วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

เรื่องของ (กู)

ถ้าจะถามว่าตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ทำงานด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัยมาทั้งในประเทศไทยและแถบๆภูมิภาคเอเชียอะไรที่เป็นเรื่องยากที่สุด ผมตอบได้เลยว่า ทำให้คนรักชีวิตและรักษาสิทธิของตัวเองในเรื่องความปลอดภัย เป็นเรื่องยากที่สุด การทำงานแบบโลดโผนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจึงมีให้เห็นอยู่เป็นประจำ พอไปเตือนไปบอกเข้าก็ฮึดฮัดฮื่อแฮ่ ฮึ่มๆๆๆๆประมาณว่าอย่ามายุ่งกะกู 




อย่างกรณีพนักงานซ่อมบำรุงของบริษัทแห่งหนึ่ง กำลังทำงานซ่อมเครื่องโม่ที่เรียกว่าบอลมิล ไอ้เครื่องจักรแบบนี้มันจะมีอันตรายก็ในยามที่ต้องหยุดซ่อม ต้องมีคนเข้าไปถอดชิ้นส่วน ต้องเปลี่ยนอะไหล่ ซึ่งหากมีใครมาสตาร์ทเครื่องเข้าในจังหวะนั้นก็จะเป็นอันตรายสาหัส การที่จะทำให้เกิดความปลอดภัยก็ต้องทำตามขั้นตอนการตัดแยกแหล่งพลังงานทั้งหลาย ติดกุญแจและแขวนป้ายเตือน ได้ใบอนุญาตทำงานเสียก่อน แต่ปรากฏว่าสภาพที่เห็นไม่เป็นไปตามนั้นเลย พวกเขาไม่ทำตามขั้นตอนความปลอดภัยเลยแม้แต่ข้อเดียว พอเรียกเซฟตี้มาซักไซร้ไล่เลียงก็ได้ความว่า “ที่นี่เขาไม่ทำกันหรอกครับพี่มันเสียเวลา”

 

ฟังแล้วขนหัวลุก โดยเฉพาะกลุ่มนี้ดูจากประวัติอุบัติเหตุเคยทำให้เด็กรับเหมาถูกไฟดูดตกลงมาจากบันไดหัวกระแทกขอบโต๊ะตายคาที่มาแล้วเมื่อสามเดือนก่อนที่เราจะมาเริ่มงาน หัวหน้าแก๊งนี้เคยทำคนงานตายคาท่อส่งน้ำดินมาแล้วเมื่อสี่ปีก่อนตัวเขาเองก็เกือบตาย  ในที่สุดผมจึงต้องเร่งให้มีการอบรมเรื่องการขออนุญาตทำงาน การตัดแยกระบบที่เรียกว่า โลโตโต้ ภาษาอังกฤษเรียกว่าล๊อกเอ๊าท์แท่กเอ๊าท์ (นี่ถ้าพวกราชบัญดิดตะยะสะถานมาอ่านคงเคืองหน้าดู) อบรมกันไปสองวันเต็มๆ สอนวิธีการตัดพลังงาน การใช้กุญแจ การตัดระบบสาระพัด พอตอนจบพี่ๆเขายกมือถามว่าไอ้พวกเนี้ยทำไปทำไม เสียเวลาตายห่า จะซ่อมอะไรแต่ละทีมัวมาเช็คนั่นเช็คนี่ พอดีเครื่องไม่ต้องเดินกันพอดี เสียเวลาโคตรๆ 

งัยหละฟังแล้วสะอึก จึงย้อนถามพี่เขาไปว่าที่ต้องเสียเวลาล๊อกนู่นนี่นั่นเพื่อให้ปลอดภัยนั้นเป็นเวลาของใคร??? เวลาของเขา???หรือเวลาของบริษัท???  ถูกต้องแล้วครับมันคือเวลาของบริษัทที่เขายอมเสียเพื่อให้ลูกจ้างปลอดภัย แต่ลูกจ้างไม่เข้าใจ กลัวนายจ้างจะผลิตได้น้อย กลัวเครื่องหยุดนานก็เลยยอมตายถวายชีวิต ทำทุกวิถีทางเพื่อนายจ้างโดยไม่สนใจว่าตัวจะเจ็บจะตาย

 

พอถามย้ำว่าถ้าคุณทำเร็วๆ ไม่สนจะเป็นจะตาย นายจ้างเขาจ่ายเพิ่มให้ไหม??? ก็ตอบไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้จ่ายเพิ่มให้ตามความเร็วและงานที่ได้ แล้วพอถามเอาแบบจริงๆจังๆว่าถ้าพี่บาดเจ็บหรือพิการ หรือตายใครลำบากกับพี่ด้วย??? นายจ้างหรือก็ไม่ใช่อีก ถามว่าเขาจะเลี้ยงและส่งลูกพี่เรียนจนจบมหาลัยมั๊ย ???นายจ้างหรือ หรือกองทุนเงินทดแทน เงียบ พอถามหนักๆเข้าก็บอกว่า เป็นลูกจ้างเขาให้ทำยังงัยก็ทำ นั่นว่าเข้าไปนั่น  ถามจริงๆเหอะ เข้าใจคำว่าลูกจ้างนายจ้างผิดไปมั๊ง  กฏหมายแรงงานน่ะหัดไปหาอ่านซะมั่ง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณไปหาอ่านกฏหมา รัดถะทำมะนูนก่อน ก็จะดีนะจะได้เข้าใจว่า เราทำงานแลกกับค่าจ้าง เอาแรงเอาสมองเอาความชำนาญมาแลกค่าจ้างไม่ใช่เอานิ้ว เอามือ เอาแขนเอาขาเอาลูกตามาแลก พวกคนต่างชาติชาวอเมริกัน ออสเตรเลีย หรือใครก็แล้วแต่ที่ผมเคยเห็นมา มันไม่ทำหรอกถ้าไม่ปลอดภัย มันไม่บ่นหรอกถ้าให้มันทำตามขั้นตอนให้เกิดความปลอดภัยสำหรับพวกมัน รู้มั๊ยเพราะอะไร เพราะมันปอดแหก ขี้กลัว รักชีวิต และที่สำคัญ ไม่ยอมเสียสิทธิในการมีสภาพการทำงานที่ปลอดภัยโดยเด็ดขาด มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ในสังคมประชาธิปไตย


อย่าโกรธนะถ้าจะบอกว่า เรื่องแบบนี้ คนไทยยังห่างไกล  คนไทย เจ็ก ญวน แขก เหมือนกันหมดประเทศที่จะเจริญครึ่งกลางๆ ประเทศที่มีทั้งขี้หมาขี้คนกลางสะพานลอย มีหลุมให้คนเดินตกกลางถนนในเมืองหลวง ถนนหนทางมีกองอิฐกองดินมีป้ายทู่เรศๆว่าเขตก่อสร้างกูไม่ได้ห้ามถ้าจะขับรถไปชนกองหินตายเล่นๆ  พอเอาเข้าจริง ขี้เกรงใจ คนในประเทศแถบนี้ไม่บ่นแม้ว่าจะต้องให้แบกให้หามเหมือนวัวเหมือนควาย ดีใจเสียอีกถ้าไม่ต้องใส่แว่น ใส่ที่กรองฝุ่นอันตราย ปอดพังไม่ว่าแต่อย่ามายุ่งกะกู  เฮ่อ อนาถจิต กรูจะบ้า เอาเหอะ งั้นก็เรื่องของมึงละกัน (It’s your business!)

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559

กรรมกรต่างภาษาเซฟตี้ปากหมาต่างแดน

 

Emotional Brain ทำให้เราจำอะไรได้นาน จำไม่ลืม

 

เดือนเมษา วันหยุดยาวๆ แดดแบบนี้

แดดเปรี้ยงๆแบบนี้ทำให้หวนนึกถึงยามที่ไปตกระกำลำบากอยู่สิงคโปร์

ความที่ผืนดินบนเกาะจูล่ง นั้นอยู่กลางทะเล เวลาใกล้เที่ยงแดดตรงหัว มันจึงร้อนจนแทบละลาย มันร้อนอบอ้าว ไม่เหมือนความร้อนตรงสันเขื่อนฮูเวอร์ที่อเมริกา ที่ร้อนแห้งๆราวกับเสื้อสีดำที่ใส่ไปจะลุกติดไฟพรึบขึ้นมา นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอลมร้อนแบบทะเลทราย ยิ่งต้องลงไปเดินอยู่กลางแจ้งยิ่งเหมือนกับหนังจะหลุดออกจากเนื้อเลยทีเดียว ร้อนทะเลทรายกับร้อนทะลมันไม่เหมือนกัน ถ้าให้เลือกร้อนแบบหลังดีกว่าเยอะ เพราะเราคุ้นเคย

อุณหภูมิที่สูงกับความชื้นในอากาศที่มากทำให้เหงื่อออกเป็นน้ำเปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า ใต้หมวกเซฟตี้ปีกกว้างแบบคาวบอย ผมเผ้าที่รกรุงรังเปียกชุ่ม เสื้อแขนยาวแม้จะมีช่องระบายอากาศที่แผ่นหลังก็โชกไปด้วยเหงื่อ

กางเกงในฉ่ำไปด้วยน้ำพักน้ำแรง

แสงแดดหลุบลงในช่วงบ่ายตามมาด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าร้องกึกก้องแผดผ่าเปรี้ยงๆตรงนั้นตรงนี้เป็นระยะๆ เป็นแบบนี้ทุกวัน

ที่หลบฝนในตู้คอนเทนเนอร์จึงแออัดไแด้วยผู้ใช้แรงงานตัวเหม็นๆอย่างพวกเรา กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเต่า กลิ่นรองเท้าเหม็นตุ่ยๆจึงเป็นเหมือนไออบของชีวิตที่ใช้แรงงานในต่างแดน

คลุกคลีกับคนงานจนเป็นเหมือนพี่น้อง ผมจึงเป็นเหมือนทุกเรื่องยามที่เขาลำบาก

คนงานคนหนึ่งถูกตรวจพบฉี่สีม่วง

เขายืนกรานว่าไม่เคยเสพสารเสพติดอย่างที่ห้องพยาบาลของเอ็กซอนโมบิลกล่าวหา

เขาถูกส่งไปสถานีตำรวจ ถูกขังและส่งตรวจอีกสองรอบที่โรงพยาบาล ผลเป็นลบทั้งสองครั้ง แต่แทนที่จะได้รับการส่งมาทำงานเขากลับถูกแผนกเซฟตี่ของเอ๋กซอนออกคำสั่งประกาศิตส่งเขากลับบ้าน ไม่แยแสหนังสือโต้แย้งจากเรา

นั่นทำให้เราเริ่มเกลียดพวกที่ใส่เสื้อเซฟตี้แต่หาได้มีสำนึกแบบเซฟตี้จริงๆเลย มันบ้าอำนาจ ใช่เลย เซฟตี้แบบบ้าอำนาจ บ้าตัว E-ENFORCEMENT

คนงานอีกคนป่วย ผมไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเขา หมอที่นั่นวินิจฉัยว่าเขาป่วยด้วยอาการ ที่เรียกว่า ชริโซฟีเนียร์ คนไข้ได้ยินเสียงในหัวของเขาเอง เหมือนมีใครมาคุยด้วยตลอด เขาพูดคนเดียว เลยถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคทางจิต ที่นั่นคนไม่บ้าเข้าไปอยู่รวมกันกับคนบ้า คงบ้าได้ง่าย

คนงานรายนี้ มีลูกหนี้มากมายในไซท์งาน เพราะเขาขี้เหนียวเก็บเงินได้มาก ให้คนยืมไปเยอะ พบป่วย สิ่งที่เขาส่งมอบให้ผมคือบัญชีลูกหนี้ ป๊าดในรายชื่อเหล่านั้นมีระดับซุปเปอร์ไวเซอร์หลายคนเชียว

สิงคโปร์ เป็นเมืองเล็กๆ กิจกรรมยามว่างของคนงานในวันหยุดแค่วันเดียวต่อสัปดาห์ คือการไปสุมหัวกันในย่านคนไทย กิน เที่ยว ปลดปล่อย แล้วก็มุ่งหน้ากลับหอพักให้ทันเวลา มิเช่นนั้นจะเข้าไม่ได้ คราวนี้ก็เป็นเรื่อง มีอยู่หลายหนที่คนงานไปติดค้างอยู่ข้างนอก เดือดร้อนเราทุกครั้ง
คนงานต่อยกันหน้าตาบวมปูด สอบสวนได้ความว่าเมา หมั่นใส้กันตอนจีบสาว พกความหมั่นใส้กลับมาด้วยกัน ได้จังหวะเลยต่อยกันหน้าตาเละ สุดท้ายส่งกลับทั่งคู่
การทำงานในไซท์ก่อสร้าง ในฐานะผู้รับเหมา เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ได้เจอพวกเซฟตี้แปลกๆ คนไทย ฟิลิปปินส์ แขกมาเลย์ อินเดีย แต่ที่กวรตีนที่สุดขี้เก็กที่สุด ไม่มีใครกินเซฟตี้คนไทย
ไอ้พวกนี้ใส่ชุดเอ็กซอนโมบิลแล้วราวกับมันเป็นพระเจ้า เดินมาอย่างนายแบบ กอดกระดานรองเขียน สะพายกล้อง มาจ้องเมียงๆมองๆคนงานไทยที่ทำงานบนนั่งร้าน แล้วกวักมือเรียก ไอ่น้องลงมานี่หน่อย พอคนงานปลดตะขอสายกันตก จะลงมาหามัน มันยกกล้องถ่ายรูปแชะ แล้วเอาไปใส่รายงานว่สคนงานไทยไร้สำนึกไม่คล้องสายกันตก ระยำจริงๆไอ้นี่
ไอ้แขกอินเดียอีกคน ไอ้นี่มาซุ่มๆดูคนงานเจียร์งานในซุ้มผ้ากันไฟ มีไฟร์วอทช์อยู่ใกล้แต่ไม่เกินสามเมตร ไอ้หอกนี้เดินมาหาผมโวยวายว่าคนงานทำงานแบบโลนเวิร์คเกอร์ ผมเถียงไปว่ามันไม่ใช่โลนเวิร์คกิ้ง กูยืนหัวโด่อยู่นี่ ไฟร์วอทช์ก็อยู่ด้วยตลอด เถียงมันไป มันบอกยูมีทัศนะคติไม่ดี ขอคุยกับผู้จัดการ เลยบอกมันไปว่า กูนี่ไงผู้จัดการ ไอ้ควาย มึงมีปัญญาแค่กดขี่คนงาน มึกแหกตาดูสิว่ามันไม่ใช่ Lone working ด่ามันไปอีกหลายประโยค มันเลยเดินหนีไปเลย
นึกไปนึกมา ก็แวบขึ้นมาในหัวว่า เราเคยงี่เง่าแบบนี้กับผู้รับเหมารึเปล่าวะ กรรมถึงตามสนอง แต่เอ... เราไม่เคยงี่เง่าแบบนี้เลยนี่หว่า

ปั๊กยู

 
 
 
 


 

หลับใน เอะใครมาหลับยาว

MICROSLEEP

เผลองีบไปติดส์นึง




 

สมัยเรียนปีหนึ่งที่ศิลปากร มีเพื่อนซี้คนหนึ่ง มันชื่อไอ้มิตร ที่ว่าเป็นเพื่อนซี้ เพราะไอ้นี่มันรหัสติดกันกับผม พออาจารย์ขานชื่อสุมิตร ถัดมาก็ต้องเป็นสุมนต์ เพื่อนคนนี้มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ มันหลับได้ทุกคาบ พออาจารย์เริ่มสอน ผมหันไปดู ก็จะเห็นมันมีอาการแบบนี้เลย


 มันพยายามเปิดเปลือกตา ชนิดที่ว่าฝืนสุดๆ ดูเหมือนเปลือกตาไอ้นี่จะหนักมาก เลยดูเหมือนมันพยายามทำตาปะหลับปะเหลือก เดี๋ยวๆตามันก็ปรือๆทำท่าจะปิดแหล่มิปิดแหล่

  •  สับปะหงก อันนี้ไม่ต้องบรรยาย คือคนมันฝืน พยายามเอาหัวให้ตั้งเข้าไว้ พอฝืนไปสักพัก คอก็หักงุ๊บลงมา

  •  พอรู้สึกตัว มันก็ทำท่าจดยิกๆๆๆ ไม่รู้มันจดอะไร เคยขอดูสมุดเล็คเชอร์มัน เห็นมีแต่เส้นขีดไปขีดมา ไอ้บ้าจดอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก

  • กระพริบตาถี่ๆ อันนี้เกิดจากความพยายามจะตื่น กระพริบไปพักเดียว จะเห็นตามันจ้องเขม็งแบบไร้จุดหมาย มันไปแล้ว ไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้ว


ที่พูดมานั้น เป็นอาการที่เรียกว่า ไมโครสลีป (Micro sleep) คนไทยเรียกหลับใน

 

เพื่อนผมหลับในมันไม่มีอันตรายกับใคร อย่างมากก็โดนอาจารย์ด่า แต่ถ้าหลับในอย่างกรณีในรูปข้างบน นั่น ตายไปสี่ศพ แตงมงแตงโมกระจายเกลื่อนถนน เป็นอุบัติเหตุพริตตี้หลับใน รถพุ่งชนคนที่ป้ายรถเมล์  อุบัติเหตุจากคนขับรถหลับใน จึงมีให้เห็นเป็นประจำ  สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ คนเราไม่เชื่อว่าตัวเองจะหลับใน ถามทีไรก็บอกไม่ง่วง ลองไปถามคนขับรถดู ว่า พี่ๆ ง่วงมั๊ย ร้อยทั้งร้อย มันบอกไม่ง่วง

ปีกลาย ไปเผาศพแม่ของรุ่นน้องคนหนึ่ง ประสบอุบัติเหตุ ระหว่างการตะลอนทัวร์ทำบุญเก้าวัดทางภาคเหนือ คนขับรถตู้หลับใน ตายไปสามศพ เจ็บอีกสี่ คนขับตื่นขึ้นมางง ถามว่าหลับในรึเปล่า มันบอกว่าปล่าว แค่พักเปลือกตาไปแวบเดียว

การหลับในเกิดขึ้นเมื่อสมองหยุดสั่งไปไปในช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 2 ถึง 10 วินาที อย่างเพื่อนผมมันงึบไปแต่ละทีประมาณ  4 วินาที  ถ้าหากไอ้นี่กำลังขับรถ ห้อตะบึงมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตอนที่มันงึบไป 4 วินาที รถจะวิ่งไปได้ไกลเท่าไหร่ สูตรคำนวณ  V = S/t  แทนค่าสูตร  ย้ายข้างเอา t ไปคูณกับ V แล้วแปลงหน่วยจากชั่วโมงเป็นวินาที จะได้ว่า ระยะทางที่รถพุ่งไปในช่วง 4 วินาทีงึบๆนั้น มีค่า เท่ากับ 0.111 กิโลเมตร เอา 1000 คูณเข้าไปเพื่อแปลงหน่วยเป็นเมตร  หรือเท่ากับ 111 เมตร นั่นแหละคือระยะทางที่รถพุ่งไปข้างหน้าแบบไร้คนขับ คือคนขับมันหลับไปแล้ว รถก็เลยไม่ยอมเลี้ยวตามโค้ง  รถวิ่งข้างเลน รถวิ่งข้ามเกาะกลางถนน รถวิ่งลงเหว รถวิ่งชนป้ายรถเมล์ รถวิ่งไปตามอำเภอใจ ใครหลบได้ก็หลบ หลบไม่ได้ก็หลับยาว

 

 
 
เรื่องหลับในจึงเป็นเรื่องหนึ่งในงานความปลอดภัย มันเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากมาก หากผู้คนยังไม่เชื่อว่า


·       ก. มนุษย์ เป็นสัตว์เลือดอุ่น สมองมนุษย์บางส่วนสามารถหยุดทำงานหรือเกิดอาการ Micro sleep ได้กันทุกคน เรื่องนี้ฝรั่งมันทำวิจัยกันมามากมาย ทั่วโลกเขาเชื่อว่าคนในโลกนี้หลับในได้ทุกคน แต่คนไทย เราเป็นประเทศที่มีเอกราชมาช้านาน มึงอย่ามาหลอกกูเสียให้ยาก คนไทยไม่หลับในโว้ย นั่นมันเป็นการ  พักสายตาเถิดหนาคนดี หลับลงตรงนี้ ที่ที่มีแต่เราสองคน ... เหยียบมอไซด์ เหยียบหมา เหยียบคน สับสน หลายอย่าง บางเวลาต้องการ...ฮัมๆๆๆ


·       ข. ขนาดเชื่อว่าหลับในได้ มันยังฝืนขับต่อ คนประเทศไหนวะเนี่ย


 

ป้องกันอย่างไรไม่ให้หลับใน

 

 งานวิจัยพบว่า คนจะง่วงหนักหนาสาหัสแบบเอาไม่อยู่ช่วง ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า โดยเฉพาะคนที่อดนอน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า สลีปเดปท์ หรือพวกติดหนี้การนอน  พวกอดนอนมากๆ สมองบทมันจะหยุดเข้าสู่สภาวะหลับใน มันไม่บอกไม่กล่าว มันหลับไปเลย อย่างเพื่อนผม เห็นนั่งตาแป๋ว มันไม่มีวิญญานแล้ว มันหลับฝันถึงอีเป้าไปตั้งนานแล้ว (สุดท้ายอีเป้าสาวอักษรก็หักอกมัน)

 

เพราะฉะนั้น นี่คือคำแนะนำสำหรับพี่ๆน้องๆที่จะต้องขับรถกลับบ้านเก่าช่วงสงกรานต์

 

 

1.     หลีกเลี่ยง สภาพที่ต้องอดหลับอดนอนที่ทำให้นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง อย่างเช่น เล่นเฟส แช็ทคุยกับสาว สไกป์เสียวกับสาวออนไลน์ ดูหนัง(โป้) หนังอื่นมันไม่ดูดึกขนาดนั้นแน่นอน

 

2.     แก้ไขสาเหตุที่ทำให้รบกวนการนอน เช่นที่นอนหัดซักซะบ้าง คันคะเยอ ร้อนอบอ้าว เสียงดังรบกวน มีเด็กร้องโยเย แนะนำให้ไปนอนที่อื่นที่หลับสบายๆขึ้น กึ๋ยๆๆ แต่วธีนี้เมียจับได้อาจจะเกิดอาการแมคโครสลีปขึ้นได้นะครับ

 

3.     เลี่ยงการเข้ากะกลางคืน หรือเปลี่ยนกะโดยที่คุณไม่ได้พักผ่อนเพียงพอมาก่อน ประเภทควงกะ ต่อกะ มั่วไปหมด

 

4.     เลี่ยงการขับรถในเวลากลางคืน โดยเฉพาะช่วงไพรม์ไทม์ ตีหนึ่งถึง หกโมงเช้า

 

5.     ถ้าคุณทำกะกลางคืนเป็นปกติ อย่าลืมว่าเวลานอนของคุณมันกลับกันกับคนอื่น ถึงเวลานอนต้องนอน อย่าไปแรดไปทั่ว

 

6.     การดื่มเหล้า หรือกินยาบางอย่างจะทำให้ง่วง อย่างยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก

 

7.     ขับรถยาวเกินกว่า 15 ชั่วโมง แบบนี้หลับในชัวร์

 

 

พูดมาถึงตรงนี้  เมื่อไหร่ที่คุณมีอาการแบบไอ้มิตรเพื่อนผม รีบเลย หาที่แวะ พักผ่อน ล้างหน้าล้างตา หาที่เหมาะนอนพักสักงีบ การได้หลับ เป็นวิธีเดียวของการแก้ปัญหาหลับใน กาแฟ ลิโพ โอเลี้ยง เอ็มร้อย กินเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่หรอกครับ เพราะอาการ ไมโครสลีป มันเป็นระบบออโต้ของสมอง เขาเรียกว่า อินโวลันทารี่ คือมันทำงานของมันเอง มันหยุดของมันเอง ใครก็ฝืนไม่ได้ ต่อให้ ดึงหู แลบลิ้น ตะโกน หยิก ตบหน้าตัวเอง ทำสาระพัด แป็บเดียว หลับปุ๊บ อยากตื่น มะ จะตบให้   ส่วนไอ้นี่ หลับยาม วันหลังไปหลับในป้อมนะไอ้น้อง  ไปหลับข้างใน พี่เป็นห่วง
 


ษมน รจนาพัฒน์                            
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

สมองกิ้งก่าปัญญากิ้งกือ

เคยได้ยินมั๊ย สมองกิ้งก่าปัญญากิ้งกือ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ เพราะเพิ่งจะคิดหัวข้อขึ้นมาตะกี้นี้เอง เอาละจะขยายความให้ฟัง
กิ้งก่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานเป็นหลานของเหี้ยเป็นเฮียของตะกวดเป็นทวดของแย้เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ของกิ้งก่าอีกทีนึง ที่ลำดับญาติให้ฟังคร่าวๆโดยยังไม่พาดพิงใครก็เพื่อจะบอกว่าไอ้พวกเนี้ยเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภท เร็บไทล์ -Reptile ทฤษฎีมากมายอธิบายว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง ส่วนลิงก็มีวิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆจากตัวอื่นๆ ไล่ไปไล่มา มนุษย์ก็มีบรรพบุรุษมาจากตะกวด อะไรทำนองนี้ สิ่งที่แตกต่างระหว่างมนุษย์กับไอ้ตัวพวกนี้ก็คือ มนุษย์มีสมองที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่า แต่กระนัี้นก็ตาม
 
สมองของมนุษย์ก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า Reptilian Brain หรือสมองสัตว์เลื้อยคลาน เอาง่ายๆ เรียกว่าสมองเหี้ย ดีมั๊ย เข้าใจง่ายดี ติดมาเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้น เวลาใครด่าว่า ไอ้เหี้ย อย่าไปโกรธเขา เพราะมึงกับกูก็มีปู่คนเดียวกัน อิอิ
สมองส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายขั้นพื้นฐานทั้งหมด เช่น การเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิร่างกาย ความก้าวร้าว ดุดัน อารมณ์ทางเพศ และอื่นๆที่สมองส่วนอื่นคุมมันไม่ได้ เช่น ดีเจคนหนึ่ง ถูกขับรถปาดหน้า สมองเหี้ยเลยทำงาน เป็นสันดานของการรักษาอาณาเขตของสัตว์ ใครหยามไม่ได้ มันต้องแสดงอำนาจ ดีเจคนดังกล่าวเลยแสดงพฤติกรรมเหี้ยๆออกมา มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน สมองส่วนนี้สามารถถูกกระตุ้นด้วยสถานการณ์ต่างๆมากมาย ได้แก่
  • สภาพวะคับขันอันตราย ถ้าเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก เหี้ย ตะกวด เจอภัยคุกคาม มันจะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น หยุดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ หรือ วิ่งลงรูหายวับ หรือหันหน้าเข้าสู้ อย่างคนเรา เดินข้ามถนนเจอรถพุ่งเข้าใส่ สมองส่วนนี้จะสั่งให้กระโดดหลบ บางคนขาแข็งขยับไม่ได้รถชนเละคาที่
  • สภาวะหิวโหย เวลาคนหิว อย่าเจ๊าะแจ๊ะ เดี๋ยวจะเกิดกรณีกล่องข้าวน้อยฆ่าเมีย มนุษย์ในที่ซึ่งขาดแคลนอาหาร จะแสดงอาการดุร้ายแบบสัตว์ออกมาอย่างชัดเจน
  • อารมณ์โรแมนติก สัตว์เกือบทุกชนิดจะแสดงออกเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม อย่างนกยูงจะรำแพนเพื่อเรียกความสนใจจากเพศตรงข้าม มนุษย์ก็เช่นกัน เผลอก็เซลฟี่กันที มันเป็นการสั่งการแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เป็นสัญชาติญานของการรักษาและแผ่ขยายยีนส์ของตน
  • สภาพวะแสดงอำนาจ อธิบายไปแล้ว
สมองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเซฟตี้โดยตรง เพราะ ความที่มันเป็นส่วนที่มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เลื้อยคลาน พอมนุษย์มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ภัยคุกคามถูกกำจัดไปเกือบหมด สิ่งที่ตามมาก็คือ ความชะล่าใจ ข้ามถนนก็เล่นมือถือไปด้วย ขับรถเล่นเฟสบุ๊ค ทำงานในโรงงานอะไรก็ปลอดภัยไปหมด กูเลยไม่สนใจอะไร สุดท้ายม่องเท่ง เพราะสมองเหี้ยไม่ทำงาน
สมองส่วนที่สองเรียกว่าสมองส่วนอารมณ์ Emotional Brain สมองส่วนนี้พัฒนาขึ้นเพื่อทำให้สมองเหี้ยๆ มันทำงานได้หรือหยุดทำงาน อธิบายง่ายๆก็คือ อย่างไอ้พวกชอบข่มขืน ถ้ามันทำแล้วถูกจับได้ถูกทำโทษ สมองเหี้ยของมันก็จะจำได้ว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะมึง อย่าเที่ยวไปไล่จิ้มใครต่อใครโดยไม่สนใจกฎหมาย ว่ากันว่า ความพึงพอใจจากการกระทำจะส่งผลให้สมองจดจำ อะไรที่เกี่ยวข้องกับอารมรมณ์ คนเราจะจดจำไปชั่วชีวิต อะไรที่ไม่มีอารมณ์จะจำไม่ได้ ไม่เชื่อลองนึกชื่อครูดู เราจะจำได้แม่นหากครูคนนั้นทำอะไรเกี่ยวกับอารมณ์ของเรา ชมเราจนน้ำตาไหลพรากด้วยความซาบซึ้ง หรือด่าเรา ตบกะบาลเราหัวทิ่ม จำจนตาย

สมองส่วนถัดมา เรียกว่า Neo Cotex ส่วนนี้ พัฒนาขึ้นมาให้มีความคิด วิเคราะห์ ใช้เหตุใช้ผล มีความลึกล้ำพิศดาร มนุษย์เราถ้าหิว โกรธ หรือโมโหหน้ามืด สมองทั้งสองส่วนจะถูกบายพาส สมองเหี้ยทำงานเต็มที่
เวลาคนกินเหล้า หรือเสพยาเสพติด แอลกอฮอล์จะส่งผลทำให้สื่อประสาททำงานไม่ปกติ สมองในส่วนอื่นๆทำงานน้อยลง ที่เหลือก็เป็นสมองเหี้ยล้วนๆ จึงไม่แปลกที่คนเมาแสดงอาการบ้าๆบอๆออกมา เช่น ก้าวร้าว หื่น ไม่กลัวใคร อะไรทำนองนี้

ในแง่ของความปลอดภัย ผมบอกแล้วว่าสมองส่วนนี้สำคัญต่อการมีชีวิตรอด คนที่อยู่ในที่ซึ่งปลอดภัยมากๆ แต่สมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผลไม่ได้รับการพัฒนามามากพอ จะมีความชะล่าใจ หรือที่เรียกว่า Complacence
แม้ในสภาพอันตราย คนพวกนี้ก็จะหาเหตุผลมาอธิบายว่า หึย มึงเชื่อกูสิ ไม่มีอะไรหรอก รู้มั๊ย นี่ใคร กูทำมาไม่รู้เท่าไหร่ เอาน่ะ แป๊บเดียวเอง อะไรทำนองนี้ กล่าวง่ายๆก็คือ เอาเหตุผลและอารมณ์มาควบคุมการตัดสินใจ ซึ่งส่วนใหญ่ในสถานการณ์อันตรายและสมองเหี้ยหยุดทำงาน ส่วนมาก ไม่รอด
เทคนิคบางอย่าง เช่น มือชี้ปากย้ำแบบเควายที เป็นการกระตุ้นสมองส่วน Reptilian Brain ไม่ให้หยุดทำงาน เวลาพวกหน่วยซีลออกรบ จะใช้เทคนิคพูดกับตัวเอง เช่น เคลียร์ โก สะต๊อบ อะไรแบบนั้น เพื่อกระตุ้นสมองเหี้ยให้ระมัดระวัง ในวงการ Defensive Driving ก็มีเทคนิคขับรถแบบ Commentary Driving พวกครูฝึกที่จบมาจากญี่ปุ่นเขาเรียกการขับแบบเสียงสั่งสมอง 
จึงไม่แปลก เวลาคนงานไปทำงานกับพวกเจ้านายดัดจริต โลภ เห็นแก่ตัว บ้าอำนาจ ส่วนใหญ่ไม่รอด มักมีเหตุร้ายแรง
ส่วนกิ้งกือ สมองมันคงเล็กมาก แต่ตีนมันเยอะ กิ้งกือตกท่อก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เพราะมันไม่ฉลาด แต่มันไม่รู้จักท่อมาก่อน

ความเข้าใจเรื่องพื้นฐานของสมองนี้ นำไปอธิบายอะไรได้มากมาย เช่น การที่คนเราเข้าไปตายในที่อับอากาศ ก็เพราะความที่สมองส่วน Emotional Brain มันสั่งการ พอเห็นคนจะเป็นจะตายอยู่ในนั้น ก็ผลีผลามเข้าไป สมองส่วนนี้เวลามันทำงาน ใช้อารมย์ล้วนๆ เหตุผลไม่มี สมองอีกสองส่วนก็หยุดทำงานไป สุดท้ายพอเข้าไป คิดว่าจะกลั้นหายใจได้ ไปเจอแก็สพิษ กะว่ากลั้นหายใจได้สักพัก ที่ไหนได้ สมองเหี้ยแอบสั่งการอีตอนลมใกล้จะหมด ทำให้สูดหายใจเข้าไป ตายแหงแก๋ในรูนั่น

ทีนี้คงพอจะเข้าใจแล้วนะว่าไอ้พฤติกรรม เอี้ยๆ (พูดคำนี้มากๆแล้วมันกระดากปาก เจ้าคุณปู่จะโกรธมากถ้าเกิดมาได้ยินเข้า ท่านคงเอ็ดเอาเสียมากมาย- ผู้ดี สมองเหี้ยมันไม่ค่อยทำงาน แต่สมองส่วนดัดจริตจะใหญ่กว่าคนปกติ แผล่บๆๆ)

จบดีกว่า ไว้คุยกันใหม่

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คำบอกเล่าของประยูร - การสัมภาษณ์พยาน

ประยูร กับผม สบตากันแว่บหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดคุย เขายกมือไหว้แบบกลัวๆ สายตาคู่นั้นหวาดหวั่นกับการที่จะต้องนั่งอยู่เบื้องหน้าผู้จัดการความปลอดภัย และคณะทำงานสอบสวนอุบัติเหตุอีกสองสามคน
ผมกล่าวกับประยูรอย่างเป็นกันเองด้วยการแนะนำตัวและบอกให้เขาทราบว่าวัตถุประสงค์ของการสอบสวนอุบัติเหตุนั้นก็เพื่อจะค้นหาความผิดปกติของระบบบริหารจัดการ และนำไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีก และยังบอกให้ประยูรรู้ว่าเราจะสอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่ประยูรสามารถบอกเล่าได้ โดยระหว่างนั้นเราจะทำการจดบันทึก และจะให้เขาดูอีกครั้งหลังจากการพูดคุยกัน ที่ต้องบอกว่าเราจะจดคำให้การ ก็เพื่อให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดว่ากำลังถูกรีดข้อมูลและจดอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผมยังอธิบายให้ประยูรทราบคร่าวๆถึงขั้นตอนในการสอบสวนอุบัติเหตุ และวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ และยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำ และข้อเสนอแนะจากประยูรที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุต่อเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ การสร้างบรรยากาศเป็นกันเองทำให้ประยูรดูผ่อนคลายลงไปมาก

ประยูรเล่าว่า ขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน ตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ฝนตกปรอยๆ เมื่อมาถึงแถวๆหน้าประตูบริษัทเกษตรรุ่งเรือง ที่อยู่ก่อนถึงทางเข้าคลังประมาณ 500 เมตร เขาเห็นอะไรตะคุ่มๆบนถนน ผมขอให้ประยูรเล่าตรงนี้ซ้ำว่า ที่เห็นอะไรตะคุ่มๆนั้นประมาณสักกี่เมตร เขากะระยะคร่าวๆจากหน้าห้องถึงหลังห้อง ก็ประมาณ 8 เมตร ตรงนี้ผมจดโน็ตลงไปข้างๆคำบอกเล่าของประยูรว่า จะหาข้อมูลเกี่ยวกับไฟตารถ ประยูรบอกว่าเขาไม่ได้แตะเบรกเลย และเขาคร่อมสิ่งนั้นไปก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนล้อหน้าเหยียบไปบนอะไรบางอย่างแตกโพละ ประยูรบอกว่าจอดลงไปดู โดยปิดไฟหน้ารถก่อน และเห็นศพกับมอเตอร์ไซค์ เขาพยายามเดินหน้า ถอยหลังจนหลุดแล้วรีบขับรถเข้าไปจอดในศูนย์จัดส่ง เสร็จแล้วจึงแจ้งกับหัวหน้ากะว่าตนไม่ค่อยสบาย จะขอกลับไปนอนพักผ่อน

ระหว่างการสัมภาษณ์ เราถามประยูรว่า เมื่อตรวจดู SW-100 พบว่าเขาใช้ความเร็วโดยเฉลี่ยเกือบๆ 70 กม./ชม. เหตุใดจึงใช้ความเร็วขนาดนั้นทั้งๆที่ฝนตกปรอยๆและเขาเองก็บอกว่ามองทางไม่ค่อยถนัด ประยูรโอดครวญว่า ผมกะว่าจะมารับแก็สอีกสักเที่ยวแล้วจะออกไปอีกรอบ ถ้าขับช้ากว่านี้ผมก็ไม่พอกินหรอกครับ พูดถึงตรงนี้  จึงขอให้เขาเล่าขยายความให้ฟัง ประยูรเล่าเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนเหนือ เลิกกับภรรยาเก่าและมีภรรยาใหม่ แต่ยังต้องมีภาระส่งเสียทั้งสองทาง รายได้หลักมาจากเขาทั้งหมด การจ่ายเงิน รวมกับค่าเที่ยว ยิ่งทำเที่ยวได้มาก ยิ่งจะพอได้ใช้จ่ายไปเดือนๆหนึ่ง

ประยูรยืนยันว่าตนได้ตรวจสอบรถก่อนออกเดินทาง และพบว่าทุกอย่ากปกติ และหลังจากเติมน้ำมัน เดินรอบรถอีกครั้ง ไฟตาก็ปกติ
การตรวจจุดเกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยการเบรก ด้านขวาเป็นเลนสวน ประยูรอ้างว่าขรธเกิดเหตุมีรถวิ่งสวนมาตนจึงไม่หักหลบไปเลนขวา ส่วนเลนซ้ายเป็นไหล่ทางมีเสาไฟส่องทาง ซึ่งพบว่าชำรุดอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด ประยูรบอกว่าหักหลบซ้ายก็ชนเสา เขาจึงขับคร่อมไป (ด้วยความเร็วประมาณ 70 กม./ชม.)

หลังจากคุยกับประยูรเสร็จ ก็พูดคุยกับหัวหน้ากะชื่อวิเชียร คนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ ท่าทางนักเลง และดูจะมีทัศนะคติเป็นลบกับทีมเซฟตี้ ด้วยเหตุที่เข้ามาตรวจและเตือนสาระพัดอย่างว่าต้องปรับปรุง และที่แย่ที่สุด ผู้จัดการของเขาเพิ่งถูกปลดไปเทื่อสองเดือนก่อนด้วยเรื่องความปลอดภัย
วิเชียรไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรมาก ถามคำตอบคำ ด้วยความที่ช่ำชองในการถูกสอบสวน เขาหอบเอารายงานการซ่อมบำรุงรถ การเปลี่ยนอะไหล่ และเอกสารเกี่ยวกับการฝึกอบรม การจัดตารางเดินรถ ตารางการพักผ่อน มาให้ดู เราได้ตรวจสอบรถพบว่าไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนใดๆ มีรอยครูดใต้ท้องรถเท่านั้นที่เห็นชัดเจน ส่วนไฟตา ใช้ได้เพียงข้างซ้ายข้างเดียว ตรงนี้ขัดกับที่ประยูรเล่าให้ฟัง
เมื่อตรวจบันทึกการบำรุงรักษา สิ่งที่ผิดปกติมากๆก็คือรถคันนี้เปลี่ยนไฟตาไแล้วถึง สี่ครั้งในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
ต่อมาการสัมภาษณ์หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุง เขาเองมีบุคคลิคคล้ายๆวิเชียร เขาโวยวายว่าสั่ง๙ื้อไฟตายี่ห้อหนึ่งแต่จัดซื้อที่นี่จะไปซื้ออีกยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นของเทียมอย่างแท้

ตรวจสอบเวลาที่ประยูรนำรถเข้าจากป้อมยามของคลัง พบว่าประมาณเที่ยงคืนสิบห้านาที ส่วนเวลาขณะเกิดเหตุประมาณเที่ยงคืนหกนาที ประยูรกลับออกไปราวๆเกือบเที่ยงคืนครึ่ง และเวลาประมาณเกือบตีสองมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่คลังแจ้งว่ารถบรรทุกเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ

ถึงตรงนี้ รู้หรือยังว่า เขาคนนั้นตายอยู่ก่อนหรือถูกเหยียบตาย รู้ได้อย่างไร
เรื่องราวยังไม่จบ ถ้าไม่สอบสวนดีๆ ก็คงจะสรุปเอาแค่ว่า ขับรถด้วยความประมาท ส่งไปอบรมให้ไม่ประมาท จบ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฮ๊า !!! อ่ะ จิงดี๊???

การไม่รายงานอุบัติเหตุถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆในสังคมเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ไทย (ตัวดีเลย) จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน พอๆกัน ประเภทที่ว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเลือดสาด นิ้วหลุด แขนกุด ขาหัก ชักกระแด่วๆ หรือตายคาที่แล้วละก็ อย่าหวังว่าจะมีตัวเลขไปโผล่ในสถิติอุบัติเหตุ ถ้าจะรายงานก็จะพยายามๆเป็นที่สุดที่จะทำให้มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อย จากบาดเจ็บปางตาย ก็จะบ่ายเบี่ยงว่าแค่ปฐมพยาบาล ที่แผลบานเบอะก็จะบอกแผลเท่าปิมด ส่วนไอ้ที่จะมาคาดหวังให้รายงานเหตุเกือบๆเฉี่ยวๆนะเรอะ อย่าหวัง ใครจะบอกเมิงว่ากูเกือบตาย
บางโรงงาน ไม่มีอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี แบบว่าถ้าเห็นสถิติอุบัติเหตุแล้วจะอ้าปากค้าง อุทานเบาๆว่า ฮ๊า..อ่ะ จิงดิ๊ ..
อย่างโรงนี้

 

ดูสถิติย้อนหลัง หลายปีก่อน ไม่มีอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานเป็นเวลาสองสามปีต่อเนื่อง ไม่มีอุบัติเหตุขั้นที่ต้องหามดหาหมอ ไม่มีอุบัติเหตุขั้นปฐมพยาบาล ไม่มี Nearmiss ป๊าด!! โรงงานอะไรมันจะปลอดภัยขนาดน๊าน

อ่ะ โรงนี้มั่ง นี่เป็นกระติกต้มน้ำร้อน ที่ผมไปเจอเข้า เลยถามหัวหน้ากะว่า เฮ่ย!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ ที่กดก็พัง ยกขึ้นมาตูดกระติกกับตัวกระติกหลุดออกจากกัน สายไฟห้อยรุ่งริ่ง ไอ้โรงนี้ก็เหมือนกัน นานๆทีจะมีอุบัติเหตุรายงานเข้ามา ส่วนใหญ่ก็ประเภทต้องเย็บ ต้องหามแล้ว
 
 
สภาพที่ไม่ปลอดภัยพวกนี้มันขัดแย้งกับตัวเลขรายงานสถิติอุบัติเหตุ มันเป็นไปได้ยังไง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ได้รับอันตรายมั่งเลยเชียวรึ ถามจริงๆ ครั้นพอไล่เลียงไป ส่วนใหญ่ก็จะตอบได้ไม่ค่อยเต็มเสียง เพราะจำนนด้วยหลักฐาน อย่างโรงงานนี้ ทุกๆเดือน เซฟตี้จะต้องคอยไล่เติมเวชภัณฑ์อย่างพวก พลาสเตอร์ปิดแผล ยาแดง ทิงเจอร์ ในตู้ยาทุกเดือน พอถามว่า ไม่มีคนบาดเจ็บแล้วยา หายไปไหน แหะๆๆ มีครับ แต่เขาไม่ค่อยรายงาน ส่วนเนียร์มิสอะไรเนี่ย ไม่ค่อยมีครับ มีแต่เนียร์มิด คือเกือบมิดครับ อย่างรายที่แล้ว เหยียบตะปูฉั๊ว เกือบมิด
 
สมัยที่ผมยังไม่เกิด เกือบแล้วตอนนั้น ยุค ปี ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2473 สมัยนั้นคนไทยยังนุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ นมโตงเตง เพราะเพิ่งเลิกทาษมาได้ไม่กี่ปี สมัยนั้นมีฝรั่งคนหนึ่งชื่อ เฮอร์เบิร์ต วิลเลี่ยม ไฮน์ริช เป็นคนอเมริกัน ถ้าไปถามคนอเมริกันว่า แกเป็นคนที่ไหน มันคงบอกต่อๆไปได้อีกว่า พ่อแม่ต้นตระกูลฉันมาจากอังกฤษ มาจากที่นู่นที่นี่ เพราะประเทศอเมริกานั้นมาจากหลายเชื้อชาติ ไม่เหมือนคนไทย ที่มาจากเทือกเขาอันไต แล้วอพยพมารวมกันแถวๆเขายายเที่ยง ตั้งบ้านแปลงเมืองมาจนถึงยุคท่านผู้นำคนปัจจุบัน ส่วนไฮน์ริชนั้นเขาเป็นผู้ช่วยซุป ตำแหน่งขณะนั้นกว่าจะได้เป็นซุปคงนานพอดู เหมือนสมัยนี้แหละ ต้องไต่เต้า หรือเอาเต้าไต่ จากคนงานกระจอกๆ มาเป็นคนงานอาวุโส แล้วก็ได้เลื่อนมาเป็นหลีด เป็นอยู่พักใหญ่ ได้เลื่อนเป็นหลีดอาวุโส แล้วได้ขึ้นเป็นซุป เป็น(ทำเสียงยาวๆ แบบนานมาก) จนใกล้แก่ ถึงได้เลื่อนเป็นซุปอาวุโส กว่าจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการ เกษียนพอดีแฮ่
ไฮน์ริชนี่เขาเป็นแค่ผู้ช่วยซุป อยู่ในแผนกวิศวกรรมและตรวจสอบ ของบริษัทประกันภัยทราเวลเลอร์ ไม่รู้เกี่ยวกับประกันกรุงศรี ประกันภัยเทเวศน์ ประกันภัยอะไรๆมากมายในบ้านเรามั่งรึเปล่า ประเภทมาไวเคลมเร็ว ไฮน์ริชเขาก็อยู่ในแผนกวิศวกรรมและตรวจสอบ เลยต้องเห็นใบเคลมหลั่งไหลผ่านมือเข้ามา  สมัยนั้นยังไม่มีบล็อก ไฮน์ริชคงจะเซ็งมาก เหมือนผมนี่แหละ เขาเลยเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Industrial Accident Prevention, A Scientific Approach แปล
เป็นไทยว่า การป้องกันอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ถ้ามาขายบ้านเรา เจ๊ง!! ถ้าตั้งชื่อหนังสือว่า การป้องกันอุบัติเหตุด้วยไสยศาสตร์ รับรองขายเกลี่ยง มันเป็นการบริหารจัดการ ที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ครับ มันต่างจากการบริหารจัดการแบบเอเชีย ที่ใช้หลักการบริหารจัดการตามยะถากรรม Yathakam Approach !
 
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นวิศวกร เขาจึงเริ่มต้นด้วยตัวเลข เขาพบว่า ในการเกิดอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บรุนแรง 1 ครั้ง จะมีอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บเล็กน้อย 29 ครั้ง และมีอุบัติเหตุที่ไม่มีการบาดเจ็บเลย 300 ครั้ง
 
 
 ทฤษฎีของเขา เป็นที่ฮือฮามาก สมัยนั้น พวกที่อวยก็แหม ชื่นชม เอามาต่อยอด ใช้กันในเรื่องการสร้างความปลอดภัยตามลัทธิ BBS ส่วนพวกที่เห็นต่างก็ก่นด่าเหยียดหยามแอนตี้ว่า ตัวเลขแกเนี่ยมันโคตรมั่ว ตัวเลขพวกนี้เชื่อถือไม่ได้ ซุปรายงานมั่งไม่รายงานมั่ง ของจริงอาจจะน้อยกว่านี้หรือมากว่านี้ สาระพัดจะเถียง คนมันไม่เห็นด้วยมันก็หาเรื่องเถียงไปเรื่อย ผมเอง อยากทดสอบทฤษฎีของไฮน์ริช แต่ยังหาคนอาสาไม่ได้ ถ้าสนใจแจ้งมาหลังไมค์นะครับ วิธีทดสอบง่ายมาก
เราจะหาผู้สังเกตุการณ์สักสองสามคน ไปทำการทดลองกัน โดยกะว่าจะเอาแถวๆมอเตอร์เวย์ขาออก เอาแถวๆชลบุรีก็ได้ วิธีการก็คือ ผู้ทดสอบจะวิ่งข้ามถนนไปๆมาๆ ข้ามไปได้ก็นับ หนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นอาจจะมีรถเบรก เสียจังหวะ เปิดกระจกตะโกนด่า อยากตายไงไอ้ควาย! ก็อย่าสนใจ วิ่งไปเรื่องๆ พอมีรถเฉี่ยวชนกันเราก็นับไป อันนี้มีคนเจ็บ อันนี้ไม่เป็นไรมาก ก็ติ๊กไป จนกระทั่ง โครม !.. หยุดการทดสอบ เราไปเจอกันที่วัด นับตัวเลข ฟังพระสวดไปพลางๆ
ทฤษฎีของไฮน์ริช เมื่อเอามาผนวกกับ ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง ก็จะพอมั่วๆตัวเลขเอาว่า ใต้อุบัติเหตุที่ไม่มีการบาดเจ็บหรือเสียหายนั้น มีเหตุการณ์แบบเสียวๆเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา 3000 ครั้ง อันนี้ไม่รู้ที่มาว่าใครเอาตัวเลขนี้มาจากไหนเพราะตอนนั้น ไฮน์ริชแกไม่ได้บอก
 
 

 จากตัวเลขพวกนี้ เราสามารถเอามาคำนวณหาความโปร่งใส ความเอาจริงเอาจังของการรายงานอุบัติเหตุได้ ก็คือว่า ถ้ามีรายงานอุบัติเหตุแบบชนิดมีคนตาย หรือบาดเจ็บรุนแรงมา 1 ครั้ง บริษัทที่โปร่งใสจะต้องมีอุบัติเหตุประเภทไม่รุนแรง แค่หามดหาหมอ แปะพลาสเตอร์ 29 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ตามทฤษฎีนี้ เขาใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก ของความโปร่งใสในการรายงานเหตุที่ไม่รุนแรง โดยใช้ตัวเลข 1 หารด้วย 29 ได้ออกมา =  0.03448
สมมติ บริษัทหนึ่ง มีสถิติว่าทั้งปี
มีคนตาย 2 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย  รวมแล้ว อุบัติเหตุรุนแรง = 2+12 = 14 ราย
แต่ทั้งปีมีรายงาน อุบัติเหตุปฐมพยาบาล 4 ราย บาดเจ็บที่พบหมอแล้วกลับบ้าน 5 ราย แค่เนี็ย รวมๆแล้ว = 9 ราย

ลองคำนวณ ค่าความโปร่งใสในการรายงานเหตุที่ไม่รุนแรง หรือ
Transparency Rate of Minor Accident = 0.03448 X 9 / 12
                                                              = 0.02586  แปลว่า บริษัทนี้ โคตรโม้

ถ้าตัวชี้วัดคำนวณออกมาได้ มากกว่าหรือ เท่ากับ 1 แสดงว่า บริษัทนี้ แหม ผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงาน พากันร่วมอกร่วมใจรายงานอุบัติเหตุแม้จะไม่รุนแรงโดยไม่ปิดๆบังๆมุบๆมิบๆ


ทีนี้ ลองมาดูว่า ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส (Nearmiss Transparency Rate) ก็คำนวณแบบนี้ครับ

Nearmiss reporting Transparency rate =

                                 0.09667 x Nearmiss case / Minor accident case
สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง

ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊

Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044 

สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง
ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊
Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044 
ถ้าเป็นแบบนี้ บอกได้เลยว่า ไอ้ที่ไม่มีอุบัติเหตุมาต่อเนื่อง ต้องเล่นของชัวร์


ของเขาแรง






 




วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเภทของพยาน -Types of witness


Types of witness in accident scene
 
 
ในค่ำคืนวันที่ 14 สิงหาคม 2003 หากมีกล้องวงจรปิดอยู่แถวๆถนนฉะเชิงเทรา-บางปะกง เราก็คงไม่ต้องพึ่งพาคำให้การ (พูดแบบนี้เดี๋ยวจะพลอยทำให้พวกเราที่ชอบใช้ศัพท์ว่า สืบสวนสอบสวนอุบัติเหตุ จะไปสับสนคิดว่าเหมือนกับที่ตำรวจสอบสวนคนร้าย แบบนั้นเขาเรียกว่า Interrogation บางรายอาจจะนึกถึงอุปกรณ์ประกอบการสอบสวน เช่น ตะเกียบไว้ตีไข่ ยางหนังกะติ๊กไว้กระตุ้นการตื่นตัวของวัตถุพยาน)
การสอบสวนอุบัติเหตุ พยานประเภทแรกที่เราต้องเจอ คือผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นคนบาดเจ็บ คนทำให้บาดเจ็บ บางทีมีหลายคน แบบว่าช่วยๆกันทำ พยานแบบนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ บางคนก็พูดไม่ได้ อย่างไอ้หนุ่มที่ไปนอนใต้ท้องรถของประยูร บางคนก็ไม่อยากพูด อย่างประยูร เพราะกลัวถูกลงโทษ กลัวติดคุกติดตะราง บางคนก็อยากพูด แต่เบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น พยานกลุ่มนี้เรียกว่า Principal Witness
จากคำให้การของประยูร มีอะไรบ้างที่ท่านสามรถจับและจดประเด็นได้ เวลาจดคำให้การ ให้จดไปตามที่เขาพูด จดแจกประเด็นเป็นข้อๆ จดไปอย่าเรียบเรียงประโยคเอง แล้วอย่ามัวไปนั่งวิเคราะห์สาเหตุ ยังก่อน อย่าใจร้อนไอ้น้อง
การสัมภาษณ์พยานก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกัน
พยานกลุ่มที่สอง คือ Eye witness พวกนี้ไม่ได้ร่วมทำอะไรกับเขา แต่ได้เห็นเหตุการณ์ เห็นนะ ไม่ใช่ เห็นเขาว่ามา แบบนั้นเรียกไทยมุง คือไม่มีใครเห็น พวกไทยมุงก็จะถามกันไปมาว่า มีอะไรกันนะ สรุปก็คือ ไม่มีใครรู้  ต่างจาก Eye witness พวกนี้เห็นจะๆ เห็นเขาทำ อย่างนั้นอย่างนี้ บางคนเห็นนานมาก จนเกิดอาการเสียวสยิวสยองกับเขาไปด้วย (อย่าคิดลึก อย่างเห็นคนกำลังถูกเครื่องตัดนิ้วหลุด ถึงกับครางซี๊ดออกมาด้วยความเสียว)

พยานกลุ่มที่สามคือ พวก Emergency team พวกนี้มาถึงที่เกิดเหตุ ใกล้กับเวลาเกิดเหตุ จะได้เห็นว่าตอนนั้นรถอยู่ตรงไหน ศพอยู่ตรงไหน นอนหงาย นอนคว่ำ ไฟมอดรึยัง ช่วยเหลือกันยังไง พวกนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้ดี

พยานอีกกลุ่ม คือพยานประเภทที่ทำงานคล้ายๆกัน พวกที่เป็นหัวหน้า พวกที่เป็นคนจ่ายงาน พวกที่จัดการประชุม พวกตรวจสองเครื่องมืออุปกรณ์ พวกนี้ เราเรียกรวมๆว่า Organizational witness

อ่ะ มาลุ้นกันต่อกับคำถามเหล่านี้ ใครตอบถูก แจกตั๋วเครื่องบินไปกลับ ยะลา ปัตตานี
ก. คนที่นอนใต้ท้องรถ ตายก่อนเข้าไปนอน หรือถูกประยูรเหยียบตาย เราจะรู้ได้ยังไง
ข. เวลาเกิดเหตุที่ตรงเป๊ะที่สุด หาได้จากที่ไหน
ค. ชายคนนั้นเขาคือใคร เหตุใดจึงมาอยู่ใต้ท้องรถ
ง.ประยูรบอกว่าขับมาช้าๆ จริงหรือ
จ.ทำไมประยูรเห็นแค่เงาตะคุ่มๆ

เห็นมั๊ย ชักมันส์แล้วใช่มั๊ย สนใจหลักสูตรนี้ ติดต่อนี่เลย http://funnysafetytraining.blogspot.com


วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รักจางที่บางปะกง- คำบอกเล่าของประยูร

 
เหตุเกิดขึ้นที่ถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา ไม่ไกลจากป้อมยามของบริษัทเกษตรรุ่งเรือง และเป็นระยะทางอีกเพียง 500 กิโลเมตร ก็จะถึงคลังก็าซแอลพีจี และศุนย์ขนส่งก๊าซ เวลาที่เกิดเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด
ผมได้รับโทรศัพท์รายงานอุบัติเหตุในตอนรุ่งเช้าของวันที่ 14 สิงหาคม 2003 จึงได้ประสานงานเพื่อทำการสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้
แน่นอน ผมไปในฐานะ Lead Investigator
การสอบสวน เริ่มต้นจากรายงานของหัวหน้างานที่ส่งมา ได้ความว่า รถบรรทุกแอลพีจี กำลังมุ่งหน้ากลับจากการส่งก๊าซให้ลูกค้าแถวๆฉะเชิงเทรา เมื่อใกล้จะถึงคลัง รถคันดังกล่าวได้เกิดการเฉี่ยวชนกับรถมอเตอร์ไซค์และมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ส่วนคนขับรถ นั่งอยู่ข้างหน้าผมแล้ว เขาชื่อประยูร
 
การสอบสวนอุบัติเหตุ เริ่มต้นจากการรวมรวมข้อเท็จและข้อจริงทั้งหมด จากพยาน ซึ่งสำหรับประยูร เขาเป็น Principal witness
หลายๆครั้ง ผมเห็นการสอบสวนอุบัติเหตุ จะมีผู้จัดการโรงงาน หัวหน้างาน เซฟตี้ นั่งเรียงหน้ากัน สอบพนักงานที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ทำราวกับเขาเป็นฆาตกร ที่กำลังจะต้องถูกพิพากษาโทษ โดยหารู้ไม่ว่า ไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุนั้นๆ ก็คือไอ้หัวหน้าและผู้จัดการที่กำลังตะคอกข่มขู่พยานอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่เคยพาดพิงถึงความล้มเหลวในการจัดการของตนเองเองเลย ตรงกันข้ามพยายามกลบเลื่อนเบี่ยงเบนประเด็นตลอด
ถ้าคุณไม่รู้ว่าใคร คือ Principal witness, ใครคือ Eye witness ใครบ้างที่อยู่ในข่ายที่ต้องสอบถามในฐานะผู้เข้าช่วยเหลือระงับเหตุ ใครคือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแต่เป็นผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน คุณพลาดแล้ว
 
ประยูร มีท่าทางกลัวและกังวลอย่างเห็นได้ชัด หัวหน้างานที่นั่งข้างๆผมพยายามพูดแทรกตลอด เขาด่าประยูรว่า ทำไมถึงรีบกลับไปโดยไม่แจ้งและรายงานอุบัติเหตุ และบ่นเรื่องราวต่างๆอีกมากมายจนผมต้องห้ามและขอให้เขาออกไปก่อน
 
ประยูรเล่าว่า "ผมขับรถเปล่ามาจากโรงงานลูกค้าแถวๆฉะเชิงเทรา มาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเชลล์แถวๆบางปะกง แล้วขับมาช้าๆ ก่อนจะถึงคลัง ผมเห็นเงาตะคุ่มๆอยู่กลางถนน ไม่รู้ว่าอะไร พอเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ ผมตัดสินใจขับคร่อมไป ได้ยินเสียงครูดไปกับพื้น ไปสักประมาณห้าหกเมตร ผมจอดลงไปดู เห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้ท้องรถ และมีศพอยู่ด้วย ผมจึงตัดสินใจ ปิดไฟและพยายามขับถอยหน้าถอยหลัง จนหลุด แล้วรีบเอารถกลับเข้าคลัง"
 
จากคำให้การของประยูร คุณรู้หรือยังว่าเหตุเกิดขึ้นที่ไหน เวลาเท่าไหร่ เหตุเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญ มีคนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้กี่คน ใครเป็น Witness ประเภทไหน ศพที่อยู่ใต้ท้องรถ ตายก่อนจะถูกประยูรเหยียบและลากไป หรือเสียชีวิตอยู่ก่อนแล้ว
 
การสอบสวนอุบัติเหตุที่ถูกต้อง มีขั้นตอนที่สำคัญ 8 ขั้นตอน คืออะไรบ้าง ติดตามตอนต่อไป
อ่ะ ดนตรี ม่ะ  "ใฝ่พะวงหลงฟ่าว สาวจะบางจะเกร็ง เป็นมะเร็งแข็งที่อ สะดือ โบ๋..." โอ้เวรกรรมซ้ำซาก อยากมีนมโต ไปบางโพสาวเจ้า เข้าศัลยกรรม...แด่ แด๊ แด..) สนใจเทคนิค Causal Tree, ICAM, Bow-Tie, Event Tree, Causal Tree, Fault Tree and SCAT  สำหรับการวิเคราะห์เจาะลึก สาเหตุอุบัติเหตุ คลิก
 
 
 

 

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บอกแล้วว่าอย่าตก ไอ้ตูดเอ๊ย

 

สมัยทำงานเป็น Regional HSE Leader Asia Pacific- แหม ชื่อตำแหน่ง ฟังดู บะเฮิ่มเทิ่มดี ดูแลโรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ครอบคลุมประเทศ ไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ อินโดนีเซียและจีน รวมๆแล้ว 15 โรงงาน แต่ละโรงงาน มีสภาพไม่แตกต่างกัน ถ้าจะจัดลำดับความเพียบพร้อมของระบบการบริหารจัดการ ก็ไล่ไป ตั้งแต่ ทุเรศทุรัง...ห่วยแตก...พอเอาได้...ไม่ขี้เหร่...เท่ห์ขั้นเทพ

โรงงานที่อินโดนีเซียจัดอยู่ในขั้น ทุเรศทุรัง น่าสมเภทเวทนา

ฝนตกมาแต่ละที หลังคารั่ว ตู้ไฟฟ้าที่สัปปะรังเคก็ถูกน้ำฝนไหลเข้าไป พื้นโรงงานเจิ่งนองเป็นท้องทุ่ง เราก็จัดการกระแซะจนกระทั่งได้งบมาก้อนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนหลังคา ตอนนั้น ทั้งผู้จัดการโรงงานและเซฟตี้เอวเด้ง (ไอ้นี่เต้นรุมบ้า เอ็วกระดิ๊กๆ มันเก่งมาก) ล้วนดีอกดีใจ ที่ปัญหาคาราคาซังมาเป็นชาติจะได้รับการแก้ไขซะที เห็นมะ ตำแหน่งใหญ่เนี่ยมันดียังงี้แหละ ชี้อะไรมันก็ได้ตังค์ ถ้าเป็นเซฟตี้ตัวเล็กๆ ขนาดเอานิ้วยัดเข้าไปในเครื่องจนกุดทั้งห้านิ้วแล้วบอกว่า เครื่องจักรไม่มีฝาครอบ มันก็ไม่มีใครสนใจ แถมถูกไล่ออกอีกข้อหาทำให้เกิดอุบัติเหตุ
พอได้งบมา ก็จัดแจงพูดคุยวางแผนงานเปลี่ยนหลังคา หลังคาโรงงานเป็นกระเบื้องซีเมนต์ที่มีแอสเบสทอสผสมอยู่ มันเก่างั๊ก หลังคาทรงจั่ว ชันประมาณสักสามสิบองศา เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงเฉพาะหน้าก็คือ ความเสี่ยงจากการตกจากที่สูง ก็ราวๆ 14 เมตร เพราะกระเบื้องมันผุ แถมพวกแป พวกคานบางจุดก็ผุ มิหนำซ้ำ แอสเบสทอส ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุม
คุยขั้นตอน เกี่ยวกับระบบป้องกันตก (Fall Protection) กำหนดทางขึ้น ทางลง เรื่องการทำ Safe Working Platform เพื่อการขึ้นลง และการลำเลียงวัสดุ คุยกันเรื่องระบบ Fall Arresting System อธิบายขั้นตอนการติดตั้ง ABCD-E, Anchoring Point, Body Harness, Connectors, Decererating device และ Emergency Rescue. บ๊ะ!!.. กับว่าต่างเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
พอเรากลับไปอีกที เลี้ยวรถเข้าประตูโรงงาน แหงนไปดูบนหลังคา อุ๊ย จะว๊าย แม่เจ้าโว๊ย!! หัวใจจะวาย มีคนบนหลังคา วิ่งไปวิ่งมา บ้างก็ลำเลียงกระเบื้องใหม่ขึ้นไป บ้างแบกกระเบื้องเก่ามาวางบนไม้ไผ่คู่หนึ่งที่พาดจากหลังคาถึงพื้นใช้เป็นสะพานกระดานลื่น แผ่นกระเบื้องเก่าไหลพรวดเดียวแตกกระจายฝุ่นตลบ
เลยให้ผู้จัดการโรงงานและเซฟตี้เอ็วอ่อน เรียกคนทั้งหมดลงมา สอบถามได้ความว่า ทั้งผู้จัดการและผู้รับเหมา เห็นตรงกันว่า ไอ้ระบบที่ยูแนะนำไว้นั่นนะ ใช้ไม่ได้ ไม่น่าจะมีใครตกหรอก โอ้ว !!
ก็เลยเรียกคนทั้งหมดมาเข้าแถว แล้วขอร้องไอ้เซฟตี้เอวอ่อนแปลเป็นภาษาบาฮาซาห์อินโดให้ นึกในใจ ถ้ากูพูดบาฮาซาร์ได้ละมึง กูด่าแหลก
เอาละ ใครไม่อยากใส่เซฟตี้ฮาร์นเนสและเกี่ยวสายกันตกกับไลฟ์ไลน์บ้าง มันยกมือพรึ่บ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เวลาพวกชวายิ้มเนี่ย มันดูแปลก มันยิ้มเหมือนไอ้เท่งในหนังตะลุง
เอาละ ในเมื่อพวกยูไม่อยากใส่อุปกรณ์ที่จะป้องกันไม่ให้ตกถึงพื้น ฉันเข้าใจ แหม คราวนี้มันยิ้มใหญ่กว่าเดิม
เอาละ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า สภาพที่พวกยูกำลังเผชิญอยู่ มันเสี่ยงต่อการตก ถ้าเหยียบไปโดนแผ่นผุๆ ร่วงปุ๊เดียวสิบสี่เมตร ใช่มั๊ย พวกนั้นพยักหน้าเป็นภาษาบาฮาซาร์
เอาละ พวกยูจะไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันตกก็ได้นะ แต่มีข้อแม้ข้อเดียว คราวนี้มัยยิ้มราวกับเทวดามาโปรด
พวกยู บินได้มั๊ย ทำท่ากระพือปีกให้มันดู เงียบ จ้องหน้าปะล่อกปะแล่ก พวกยูฟังไม่ผิดหรอก ใครบินได้มั่ง เพราะคนที่บินได้ เวลาตก ก็แค่กางปีก กระพือพั่บๆ บินขึ้นแล้วค่อยๆร่อนลงจอด พวกยูกตกกี่ทีก็ไม่ตาย
เอาล่ะ เดี๋ยวจะทดสอบว่าใครบินได้และบินเก่ง จะไม่ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันตก ว่าแล้วก็ต้อนไอ้พวกนี้ไปที่แพลทฟอร์ม บอกให้ขึ้นไปกระโดด บินให้ดู สุดท้าย ไม่มีใครบอกว่าบินได้สักคน
ส่วนไอ้ผู้จัดการโรงงาน กับไอ้เซฟตี้หัวขวดเอ็วอ่อน เผ่นแนบ ไปหลบในออฟฟิส เพราะกลัวถูกจับมาบินให้ดู
ใครอยากรู้ว่าตัวเองต้องใส่หรือไม่ต้องใส่อุปกรณ์กัยตก ถามตัวเองซะก่อน ว่าบินได้มั๊ย
 
การทำงานบนที่สูง ป้องกันก่อนการตกให้ได้ ถ้าป้องกันไม่ได้ มันจะต้องตกไม่ถึงพื้น แค่นั้นแหละ มันยากตรงไหนวะ
อยากรู้ว่าฟิสิกส์ของการตกเป็นยังงัย ไปอ่านในบล๊อกแรกๆ เขียนไว้ ไม่มีใครอ่าน อ่านเองก็ได้วะ หุๆ เรื่องเซฟตี้ ในภูมิภาคนี้ ห่วยแตกทุกประเทศ ยกเว้นเกาหลีใต้ มันรวย ส่วนประเทศอื่น ยังวนเวียนอยู่ในวงจร โง่ จน เจ็บ เหมือนกันหมด เฮ่อ
 


วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โรคไอคร่อกแคร่กของแขกโพกผ้า

 

 

 

สองสามวันมานี่มีข่าวสะเทือนขวัญแฟนๆวงบอยแบนแดนกิมจิ และบรรดาพี่ป้าน้าอาที่ติดซีรี่ส์เกาหลีอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นห่วงว่าพวกเขาจะได้รับอันตรายจากการแพร่ระบาดของโรคชื่อแปลกๆ ที่เรียกว่า เมอร์ส

MERS- ย่อมาจากคำว่า Middle East Respiratory Syndrome

อาการเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจของคนตะวันออกกลาง หรือโรคไอคร่อกไอแคร่ก ไอกระด๊อกไอกระแด๊กของแขกตะวันออกกลาง ซึ่งสำนักควบคุมโรคสหรัฐอเมริการ หรือ CDC ให้ข้อมูลไว้ว่า เชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้ มันคือ ไวรัสโคโรน่า บางคนอาจจะเริ่มกังวลแล้วสิว่าอีกหน่อยคงมี ไวรัสอัลติ๊ด ไวรัสวีออส ไวรัสแคมรี่  เพราะฉะนั้น ถ้าจะเรียกโรคที่ระบาดในตะวันออกกลาง เขาจึงเรียกมันว่า MERS-CoV (Middle East Respiratory Syndrome- Corona Virus)
เชื้อไวรัสตัวนี้มีฤทธิ์ต่อปอดและทางเดินหายใจ  ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการ ไข้ ไอโคร่กเคร่ก และหายใจขัด บางรายมีอาการท้องเสีย คลื่นใส้ อาเจียนร่วมด้วย บางรายมีอาการคล้ายเป็นหวัดธรรมดา พอจะใช้อ้างลาป่วยไม่มาทำงานได้ บางรายไม่แสดงอาการเลยก็มี จากสถิติ พบว่าผู้ป่วย 10 ราย จะเสียชีวิตไป 3-4 ราย โรคนี้พบครั้งแรกที่ประเทศจอร์แดน และแพร่ระบาดในซาอุดิอาระเบีย ตลอดจนประเทศในแถบตะวันออกกลางระหว่างปี ค.ศ. 2012 ระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 5-6 วัน หรืออาจจะอยู่ในช่วง 2-14 วัน

เชื้อไวรัสโคโรน่า ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ เช่นสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสลด สารคัดหลั่ง จูบจ๊วบจ๊าบกัยผู้ติดเชื้อ แบบนี้ติดชัวร์ บางคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเกิดผู้ติดเชื้อ ไอ โคร่กๆ เราอยู่ใกล้ๆจะติดไหม คำตอบคือ ติด เพราะเวลาไอจามแต่ละที ละอองที่กระเด็นกระดอนออกมาจากปากของผู้ป่วยก็จะลอยไปในอากาศ เราสูดเข้าไป มันก็ย่อมติดกันได้ง่าย แต่นั่นต้องใกล้มากเลยทีเดียว ตอนนี้ยังไม่ยืนยันว่าเชื้อแพร่ได้นานๆในอากาศมากน้อยแค่ไหน รอแป๊บ แพร่ได้เมื่อไหร่แล้วจะมาบอก

 
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
 
ก็บอกไปแล้วว่า โรคนี้เกิดขึ้นและแพร่ระบาดแถวๆตะวันออกกลาง
คนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อก็คือคนที่เดินทางไปตะวันออกกลาง
อ้าว ยังงี้น้องซองจีฮอน น้องยอนจังฮู น้องรูยังป๊าค จะติดได้ยังงัย


มีรายงานด้วยว่า อูฐก็พบเชื้อไวรัสโคโรน่าด้วยเช่นเดียวกัน ในรายงานของ CDC จึงมีคำแนะนำสำหรับพวกที่สัมผัสอูฐ ควรล้างไม้ล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการกอดจูบลูบคลำอูฐ พวกที่อยู่กลางทะเลทรายนานๆอาจจะเผลเห็นอูฐสวยเข้าก็ได้ ใครจะไปรู้ เดี๋ยวนี้มีโรคแปลกๆ อย่างอีโบล่า ก็เริ่มมาจากลิง โรคเอดส์ก็ว่ากันว่าเริ่มจากมีคนไปแอบอิอ๊ะ อะซี๊ดอะซ๊าดกะลิงแล้วเอามาแพร่ระบาดในคน โรคไข้หวัดนก ก็เริ่มจากตัวอะไรไม่รู้ โรคซาร์ส ก็มาทำนองเดียวกัน เอาเป็นว่า หมั่นล้างมือหลังสัมผัสกับสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงคนด้วย

 

ประเทศไหนบ้างที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

คำตอบคือ ทุกประเทศที่ดัดจริต ไม่โปร่งใส ไม่เอาจริง ผู้คนเห็นแก่ตัว ขุนนางชั่วครองเมือง เห็นแต่เรื่องเศรษฐกิจ ปกปิดการพบผู้ติดเชื้อ ไม่มีความน่าเชื่อถือในการกักกันโรค บริโภคอาหารดิบๆสุก ผู้คนมีความสุขในการไอโคร่กเคร่กในที่สาธารณะโดยไม่มีผ้าปิดปากปิดจมูก  ถูกกดดันให้มาทำงานทั้งๆที่เป็นหวัดขี้มูกยืด สรุป คือประเทศที่ไร้ระบบในการจัดการการแพร่ระบาดในระดับที่เรียกว่า Pandemic พูดไปก็เปลืองกระดาษ เอาเป็นว่า รักษาสุขนิสัยส่วนตัว กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่าถือวิสาสะ ใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น ใช้แฟนร่วมกับคนอื่น ไม่สบายก็ลางาน ปิดปากปิดจมูกนอนเล่นเฟสอยู่บ้าน แค่นี้ก็สกัดการแพร่เชื้อไปได้มากโข จิตสำนึกสาธารณะที่ดีจะป้องกันโรคจำพวกนี้ได้
ข้อมูลเพิ่มเติมหาอ่านเอาเองที่ http://www.cdc.gov/coronavirus/mers/index.html
ษมน รจนาพัฒน์  4 June 2015

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หมอบ มุด หยุดแป๊บ


แผ่นดินไหวที่เนปาล ยังสั่นสะเทือนความรู้สึกคนทั่วโลกไม่หยุด เห็นคนเจ็บ คนตาย ซากปรักหักพังแล้วน้ำตาจะไหล เปิดหาข้อมูลในเว็ปของ OSHA    https://www.osha.gov/dts/earthquakes/preparedness.html

ไล่ดูไปเจอเทคนิคการเอาตัวรอดยามเกิดแผ่นดินไหว DROP! COVER! HOLD ON! พออ่านไปได้สองบรรทัดแรก ป๊าด!! นี่มันเทคนิคเดียวกันกับที่พวกกลัวเมียในเมืองไทยชำนิชำนาญที่สุดเลยนี่หว่า เทคนิค หมอบ มุด หยุดแป๊บ

http://www.dropcoverholdon.org/

ประมาณว่า กำลัง อะจิอะจึ๋ย เข้าด้ายเข้าเข็ม มีคนตะโกนบอก เฮ้ย เมียมึงมา... พร้อมๆกับเสียงครืนๆ พื้นลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการก้าวเดินของนางยักษ์น้อย สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หมอบ   ใช่แล้ว หาที่หมอบ ตามสถิติพบว่า คนที่ได้รับบาดเจ็บจากแผ่นดินไหวน้อยที่สุดคือพวกที่ควบคุมสติได้ ไม่วิ่งเพล่นพล่านไปมา ยิ่งเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น เพราะฉะนั้น หาที่หมอบก่อนเลย ก่อนจะหมอบ ดูตาม้าตาเรือด้วย ไม่ใช่ไปหมอบข้างชั้นหนังสือ ตู้กับข้าว ตู้เย็น ชั้นวางทีวี พวกนี้มันสามารถหล่นล้มลงมาได้ นั่นแหละ ใต้เตียง เหมาะมาก หมอบแล้ว ขั้นต่อมาคือ มุด น่านแหละมุดเข้าไป หาที่กำบัง เวลาแผ่นดินไหว ข้าวของ แผ่นฝ้าเพดาน อะไรต่อมิอะไรร่วงหล่นลงมา เฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรงอย่างพวกโต๊ะ จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ ถ้าไม่เชื่อว่าพวกที่ตายๆในแผ่นดินไหว ครึ่งค่อน ตายเพราะการถูกของหล่นกระแทกใส่ สลบไปไหนต่อไม่ได้ ลองเล่นผีถ้วยแก้ว เรียกมาถามดู อ่ะ มุดเสร็จ รอหยุดแป็บ คอยฟังเสียง นางยักษ์น้อยไปรึยัง อย่าเพิ่งออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะถึงฆาตได้ แผ่นดินไหวก็เหมือนกัน รอให้มันหยุดก่อน แล้วค่อยออกไป

ทีนี้เอาไปฝึกกันนะ หมอบ มุด หยุดรอแป๊บ รับรอง รอด  เอ้อ... ลืมบอกไปอย่าง ข้อแตกต่างระหว่างแผ่นดินไหวกับหลบเมียเนี่ย คือ ก่อนหมอบ มุด อย่าลืม เก็บกางกุ้งกางเกงที่ถอดไว้ข้างเตียงเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นศพชีเปลือยใต้เตียงซะก่อน เหอๆๆๆ

ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...