำนาจในการขอดูบัตร ขอตรวจค้น และคัดกรองคนเข้า คนออก แต่เอาเข้าจริง กิจวัตรประจำวันของพวกเขาก็จำกัดอยู่แค่ ยืนตะเบะรถที่ผ่านเข้าออก อาจจะขอเปิดท้ายบ้างเล็กน้อย แม้จะเห็นว่ามีของอะไรอยู่ท้ายรถ หากจะขอดูใบผ่านก็ไม่กล้า กลัวจะถูกตะคอก เรื่องที่จะตรวจบัตร ตรวจสติกเกอร์ที่แสดงว่าเป็นบุคคลที่ได้รับอนุญาตสำหรับที่นั้นๆ อย่าหวัง รปภ.จะเป็นคนที่โชคดีกว่าคนอื่น ตรงที่งานไม่หนัก ไม่เหนื่อย แต่ง่วง แค่นั้นเอง นั่งเฝ้าป้อมยามไปวันๆ ที่จะเดินตรวจประตูหน้าต่าง พื้นที่หวงห้าม จุดอ่อนที่จะเกิดการโจรกรรม บุกรุก งัดแงะ ลักขโมย มันเป็นเพียงสิ่งที่อยู่ในเอกสารตอนเสนอราคา เอาเข้าจริงๆ มีที่เดียวที่เฝ้าอย่างดีก็คือป้อมยาม รปภ.บางคนควงสองกะสามกะ เพราะความที่อุตสาหกรรมบริการแบบนี้หาคนมาทำงานประจำยั่งยืนได้ยาก ส่วนมากบริษัท รปภ.จะเอารถไปรับคนมาจากชนบท เอามาแต่งเครื่องแบบ ฝึกซ้ายหัน ขวาหัน ตะเบะให้ดูทะมัดทะแมงเป็นใช้ได้ พวกเครื่องแบบ กระบอง ไฟฉายอะไรต่างๆก็หักเอาจากค่าแรงเดือนแรกๆ เหมือนจับเสือมือเปล่า เพราะฉะนั้น รปภ.สมัครเล่น เจอกับผู้ว่าจ้างแบบขอไปที ก็เลยพอดีกัน อยู่กันไป อย่าให้มีของหายก็แล้วกัน แต่ถึงจะมีของหาย บริษัท รปภ.ก็ไปหักเอาจากเงินเดือนพวกนี้อยู่ดี พอหน้าทำไร่ทำนามาถึง ก็กลับบ้านนอก พวกที่เหลือก็ควงกะกันเป็นว่าเล่น นายจ้างไม่เคยเช็ค สบายไป เผลอก็แอบงีบ
อยากรู้ว่า รปภ.อยู่กันอย่างไร ก็ลองไปตีซี้ดู ลองเข้าไปดูในป้อมยาม ดูกาต้มน้ำ ดูกะละมังกาละแหม่ง ที่เขาใช้ บางที่อนาถา ไม่ต้องพูดถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสากล หายาก
กลุ่มสุดท้าย พวกแม่บ้าน พนักงานทำความสะอาด พวกนี้ดีหน่อย ใกล้เจ้าใกล้นาย คนไหนช่างจ้อ ก็ได้รับใช้ใกล้ชิด ล้างส้วม ชงกาแฟประเคน (แล้วแต่ว่าอันไหนด่วนกว่า) งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร บางคนวางตัวเป็นเจ้าแม่อีกต่างหาก ประมาณว่าถ้าไม่ใหญ่จริง อย่าหวังว่าจะได้แตะต้องกาแฟของพวกเธอ เพราะสงวนไว้สำหรับผู้บริหารระดับซู๊งงงงงเท่านั้น
อันตรายหลักๆอย่างน้ำยาถูกระจก(ห้ามผวนคำ เพราะไม่สุภาพ) น้ำยาล้างส้วม ทำอะไรพวกเธอไม่ได้หรอก จะให้ใส่แว่นใส่ถุงมือ มันถูไม่ถนัด ดีไม่ดีเซฟตี้พูดมากอาจจะถูกวางยา เอาฟองน้ำขัดส้วม ไปขัดถ้วยกาแฟเอามาให้กินซะหรอก
ไม่ว่าจะเป็นใคร เวลาเจ็บ เวลาป่วยขึ้นมามันก็เป็นเรื่อง ที่ว่าเป็นเรื่องก็คือต้องสอบสวน ต้องหาสาเหตุ ต้องหาทางป้องกัน
มีอยู่แห่งหนึ่งที่ รปภ. มีอาการทางประสาท แล้วไม่มีใครใส่ใจ เขาเดินเทิ่งออกไปให้รถบรรทุกชนตายคาที่หน้าป้อมยาม อีกที่หนึ่ง รปภ.พกปืนมา แล้วเอามาทำความสะอาด ปืนลั่นใส่ท้องตัวเอง
อีกที่หนึ่ง รปภ.ถูกตบด้วยรองเท้าเซฟตี้สลบคาที่ ข้อหามีกิ๊กเป็นแม่บ้าน
ที่ร่ายมาทั้งหมด ถ้าเข้าไม่ถึง ไม่มีทางรู้ เชื่อดิ
เรื่องของ (กู)
ถ้าจะถามว่าตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ทำงานด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัยมาทั้งในประเทศไทยและแถบๆภูมิภาคเอเชียอะไรที่เป็นเรื่องยากที่สุด ผมตอบได้เลยว่า ทำให้คนรักชีวิตและรักษาสิทธิของตัวเองในเรื่องความปลอดภัย เป็นเรื่องยากที่สุด การทำงานแบบโลดโผนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจึงมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ พอไปเตือนไปบอกเข้าก็ฮึดฮัดฮื่อแฮ่ ฮึ่มๆๆๆๆประมาณว่าอย่ามายุ่งกะกู
อย่างกรณีพนักงานซ่อมบำรุงของบริษัทแห่งหนึ่ง กำลังทำงานซ่อมเครื่องโม่ที่เรียกว่าบอลมิล ไอ้เครื่องจักรแบบนี้มันจะมีอันตรายก็ในยามที่ต้องหยุดซ่อม ต้องมีคนเข้าไปถอดชิ้นส่วน ต้องเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งหากมีใครมาสตาร์ทเครื่องเข้าในจังหวะนั้นก็จะเป็นอันตรายสาหัส การที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยก็ต้องทำตามขั้นตอนการตัดแยกแหล่งพลังงานทั้งหลาย ติดกุญแจและแขวนป้ายเตือน ได้ใบอนุญาตทำงานเสียก่อน แต่ปรากฏว่าสภาพที่เห็นไม่เป็นไปตามนั้นเลย พวกเขาไม่ทำตามขั้นตอนความปลอดภัยเลยแม้แต่ข้อเดียว พอเรียกเซฟตี้มาซักไซร้ไล่เลียงก็ได้ความว่า “ที่นี่เขาไม่ทำกันหรอกครับพี่มันเสียเวลา”
ฟังแล้วขนหัวลุก โดยเฉพาะกลุ่มนี้ดูจากประวัติอุบัติเหตุเคยทำให้เด็กรับเหมาถูกไฟดูดตกลงมาจากบันไดหัวกระแทกขอบโต๊ะตายคาที่มาแล้วเมื่อสามเดือนก่อนที่เราจะมาเริ่มงาน หัวหน้าแก๊งนี้เคยทำคนงานตายคาท่อส่งน้ำดินมาแล้วเมื่อสี่ปีก่อนตัวเขาเองก็เกือบตาย ในที่สุดผมจึงต้องเร่งให้มีการอบรมเรื่องการขออนุญาตทำงาน การตัดแยกระบบที่เรียกว่า โลโตโต้ ภาษาอังกฤษเรียกว่าล๊อกเอ๊าท์แท่กเอ๊าท์ (นี่ถ้าพวกราชบัญดิดตะยะสะถานมาอ่านคงเคืองหน้าดู) อบรมกันไปสองวันเต็มๆ สอนวิธีการตัดพลังงาน การใช้กุญแจ การตัดระบบสาระพัด พอตอนจบพี่ๆเขายกมือถามว่าไอ้พวกเนี้ยทำไปทำไม เสียเวลาตายห่า จะซ่อมอะไรแต่ละทีมัวมาเช็คนั่นเช็คนี่ พอดีเครื่องไม่ต้องเดินกันพอดี เสียเวลาโคตรๆ
งัยหละฟังแล้วสะอึก จึงย้อนถามพี่เขาไปว่าที่ต้องเสียเวลาล๊อกนู่นนี่นั่นเพื่อให้ปลอดภัยนั้นเป็นเวลาของใคร??? เวลาของเขา???หรือเวลาของบริษัท??? ถูกต้องแล้วครับมันคือเวลาของบริษัทที่เขายอมเสียเพื่อให้ลูกจ้างปลอดภัย แต่ลูกจ้างไม่เข้าใจ กลัวนายจ้างจะผลิตได้น้อย กลัวเครื่องหยุดนานก็เลยยอมตายถวายชีวิต ทำทุกวิถีทางเพื่อนายจ้างโดยไม่สนใจว่าตัวจะเจ็บจะตาย
พอถามย้ำว่าถ้าคุณทำเร็วๆ ไม่สนจะเป็นจะตาย นายจ้างเขาจ่ายเพิ่มให้ไหม??? ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้จ่ายเพิ่มให้ตามความเร็วและงานที่ได้ แล้วพอถามเอาแบบจริงๆจังๆว่าถ้าพี่บาดเจ็บหรือพิการ หรือตายใครลำบากกับพี่ด้วย??? นายจ้างหรือก็ไม่ใช่อีก ถามว่าเขาจะเลี้ยงและส่งลูกพี่เรียนจนจบมหาลัยมั๊ย ???นายจ้างหรือ หรือกองทุนเงินทดแทน เงียบ พอถามหนักๆเข้าก็บอกว่า เป็นลูกจ้างเขาให้ทำยังงัยก็ทำ นั่นว่าเข้าไปนั่น ถามจริงๆเหอะ เข้าใจคำว่าลูกจ้างนายจ้างผิดไปมั๊ง กฏหมายแรงงานน่ะหัดไปหาอ่านซะมั่ง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณไปหาอ่านกฏหมา รัดถะทำมะนูนก่อน ก็จะดีนะจะได้เข้าใจว่า เราทำงานแลกกับค่าจ้าง เอาแรงเอาสมองเอาความชำนาญมาแลกค่าจ้างไม่ใช่เอานิ้ว เอามือ เอาแขนเอาขาเอาลูกตามาแลก พวกคนต่างชาติชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย หรือใครก็แล้วแต่ที่ผมเคยเห็นมา มันไม่ทำหรอกถ้าไม่ปลอดภัย มันไม่บ่นหรอกถ้าให้มันทำตามขั้นตอนให้เกิดความปลอดภัยสำหรับพวกมัน รู้มั๊ยเพราะอะไร เพราะมันปอดแหก ขี้กลัว รักชีวิต และที่สำคัญ ไม่ยอมเสียสิทธิในการมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยโดยเด็ดขาด มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ในสังคมประชาธิปไตย
อย่าโกรธนะถ้าจะบอกว่า เรื่องแบบนี้ คนไทยยังห่างไกล คนไทย เจ็ก ญวน แขก เหมือนกันหมดประเทศที่จะเจริญครึ่งกลางๆ ประเทศที่มีทั้งขี้หมาขี้คนกลางสะพานลอย มีหลุมให้คนเดินตกกลางถนนในเมืองหลวง ถนนหนทางมีกองอิฐกองดินมีป้ายทู่เรศๆว่าเขตก่อสร้างกูไม่ได้ห้ามถ้าจะขับรถไปชนกองหินตายเล่นๆ พอเอาเข้าจริง ขี้เกรงใจ คนในประเทศแถบนี้ไม่บ่นแม้ว่าจะต้องให้แบกให้หามเหมือนวัวเหมือนควาย ดีใจเสียอีกถ้าไม่ต้องใส่แว่น ใส่ที่กรองฝุ่นอันตราย ปอดพังไม่ว่าแต่อย่ามายุ่งกะกู เฮ่อ อนาถจิต กรูจะบ้า เอาเหอะ งั้นก็เรื่องของมึงละกัน (It’s your business!)
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559
กรรมกรต่างภาษาเซฟตี้ปากหมาต่างแดน
Emotional Brain ทำให้เราจำอะไรได้นาน จำไม่ลืม
เดือนเมษา วันหยุดยาวๆ แดดแบบนี้
แดดเปรี้ยงๆแบบนี้ทำให้หวนนึกถึงยามที่ไปตกระกำลำบากอยู่สิงคโปร์
ความที่ผืนดินบนเกาะจูล่ง นั้นอยู่กลางทะเล เวลาใกล้เที่ยงแดดตรงหัว มันจึงร้อนจนแทบละลาย มันร้อนอบอ้าว ไม่เหมือนความร้อนตรงสันเขื่อนฮูเวอร์ที่อเมริกา ที่ร้อนแห้งๆราวกับเสื้อสีดำที่ใส่ไปจะลุกติดไฟพรึบขึ้นมา นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอลมร้อนแบบทะเลทราย ยิ่งต้องลงไปเดินอยู่กลางแจ้งยิ่งเหมือนกับหนังจะหลุดออกจากเนื้อเลยทีเดียว ร้อนทะเลทรายกับร้อนทะลมันไม่เหมือนกัน ถ้าให้เลือกร้อนแบบหลังดีกว่าเยอะ เพราะเราคุ้นเคย
อุณหภูมิที่สูงกับความชื้นในอากาศที่มากทำให้เหงื่อออกเป็นน้ำเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ใต้หมวกเซฟตี้ปีกกว้างแบบคาวบอย ผมเผ้าที่รกรุงรังเปียกชุ่ม เสื้อแขนยาวแม้จะมีช่องระบายอากาศที่แผ่นหลังก็โชกไปด้วยเหงื่อ
กางเกงในฉ่ำไปด้วยน้ำพักน้ำแรง
แสงแดดหลุบลงในช่วงบ่ายตามมาด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าร้องกึกก้องแผดผ่าเปรี้ยงๆตรงนั้นตรงนี้เป็นระยะๆ เป็นแบบนี้ทุกวัน
ที่หลบฝนในตู้คอนเทนเนอร์จึงแออัดไแด้วยผู้ใช้แรงงานตัวเหม็นๆอย่างพวกเรา กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเต่า กลิ่นรองเท้าเหม็นตุ่ยๆจึงเป็นเหมือนไออบของชีวิตที่ใช้แรงงานในต่างแดน
คลุกคลีกับคนงานจนเป็นเหมือนพี่น้อง ผมจึงเป็นเหมือนทุกเรื่องยามที่เขาลำบาก
คนงานคนหนึ่งถูกตรวจพบฉี่สีม่วง
เขายืนกรานว่าไม่เคยเสพสารเสพติดอย่างที่ห้องพยาบาลของเอ็กซอนโมบิลกล่าวหา
เขาถูกส่งไปสถานีตำรวจ ถูกขังและส่งตรวจอีกสองรอบที่โรงพยาบาล ผลเป็นลบทั้งสองครั้ง แต่แทนที่จะได้รับการส่งมาทำงานเขากลับถูกแผนกเซฟตี่ของเอ๋กซอนออกคำสั่งประกาศิตส่งเขากลับบ้าน ไม่แยแสหนังสือโต้แย้งจากเรา
นั่นทำให้เราเริ่มเกลียดพวกที่ใส่เสื้อเซฟตี้แต่หาได้มีสำนึกแบบเซฟตี้จริงๆเลย มันบ้าอำนาจ ใช่เลย เซฟตี้แบบบ้าอำนาจ บ้าตัว E-ENFORCEMENT
คนงานอีกคนป่วย ผมไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขา หมอที่นั่นวินิจฉัยว่าเขาป่วยด้วยอาการ ที่เรียกว่า ชริโซฟีเนียร์ คนไข้ได้ยินเสียงในหัวของเขาเอง เหมือนมีใครมาคุยด้วยตลอด เขาพูดคนเดียว เลยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคทางจิต ที่นั่นคนไม่บ้าเข้าไปอยู่รวมกันกับคนบ้า คงบ้าได้ง่าย
คนงานรายนี้ มีลูกหนี้มากมายในไซท์งาน เพราะเขาขี้เหนียวเก็บเงินได้มาก ให้คนยืมไปเยอะ พบป่วย สิ่งที่เขาส่งมอบให้ผมคือบัญชีลูกหนี้ ป๊าดในรายชื่อเหล่านั้นมีระดับซุปเปอร์ไวเซอร์หลายคนเชียว
ปั๊กยู
หลับใน เอะใครมาหลับยาว
MICROSLEEP
เผลองีบไปติดส์นึง
สมัยเรียนปีหนึ่งที่ศิลปากร มีเพื่อนซี้คนหนึ่ง
มันชื่อไอ้มิตร ที่ว่าเป็นเพื่อนซี้ เพราะไอ้นี่มันรหัสติดกันกับผม
พออาจารย์ขานชื่อสุมิตร ถัดมาก็ต้องเป็นสุมนต์
เพื่อนคนนี้มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ มันหลับได้ทุกคาบ พออาจารย์เริ่มสอน
ผมหันไปดู ก็จะเห็นมันมีอาการแบบนี้เลย
มันพยายามเปิดเปลือกตา ชนิดที่ว่าฝืนสุดๆ ดูเหมือนเปลือกตาไอ้นี่จะหนักมาก เลยดูเหมือนมันพยายามทำตาปะหลับปะเหลือก เดี๋ยวๆตามันก็ปรือๆทำท่าจะปิดแหล่มิปิดแหล่
สับปะหงก อันนี้ไม่ต้องบรรยาย คือคนมันฝืน พยายามเอาหัวให้ตั้งเข้าไว้ พอฝืนไปสักพัก คอก็หักงุ๊บลงมา
พอรู้สึกตัว มันก็ทำท่าจดยิกๆๆๆ ไม่รู้มันจดอะไร เคยขอดูสมุดเล็คเชอร์มัน เห็นมีแต่เส้นขีดไปขีดมา ไอ้บ้าจดอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก
กระพริบตาถี่ๆ อันนี้เกิดจากความพยายามจะตื่น กระพริบไปพักเดียว จะเห็นตามันจ้องเขม็งแบบไร้จุดหมาย มันไปแล้ว ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว
ที่พูดมานั้น เป็นอาการที่เรียกว่า ไมโครสลีป
(Micro sleep) คนไทยเรียกหลับใน
เพื่อนผมหลับในมันไม่มีอันตรายกับใคร อย่างมากก็โดนอาจารย์ด่า แต่ถ้าหลับในอย่างกรณีในรูปข้างบน นั่น ตายไปสี่ศพ แตงมงแตงโมกระจายเกลื่อนถนน เป็นอุบัติเหตุพริตตี้หลับใน รถพุ่งชนคนที่ป้ายรถเมล์ อุบัติเหตุจากคนขับรถหลับใน จึงมีให้เห็นเป็นประจำ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ คนเราไม่เชื่อว่าตัวเองจะหลับใน ถามทีไรก็บอกไม่ง่วง ลองไปถามคนขับรถดู ว่า พี่ๆ ง่วงมั๊ย ร้อยทั้งร้อย มันบอกไม่ง่วง
ปีกลาย ไปเผาศพแม่ของรุ่นน้องคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างการตะลอนทัวร์ทำบุญเก้าวัดทางภาคเหนือ คนขับรถตู้หลับใน ตายไปสามศพ เจ็บอีกสี่ คนขับตื่นขึ้นมางง ถามว่าหลับในรึเปล่า มันบอกว่าปล่าว แค่พักเปลือกตาไปแวบเดียว
การหลับในเกิดขึ้นเมื่อสมองหยุดสั่งไปไปในช่วงเวลาสั้นๆ
ตั้งแต่ 2 ถึง 10 วินาที
อย่างเพื่อนผมมันงึบไปแต่ละทีประมาณ 4 วินาที
ถ้าหากไอ้นี่กำลังขับรถ ห้อตะบึงมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนที่มันงึบไป 4 วินาที รถจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ สูตรคำนวณ V = S/t แทนค่าสูตร ย้ายข้างเอา t ไปคูณกับ V แล้วแปลงหน่วยจากชั่วโมงเป็นวินาที
จะได้ว่า ระยะทางที่รถพุ่งไปในช่วง 4 วินาทีงึบๆนั้น มีค่า เท่ากับ 0.111 กิโลเมตร เอา 1000 คูณเข้าไปเพื่อแปลงหน่วยเป็นเมตร หรือเท่ากับ 111 เมตร นั่นแหละคือระยะทางที่รถพุ่งไปข้างหน้าแบบไร้คนขับ คือคนขับมันหลับไปแล้ว
รถก็เลยไม่ยอมเลี้ยวตามโค้ง รถวิ่งข้างเลน
รถวิ่งข้ามเกาะกลางถนน รถวิ่งลงเหว รถวิ่งชนป้ายรถเมล์ รถวิ่งไปตามอำเภอใจ
ใครหลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้ก็หลับยาว
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559
สมองกิ้งก่าปัญญากิ้งกือ
กิ้งก่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานเป็นหลานของเหี้ยเป็นเฮียของตะกวดเป็นทวดของแย้เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของกิ้งก่าอีกทีนึง ที่ลำดับญาติให้ฟังคร่าวๆโดยยังไม่พาดพิงใครก็เพื่อจะบอกว่าไอ้พวกเนี้ยเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภท เร็บไทล์ -Reptile ทฤษฎีมากมายอธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ส่วนลิงก็มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆจากตัวอื่นๆ ไล่ไปไล่มา มนุษย์ก็มีบรรพบุรุษมาจากตะกวด อะไรทำนองนี้ สิ่งที่แตกต่างระหว่างมนุษย์กับไอ้ตัวพวกนี้ก็คือ มนุษย์มีสมองที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่า แต่กระนัี้นก็ตาม
- สภาพวะคับขันอันตราย ถ้าเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก เหี้ย ตะกวด เจอภัยคุกคาม มันจะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น หยุดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ หรือ วิ่งลงรูหายวับ หรือหันหน้าเข้าสู้ อย่างคนเรา เดินข้ามถนนเจอรถพุ่งเข้าใส่ สมองส่วนนี้จะสั่งให้กระโดดหลบ บางคนขาแข็งขยับไม่ได้รถชนเละคาที่
- สภาวะหิวโหย เวลาคนหิว อย่าเจ๊าะแจ๊ะ เดี๋ยวจะเกิดกรณีกล่องข้าวน้อยฆ่าเมีย มนุษย์ในที่ซึ่งขาดแคลนอาหาร จะแสดงอาการดุร้ายแบบสัตว์ออกมาอย่างชัดเจน
- อารมณ์โรแมนติก สัตว์เกือบทุกชนิดจะแสดงออกเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม อย่างนกยูงจะรำแพนเพื่อเรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม มนุษย์ก็เช่นกัน เผลอก็เซลฟี่กันที มันเป็นการสั่งการแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นสัญชาติญานของการรักษาและแผ่ขยายยีนส์ของตน
- สภาพวะแสดงอำนาจ อธิบายไปแล้ว
สมองส่วนที่สองเรียกว่าสมองส่วนอารมณ์ Emotional Brain สมองส่วนนี้พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้สมองเหี้ยๆ มันทำงานได้หรือหยุดทำงาน อธิบายง่ายๆก็คือ อย่างไอ้พวกชอบข่มขืน ถ้ามันทำแล้วถูกจับได้ถูกทำโทษ สมองเหี้ยของมันก็จะจำได้ว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะมึง อย่าเที่ยวไปไล่จิ้มใครต่อใครโดยไม่สนใจกฎหมาย ว่ากันว่า ความพึงพอใจจากการกระทำจะส่งผลให้สมองจดจำ อะไรที่เกี่ยวข้องกับอารมรมณ์ คนเราจะจดจำไปชั่วชีวิต อะไรที่ไม่มีอารมณ์จะจำไม่ได้ ไม่เชื่อลองนึกชื่อครูดู เราจะจำได้แม่นหากครูคนนั้นทำอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ของเรา ชมเราจนน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง หรือด่าเรา ตบกะบาลเราหัวทิ่ม จำจนตาย
สมองส่วนถัดมา เรียกว่า Neo Cotex ส่วนนี้ พัฒนาขึ้นมาให้มีความคิด วิเคราะห์ ใช้เหตุใช้ผล มีความลึกล้ำพิศดาร มนุษย์เราถ้าหิว โกรธ หรือโมโหหน้ามืด สมองทั้งสองส่วนจะถูกบายพาส สมองเหี้ยทำงานเต็มที่
เวลาคนกินเหล้า หรือเสพยาเสพติด แอลกอฮอล์จะส่งผลทำให้สื่อประสาททำงานไม่ปกติ สมองในส่วนอื่นๆทำงานน้อยลง ที่เหลือก็เป็นสมองเหี้ยล้วนๆ จึงไม่แปลกที่คนเมาแสดงอาการบ้าๆบอๆออกมา เช่น ก้าวร้าว หื่น ไม่กลัวใคร อะไรทำนองนี้
ในแง่ของความปลอดภัย ผมบอกแล้วว่าสมองส่วนนี้สำคัญต่อการมีชีวิตรอด คนที่อยู่ในที่ซึ่งปลอดภัยมากๆ แต่สมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผลไม่ได้รับการพัฒนามามากพอ จะมีความชะล่าใจ หรือที่เรียกว่า Complacence
แม้ในสภาพอันตราย คนพวกนี้ก็จะหาเหตุผลมาอธิบายว่า หึย มึงเชื่อกูสิ ไม่มีอะไรหรอก รู้มั๊ย นี่ใคร กูทำมาไม่รู้เท่าไหร่ เอาน่ะ แป๊บเดียวเอง อะไรทำนองนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ เอาเหตุผลและอารมณ์มาควบคุมการตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ในสถานการณ์อันตรายและสมองเหี้ยหยุดทำงาน ส่วนมาก ไม่รอด
เทคนิคบางอย่าง เช่น มือชี้ปากย้ำแบบเควายที เป็นการกระตุ้นสมองส่วน Reptilian Brain ไม่ให้หยุดทำงาน เวลาพวกหน่วยซีลออกรบ จะใช้เทคนิคพูดกับตัวเอง เช่น เคลียร์ โก สะต๊อบ อะไรแบบนั้น เพื่อกระตุ้นสมองเหี้ยให้ระมัดระวัง ในวงการ Defensive Driving ก็มีเทคนิคขับรถแบบ Commentary Driving พวกครูฝึกที่จบมาจากญี่ปุ่นเขาเรียกการขับแบบเสียงสั่งสมอง
จึงไม่แปลก เวลาคนงานไปทำงานกับพวกเจ้านายดัดจริต โลภ เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ ส่วนใหญ่ไม่รอด มักมีเหตุร้ายแรง
ส่วนกิ้งกือ สมองมันคงเล็กมาก แต่ตีนมันเยอะ กิ้งกือตกท่อก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เพราะมันไม่ฉลาด แต่มันไม่รู้จักท่อมาก่อน
ความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของสมองนี้ นำไปอธิบายอะไรได้มากมาย เช่น การที่คนเราเข้าไปตายในที่อับอากาศ ก็เพราะความที่สมองส่วน Emotional Brain มันสั่งการ พอเห็นคนจะเป็นจะตายอยู่ในนั้น ก็ผลีผลามเข้าไป สมองส่วนนี้เวลามันทำงาน ใช้อารมย์ล้วนๆ เหตุผลไม่มี สมองอีกสองส่วนก็หยุดทำงานไป สุดท้ายพอเข้าไป คิดว่าจะกลั้นหายใจได้ ไปเจอแก็สพิษ กะว่ากลั้นหายใจได้สักพัก ที่ไหนได้ สมองเหี้ยแอบสั่งการอีตอนลมใกล้จะหมด ทำให้สูดหายใจเข้าไป ตายแหงแก๋ในรูนั่น
ทีนี้คงพอจะเข้าใจแล้วนะว่าไอ้พฤติกรรม เอี้ยๆ (พูดคำนี้มากๆแล้วมันกระดากปาก เจ้าคุณปู่จะโกรธมากถ้าเกิดมาได้ยินเข้า ท่านคงเอ็ดเอาเสียมากมาย- ผู้ดี สมองเหี้ยมันไม่ค่อยทำงาน แต่สมองส่วนดัดจริตจะใหญ่กว่าคนปกติ แผล่บๆๆ)
จบดีกว่า ไว้คุยกันใหม่
วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558
คำบอกเล่าของประยูร - การสัมภาษณ์พยาน
ผมกล่าวกับประยูรอย่างเป็นกันเองด้วยการแนะนำตัวและบอกให้เขาทราบว่าวัตถุประสงค์ของการสอบสวนอุบัติเหตุนั้นก็เพื่อจะค้นหาความผิดปกติของระบบบริหารจัดการ และนำไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีก และยังบอกให้ประยูรรู้ว่าเราจะสอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่ประยูรสามารถบอกเล่าได้ โดยระหว่างนั้นเราจะทำการจดบันทึก และจะให้เขาดูอีกครั้งหลังจากการพูดคุยกัน ที่ต้องบอกว่าเราจะจดคำให้การ ก็เพื่อให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดว่ากำลังถูกรีดข้อมูลและจดอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมยังอธิบายให้ประยูรทราบคร่าวๆถึงขั้นตอนในการสอบสวนอุบัติเหตุ และวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ และยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำ และข้อเสนอแนะจากประยูรที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุต่อเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ การสร้างบรรยากาศเป็นกันเองทำให้ประยูรดูผ่อนคลายลงไปมาก
ประยูรเล่าว่า ขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน ตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ฝนตกปรอยๆ เมื่อมาถึงแถวๆหน้าประตูบริษัทเกษตรรุ่งเรือง ที่อยู่ก่อนถึงทางเข้าคลังประมาณ 500 เมตร เขาเห็นอะไรตะคุ่มๆบนถนน ผมขอให้ประยูรเล่าตรงนี้ซ้ำว่า ที่เห็นอะไรตะคุ่มๆนั้นประมาณสักกี่เมตร เขากะระยะคร่าวๆจากหน้าห้องถึงหลังห้อง ก็ประมาณ 8 เมตร ตรงนี้ผมจดโน็ตลงไปข้างๆคำบอกเล่าของประยูรว่า จะหาข้อมูลเกี่ยวกับไฟตารถ ประยูรบอกว่าเขาไม่ได้แตะเบรกเลย และเขาคร่อมสิ่งนั้นไปก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนล้อหน้าเหยียบไปบนอะไรบางอย่างแตกโพละ ประยูรบอกว่าจอดลงไปดู โดยปิดไฟหน้ารถก่อน และเห็นศพกับมอเตอร์ไซค์ เขาพยายามเดินหน้า ถอยหลังจนหลุดแล้วรีบขับรถเข้าไปจอดในศูนย์จัดส่ง เสร็จแล้วจึงแจ้งกับหัวหน้ากะว่าตนไม่ค่อยสบาย จะขอกลับไปนอนพักผ่อน
ระหว่างการสัมภาษณ์ เราถามประยูรว่า เมื่อตรวจดู SW-100 พบว่าเขาใช้ความเร็วโดยเฉลี่ยเกือบๆ 70 กม./ชม. เหตุใดจึงใช้ความเร็วขนาดนั้นทั้งๆที่ฝนตกปรอยๆและเขาเองก็บอกว่ามองทางไม่ค่อยถนัด ประยูรโอดครวญว่า ผมกะว่าจะมารับแก็สอีกสักเที่ยวแล้วจะออกไปอีกรอบ ถ้าขับช้ากว่านี้ผมก็ไม่พอกินหรอกครับ พูดถึงตรงนี้ จึงขอให้เขาเล่าขยายความให้ฟัง ประยูรเล่าเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนเหนือ เลิกกับภรรยาเก่าและมีภรรยาใหม่ แต่ยังต้องมีภาระส่งเสียทั้งสองทาง รายได้หลักมาจากเขาทั้งหมด การจ่ายเงิน รวมกับค่าเที่ยว ยิ่งทำเที่ยวได้มาก ยิ่งจะพอได้ใช้จ่ายไปเดือนๆหนึ่ง
ประยูรยืนยันว่าตนได้ตรวจสอบรถก่อนออกเดินทาง และพบว่าทุกอย่ากปกติ และหลังจากเติมน้ำมัน เดินรอบรถอีกครั้ง ไฟตาก็ปกติ
การตรวจจุดเกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยการเบรก ด้านขวาเป็นเลนสวน ประยูรอ้างว่าขรธเกิดเหตุมีรถวิ่งสวนมาตนจึงไม่หักหลบไปเลนขวา ส่วนเลนซ้ายเป็นไหล่ทางมีเสาไฟส่องทาง ซึ่งพบว่าชำรุดอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด ประยูรบอกว่าหักหลบซ้ายก็ชนเสา เขาจึงขับคร่อมไป (ด้วยความเร็วประมาณ 70 กม./ชม.)
หลังจากคุยกับประยูรเสร็จ ก็พูดคุยกับหัวหน้ากะชื่อวิเชียร คนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ ท่าทางนักเลง และดูจะมีทัศนะคติเป็นลบกับทีมเซฟตี้ ด้วยเหตุที่เข้ามาตรวจและเตือนสาระพัดอย่างว่าต้องปรับปรุง และที่แย่ที่สุด ผู้จัดการของเขาเพิ่งถูกปลดไปเทื่อสองเดือนก่อนด้วยเรื่องความปลอดภัย
วิเชียรไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรมาก ถามคำตอบคำ ด้วยความที่ช่ำชองในการถูกสอบสวน เขาหอบเอารายงานการซ่อมบำรุงรถ การเปลี่ยนอะไหล่ และเอกสารเกี่ยวกับการฝึกอบรม การจัดตารางเดินรถ ตารางการพักผ่อน มาให้ดู เราได้ตรวจสอบรถพบว่าไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนใดๆ มีรอยครูดใต้ท้องรถเท่านั้นที่เห็นชัดเจน ส่วนไฟตา ใช้ได้เพียงข้างซ้ายข้างเดียว ตรงนี้ขัดกับที่ประยูรเล่าให้ฟัง
เมื่อตรวจบันทึกการบำรุงรักษา สิ่งที่ผิดปกติมากๆก็คือรถคันนี้เปลี่ยนไฟตาไแล้วถึง สี่ครั้งในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
ต่อมาการสัมภาษณ์หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุง เขาเองมีบุคคลิคคล้ายๆวิเชียร เขาโวยวายว่าสั่ง๙ื้อไฟตายี่ห้อหนึ่งแต่จัดซื้อที่นี่จะไปซื้ออีกยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นของเทียมอย่างแท้
ตรวจสอบเวลาที่ประยูรนำรถเข้าจากป้อมยามของคลัง พบว่าประมาณเที่ยงคืนสิบห้านาที ส่วนเวลาขณะเกิดเหตุประมาณเที่ยงคืนหกนาที ประยูรกลับออกไปราวๆเกือบเที่ยงคืนครึ่ง และเวลาประมาณเกือบตีสองมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่คลังแจ้งว่ารถบรรทุกเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ
ถึงตรงนี้ รู้หรือยังว่า เขาคนนั้นตายอยู่ก่อนหรือถูกเหยียบตาย รู้ได้อย่างไร
เรื่องราวยังไม่จบ ถ้าไม่สอบสวนดีๆ ก็คงจะสรุปเอาแค่ว่า ขับรถด้วยความประมาท ส่งไปอบรมให้ไม่ประมาท จบ
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ฮ๊า !!! อ่ะ จิงดี๊???
บางโรงงาน ไม่มีอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี แบบว่าถ้าเห็นสถิติอุบัติเหตุแล้วจะอ้าปากค้าง อุทานเบาๆว่า ฮ๊า..อ่ะ จิงดิ๊ ..
อย่างโรงนี้
อ่ะ โรงนี้มั่ง นี่เป็นกระติกต้มน้ำร้อน ที่ผมไปเจอเข้า เลยถามหัวหน้ากะว่า เฮ่ย!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ ที่กดก็พัง ยกขึ้นมาตูดกระติกกับตัวกระติกหลุดออกจากกัน สายไฟห้อยรุ่งริ่ง ไอ้โรงนี้ก็เหมือนกัน นานๆทีจะมีอุบัติเหตุรายงานเข้ามา ส่วนใหญ่ก็ประเภทต้องเย็บ ต้องหามแล้ว
สมมติ บริษัทหนึ่ง มีสถิติว่าทั้งปี
มีคนตาย 2 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย รวมแล้ว อุบัติเหตุรุนแรง = 2+12 = 14 ราย
แต่ทั้งปีมีรายงาน อุบัติเหตุปฐมพยาบาล 4 ราย บาดเจ็บที่พบหมอแล้วกลับบ้าน 5 ราย แค่เนี็ย รวมๆแล้ว = 9 ราย
ลองคำนวณ ค่าความโปร่งใสในการรายงานเหตุที่ไม่รุนแรง หรือ
Transparency Rate of Minor Accident = 0.03448 X 9 / 12
= 0.02586 แปลว่า บริษัทนี้ โคตรโม้
ถ้าตัวชี้วัดคำนวณออกมาได้ มากกว่าหรือ เท่ากับ 1 แสดงว่า บริษัทนี้ แหม ผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงาน พากันร่วมอกร่วมใจรายงานอุบัติเหตุแม้จะไม่รุนแรงโดยไม่ปิดๆบังๆมุบๆมิบๆ
ทีนี้ ลองมาดูว่า ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส (Nearmiss Transparency Rate) ก็คำนวณแบบนี้ครับ
Nearmiss reporting Transparency rate =
0.09667 x Nearmiss case / Minor accident case
สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง
ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊
Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044
สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง
ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊
Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044
ถ้าเป็นแบบนี้ บอกได้เลยว่า ไอ้ที่ไม่มีอุบัติเหตุมาต่อเนื่อง ต้องเล่นของชัวร์
ของเขาแรง
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ประเภทของพยาน -Types of witness
การสอบสวนอุบัติเหตุ พยานประเภทแรกที่เราต้องเจอ คือผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นคนบาดเจ็บ คนทำให้บาดเจ็บ บางทีมีหลายคน แบบว่าช่วยๆกันทำ พยานแบบนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ บางคนก็พูดไม่ได้ อย่างไอ้หนุ่มที่ไปนอนใต้ท้องรถของประยูร บางคนก็ไม่อยากพูด อย่างประยูร เพราะกลัวถูกลงโทษ กลัวติดคุกติดตะราง บางคนก็อยากพูด แต่เบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น พยานกลุ่มนี้เรียกว่า Principal Witness
จากคำให้การของประยูร มีอะไรบ้างที่ท่านสามรถจับและจดประเด็นได้ เวลาจดคำให้การ ให้จดไปตามที่เขาพูด จดแจกประเด็นเป็นข้อๆ จดไปอย่าเรียบเรียงประโยคเอง แล้วอย่ามัวไปนั่งวิเคราะห์สาเหตุ ยังก่อน อย่าใจร้อนไอ้น้อง
การสัมภาษณ์พยานก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกัน
พยานกลุ่มที่สอง คือ Eye witness พวกนี้ไม่ได้ร่วมทำอะไรกับเขา แต่ได้เห็นเหตุการณ์ เห็นนะ ไม่ใช่ เห็นเขาว่ามา แบบนั้นเรียกไทยมุง คือไม่มีใครเห็น พวกไทยมุงก็จะถามกันไปมาว่า มีอะไรกันนะ สรุปก็คือ ไม่มีใครรู้ ต่างจาก Eye witness พวกนี้เห็นจะๆ เห็นเขาทำ อย่างนั้นอย่างนี้ บางคนเห็นนานมาก จนเกิดอาการเสียวสยิวสยองกับเขาไปด้วย (อย่าคิดลึก อย่างเห็นคนกำลังถูกเครื่องตัดนิ้วหลุด ถึงกับครางซี๊ดออกมาด้วยความเสียว)
พยานกลุ่มที่สามคือ พวก Emergency team พวกนี้มาถึงที่เกิดเหตุ ใกล้กับเวลาเกิดเหตุ จะได้เห็นว่าตอนนั้นรถอยู่ตรงไหน ศพอยู่ตรงไหน นอนหงาย นอนคว่ำ ไฟมอดรึยัง ช่วยเหลือกันยังไง พวกนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้ดี
พยานอีกกลุ่ม คือพยานประเภทที่ทำงานคล้ายๆกัน พวกที่เป็นหัวหน้า พวกที่เป็นคนจ่ายงาน พวกที่จัดการประชุม พวกตรวจสองเครื่องมืออุปกรณ์ พวกนี้ เราเรียกรวมๆว่า Organizational witness
อ่ะ มาลุ้นกันต่อกับคำถามเหล่านี้ ใครตอบถูก แจกตั๋วเครื่องบินไปกลับ ยะลา ปัตตานี
ก. คนที่นอนใต้ท้องรถ ตายก่อนเข้าไปนอน หรือถูกประยูรเหยียบตาย เราจะรู้ได้ยังไง
ข. เวลาเกิดเหตุที่ตรงเป๊ะที่สุด หาได้จากที่ไหน
ค. ชายคนนั้นเขาคือใคร เหตุใดจึงมาอยู่ใต้ท้องรถ
ง.ประยูรบอกว่าขับมาช้าๆ จริงหรือ
จ.ทำไมประยูรเห็นแค่เงาตะคุ่มๆ
เห็นมั๊ย ชักมันส์แล้วใช่มั๊ย สนใจหลักสูตรนี้ ติดต่อนี่เลย http://funnysafetytraining.blogspot.com
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558
รักจางที่บางปะกง- คำบอกเล่าของประยูร
ติดคุกเพราะชำนาญการ
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มีข้อกำหนดมากมายหลายมาตรา รับกันมาเป็นทอดๆ ไล่ไปตั้งแต่มาตรา 4 ที่เ...
-
โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง โบ๊ะ ดึ่ง ดึ่ง เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ว๊าย พี่ ๆๆๆ เป็นอะไร เสียงหวีดร้องอย่างตกใจ ...
-
ผู้บริหารบางคน อาจจะคิดว่า พวกเซฟตี้ นี่มันเงินเดือนแพง ก็แหงละ งานที่พวกเซฟตี้ทำ มันโคตรยาก ขอบอก ทำให้คนไม่ขึ้นไปทำงานบนที่สูง โดยไม่...