วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คำบอกเล่าของประยูร - การสัมภาษณ์พยาน

ประยูร กับผม สบตากันแว่บหนึ่งก่อนจะเริ่มพูดคุย เขายกมือไหว้แบบกลัวๆ สายตาคู่นั้นหวาดหวั่นกับการที่จะต้องนั่งอยู่เบื้องหน้าผู้จัดการความปลอดภัย และคณะทำงานสอบสวนอุบัติเหตุอีกสองสามคน
ผมกล่าวกับประยูรอย่างเป็นกันเองด้วยการแนะนำตัวและบอกให้เขาทราบว่าวัตถุประสงค์ของการสอบสวนอุบัติเหตุนั้นก็เพื่อจะค้นหาความผิดปกติของระบบบริหารจัดการ และนำไปป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีก และยังบอกให้ประยูรรู้ว่าเราจะสอบถามเรื่องราวต่างๆ ที่ประยูรสามารถบอกเล่าได้ โดยระหว่างนั้นเราจะทำการจดบันทึก และจะให้เขาดูอีกครั้งหลังจากการพูดคุยกัน ที่ต้องบอกว่าเราจะจดคำให้การ ก็เพื่อให้เขาไม่รู้สึกอึดอัดว่ากำลังถูกรีดข้อมูลและจดอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผมยังอธิบายให้ประยูรทราบคร่าวๆถึงขั้นตอนในการสอบสวนอุบัติเหตุ และวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ และยินดีที่จะรับฟังคำแนะนำ และข้อเสนอแนะจากประยูรที่จะช่วยป้องกันอุบัติเหตุต่อเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ การสร้างบรรยากาศเป็นกันเองทำให้ประยูรดูผ่อนคลายลงไปมาก

ประยูรเล่าว่า ขับรถออกจากปั๊มน้ำมัน ตอนนั้นก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว ฝนตกปรอยๆ เมื่อมาถึงแถวๆหน้าประตูบริษัทเกษตรรุ่งเรือง ที่อยู่ก่อนถึงทางเข้าคลังประมาณ 500 เมตร เขาเห็นอะไรตะคุ่มๆบนถนน ผมขอให้ประยูรเล่าตรงนี้ซ้ำว่า ที่เห็นอะไรตะคุ่มๆนั้นประมาณสักกี่เมตร เขากะระยะคร่าวๆจากหน้าห้องถึงหลังห้อง ก็ประมาณ 8 เมตร ตรงนี้ผมจดโน็ตลงไปข้างๆคำบอกเล่าของประยูรว่า จะหาข้อมูลเกี่ยวกับไฟตารถ ประยูรบอกว่าเขาไม่ได้แตะเบรกเลย และเขาคร่อมสิ่งนั้นไปก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนล้อหน้าเหยียบไปบนอะไรบางอย่างแตกโพละ ประยูรบอกว่าจอดลงไปดู โดยปิดไฟหน้ารถก่อน และเห็นศพกับมอเตอร์ไซค์ เขาพยายามเดินหน้า ถอยหลังจนหลุดแล้วรีบขับรถเข้าไปจอดในศูนย์จัดส่ง เสร็จแล้วจึงแจ้งกับหัวหน้ากะว่าตนไม่ค่อยสบาย จะขอกลับไปนอนพักผ่อน

ระหว่างการสัมภาษณ์ เราถามประยูรว่า เมื่อตรวจดู SW-100 พบว่าเขาใช้ความเร็วโดยเฉลี่ยเกือบๆ 70 กม./ชม. เหตุใดจึงใช้ความเร็วขนาดนั้นทั้งๆที่ฝนตกปรอยๆและเขาเองก็บอกว่ามองทางไม่ค่อยถนัด ประยูรโอดครวญว่า ผมกะว่าจะมารับแก็สอีกสักเที่ยวแล้วจะออกไปอีกรอบ ถ้าขับช้ากว่านี้ผมก็ไม่พอกินหรอกครับ พูดถึงตรงนี้  จึงขอให้เขาเล่าขยายความให้ฟัง ประยูรเล่าเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนเหนือ เลิกกับภรรยาเก่าและมีภรรยาใหม่ แต่ยังต้องมีภาระส่งเสียทั้งสองทาง รายได้หลักมาจากเขาทั้งหมด การจ่ายเงิน รวมกับค่าเที่ยว ยิ่งทำเที่ยวได้มาก ยิ่งจะพอได้ใช้จ่ายไปเดือนๆหนึ่ง

ประยูรยืนยันว่าตนได้ตรวจสอบรถก่อนออกเดินทาง และพบว่าทุกอย่ากปกติ และหลังจากเติมน้ำมัน เดินรอบรถอีกครั้ง ไฟตาก็ปกติ
การตรวจจุดเกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยการเบรก ด้านขวาเป็นเลนสวน ประยูรอ้างว่าขรธเกิดเหตุมีรถวิ่งสวนมาตนจึงไม่หักหลบไปเลนขวา ส่วนเลนซ้ายเป็นไหล่ทางมีเสาไฟส่องทาง ซึ่งพบว่าชำรุดอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด ประยูรบอกว่าหักหลบซ้ายก็ชนเสา เขาจึงขับคร่อมไป (ด้วยความเร็วประมาณ 70 กม./ชม.)

หลังจากคุยกับประยูรเสร็จ ก็พูดคุยกับหัวหน้ากะชื่อวิเชียร คนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ ท่าทางนักเลง และดูจะมีทัศนะคติเป็นลบกับทีมเซฟตี้ ด้วยเหตุที่เข้ามาตรวจและเตือนสาระพัดอย่างว่าต้องปรับปรุง และที่แย่ที่สุด ผู้จัดการของเขาเพิ่งถูกปลดไปเทื่อสองเดือนก่อนด้วยเรื่องความปลอดภัย
วิเชียรไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรมาก ถามคำตอบคำ ด้วยความที่ช่ำชองในการถูกสอบสวน เขาหอบเอารายงานการซ่อมบำรุงรถ การเปลี่ยนอะไหล่ และเอกสารเกี่ยวกับการฝึกอบรม การจัดตารางเดินรถ ตารางการพักผ่อน มาให้ดู เราได้ตรวจสอบรถพบว่าไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนใดๆ มีรอยครูดใต้ท้องรถเท่านั้นที่เห็นชัดเจน ส่วนไฟตา ใช้ได้เพียงข้างซ้ายข้างเดียว ตรงนี้ขัดกับที่ประยูรเล่าให้ฟัง
เมื่อตรวจบันทึกการบำรุงรักษา สิ่งที่ผิดปกติมากๆก็คือรถคันนี้เปลี่ยนไฟตาไแล้วถึง สี่ครั้งในช่วงเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
ต่อมาการสัมภาษณ์หัวหน้าแผนกซ่อมบำรุง เขาเองมีบุคคลิคคล้ายๆวิเชียร เขาโวยวายว่าสั่ง๙ื้อไฟตายี่ห้อหนึ่งแต่จัดซื้อที่นี่จะไปซื้ออีกยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นของเทียมอย่างแท้

ตรวจสอบเวลาที่ประยูรนำรถเข้าจากป้อมยามของคลัง พบว่าประมาณเที่ยงคืนสิบห้านาที ส่วนเวลาขณะเกิดเหตุประมาณเที่ยงคืนหกนาที ประยูรกลับออกไปราวๆเกือบเที่ยงคืนครึ่ง และเวลาประมาณเกือบตีสองมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่คลังแจ้งว่ารถบรรทุกเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ

ถึงตรงนี้ รู้หรือยังว่า เขาคนนั้นตายอยู่ก่อนหรือถูกเหยียบตาย รู้ได้อย่างไร
เรื่องราวยังไม่จบ ถ้าไม่สอบสวนดีๆ ก็คงจะสรุปเอาแค่ว่า ขับรถด้วยความประมาท ส่งไปอบรมให้ไม่ประมาท จบ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฮ๊า !!! อ่ะ จิงดี๊???

การไม่รายงานอุบัติเหตุถือเป็นเรื่องธรรมดามากๆในสังคมเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ไทย (ตัวดีเลย) จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน พอๆกัน ประเภทที่ว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเลือดสาด นิ้วหลุด แขนกุด ขาหัก ชักกระแด่วๆ หรือตายคาที่แล้วละก็ อย่าหวังว่าจะมีตัวเลขไปโผล่ในสถิติอุบัติเหตุ ถ้าจะรายงานก็จะพยายามๆเป็นที่สุดที่จะทำให้มันดูเป็นเรื่องเล็กน้อย จากบาดเจ็บปางตาย ก็จะบ่ายเบี่ยงว่าแค่ปฐมพยาบาล ที่แผลบานเบอะก็จะบอกแผลเท่าปิมด ส่วนไอ้ที่จะมาคาดหวังให้รายงานเหตุเกือบๆเฉี่ยวๆนะเรอะ อย่าหวัง ใครจะบอกเมิงว่ากูเกือบตาย
บางโรงงาน ไม่มีอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายสิบปี แบบว่าถ้าเห็นสถิติอุบัติเหตุแล้วจะอ้าปากค้าง อุทานเบาๆว่า ฮ๊า..อ่ะ จิงดิ๊ ..
อย่างโรงนี้

 

ดูสถิติย้อนหลัง หลายปีก่อน ไม่มีอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานเป็นเวลาสองสามปีต่อเนื่อง ไม่มีอุบัติเหตุขั้นที่ต้องหามดหาหมอ ไม่มีอุบัติเหตุขั้นปฐมพยาบาล ไม่มี Nearmiss ป๊าด!! โรงงานอะไรมันจะปลอดภัยขนาดน๊าน

อ่ะ โรงนี้มั่ง นี่เป็นกระติกต้มน้ำร้อน ที่ผมไปเจอเข้า เลยถามหัวหน้ากะว่า เฮ่ย!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ ที่กดก็พัง ยกขึ้นมาตูดกระติกกับตัวกระติกหลุดออกจากกัน สายไฟห้อยรุ่งริ่ง ไอ้โรงนี้ก็เหมือนกัน นานๆทีจะมีอุบัติเหตุรายงานเข้ามา ส่วนใหญ่ก็ประเภทต้องเย็บ ต้องหามแล้ว
 
 
สภาพที่ไม่ปลอดภัยพวกนี้มันขัดแย้งกับตัวเลขรายงานสถิติอุบัติเหตุ มันเป็นไปได้ยังไง ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ได้รับอันตรายมั่งเลยเชียวรึ ถามจริงๆ ครั้นพอไล่เลียงไป ส่วนใหญ่ก็จะตอบได้ไม่ค่อยเต็มเสียง เพราะจำนนด้วยหลักฐาน อย่างโรงงานนี้ ทุกๆเดือน เซฟตี้จะต้องคอยไล่เติมเวชภัณฑ์อย่างพวก พลาสเตอร์ปิดแผล ยาแดง ทิงเจอร์ ในตู้ยาทุกเดือน พอถามว่า ไม่มีคนบาดเจ็บแล้วยา หายไปไหน แหะๆๆ มีครับ แต่เขาไม่ค่อยรายงาน ส่วนเนียร์มิสอะไรเนี่ย ไม่ค่อยมีครับ มีแต่เนียร์มิด คือเกือบมิดครับ อย่างรายที่แล้ว เหยียบตะปูฉั๊ว เกือบมิด
 
สมัยที่ผมยังไม่เกิด เกือบแล้วตอนนั้น ยุค ปี ค.ศ. 1930 หรือ พ.ศ. 2473 สมัยนั้นคนไทยยังนุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ นมโตงเตง เพราะเพิ่งเลิกทาษมาได้ไม่กี่ปี สมัยนั้นมีฝรั่งคนหนึ่งชื่อ เฮอร์เบิร์ต วิลเลี่ยม ไฮน์ริช เป็นคนอเมริกัน ถ้าไปถามคนอเมริกันว่า แกเป็นคนที่ไหน มันคงบอกต่อๆไปได้อีกว่า พ่อแม่ต้นตระกูลฉันมาจากอังกฤษ มาจากที่นู่นที่นี่ เพราะประเทศอเมริกานั้นมาจากหลายเชื้อชาติ ไม่เหมือนคนไทย ที่มาจากเทือกเขาอันไต แล้วอพยพมารวมกันแถวๆเขายายเที่ยง ตั้งบ้านแปลงเมืองมาจนถึงยุคท่านผู้นำคนปัจจุบัน ส่วนไฮน์ริชนั้นเขาเป็นผู้ช่วยซุป ตำแหน่งขณะนั้นกว่าจะได้เป็นซุปคงนานพอดู เหมือนสมัยนี้แหละ ต้องไต่เต้า หรือเอาเต้าไต่ จากคนงานกระจอกๆ มาเป็นคนงานอาวุโส แล้วก็ได้เลื่อนมาเป็นหลีด เป็นอยู่พักใหญ่ ได้เลื่อนเป็นหลีดอาวุโส แล้วได้ขึ้นเป็นซุป เป็น(ทำเสียงยาวๆ แบบนานมาก) จนใกล้แก่ ถึงได้เลื่อนเป็นซุปอาวุโส กว่าจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการ เกษียนพอดีแฮ่
ไฮน์ริชนี่เขาเป็นแค่ผู้ช่วยซุป อยู่ในแผนกวิศวกรรมและตรวจสอบ ของบริษัทประกันภัยทราเวลเลอร์ ไม่รู้เกี่ยวกับประกันกรุงศรี ประกันภัยเทเวศน์ ประกันภัยอะไรๆมากมายในบ้านเรามั่งรึเปล่า ประเภทมาไวเคลมเร็ว ไฮน์ริชเขาก็อยู่ในแผนกวิศวกรรมและตรวจสอบ เลยต้องเห็นใบเคลมหลั่งไหลผ่านมือเข้ามา  สมัยนั้นยังไม่มีบล็อก ไฮน์ริชคงจะเซ็งมาก เหมือนผมนี่แหละ เขาเลยเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Industrial Accident Prevention, A Scientific Approach แปล
เป็นไทยว่า การป้องกันอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ถ้ามาขายบ้านเรา เจ๊ง!! ถ้าตั้งชื่อหนังสือว่า การป้องกันอุบัติเหตุด้วยไสยศาสตร์ รับรองขายเกลี่ยง มันเป็นการบริหารจัดการ ที่ใช้หลักวิทยาศาสตร์ครับ มันต่างจากการบริหารจัดการแบบเอเชีย ที่ใช้หลักการบริหารจัดการตามยะถากรรม Yathakam Approach !
 
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นวิศวกร เขาจึงเริ่มต้นด้วยตัวเลข เขาพบว่า ในการเกิดอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บรุนแรง 1 ครั้ง จะมีอุบัติเหตุที่มีการบาดเจ็บเล็กน้อย 29 ครั้ง และมีอุบัติเหตุที่ไม่มีการบาดเจ็บเลย 300 ครั้ง
 
 
 ทฤษฎีของเขา เป็นที่ฮือฮามาก สมัยนั้น พวกที่อวยก็แหม ชื่นชม เอามาต่อยอด ใช้กันในเรื่องการสร้างความปลอดภัยตามลัทธิ BBS ส่วนพวกที่เห็นต่างก็ก่นด่าเหยียดหยามแอนตี้ว่า ตัวเลขแกเนี่ยมันโคตรมั่ว ตัวเลขพวกนี้เชื่อถือไม่ได้ ซุปรายงานมั่งไม่รายงานมั่ง ของจริงอาจจะน้อยกว่านี้หรือมากว่านี้ สาระพัดจะเถียง คนมันไม่เห็นด้วยมันก็หาเรื่องเถียงไปเรื่อย ผมเอง อยากทดสอบทฤษฎีของไฮน์ริช แต่ยังหาคนอาสาไม่ได้ ถ้าสนใจแจ้งมาหลังไมค์นะครับ วิธีทดสอบง่ายมาก
เราจะหาผู้สังเกตุการณ์สักสองสามคน ไปทำการทดลองกัน โดยกะว่าจะเอาแถวๆมอเตอร์เวย์ขาออก เอาแถวๆชลบุรีก็ได้ วิธีการก็คือ ผู้ทดสอบจะวิ่งข้ามถนนไปๆมาๆ ข้ามไปได้ก็นับ หนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นอาจจะมีรถเบรก เสียจังหวะ เปิดกระจกตะโกนด่า อยากตายไงไอ้ควาย! ก็อย่าสนใจ วิ่งไปเรื่องๆ พอมีรถเฉี่ยวชนกันเราก็นับไป อันนี้มีคนเจ็บ อันนี้ไม่เป็นไรมาก ก็ติ๊กไป จนกระทั่ง โครม !.. หยุดการทดสอบ เราไปเจอกันที่วัด นับตัวเลข ฟังพระสวดไปพลางๆ
ทฤษฎีของไฮน์ริช เมื่อเอามาผนวกกับ ทฤษฎีภูเขาน้ำแข็ง ก็จะพอมั่วๆตัวเลขเอาว่า ใต้อุบัติเหตุที่ไม่มีการบาดเจ็บหรือเสียหายนั้น มีเหตุการณ์แบบเสียวๆเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา 3000 ครั้ง อันนี้ไม่รู้ที่มาว่าใครเอาตัวเลขนี้มาจากไหนเพราะตอนนั้น ไฮน์ริชแกไม่ได้บอก
 
 

 จากตัวเลขพวกนี้ เราสามารถเอามาคำนวณหาความโปร่งใส ความเอาจริงเอาจังของการรายงานอุบัติเหตุได้ ก็คือว่า ถ้ามีรายงานอุบัติเหตุแบบชนิดมีคนตาย หรือบาดเจ็บรุนแรงมา 1 ครั้ง บริษัทที่โปร่งใสจะต้องมีอุบัติเหตุประเภทไม่รุนแรง แค่หามดหาหมอ แปะพลาสเตอร์ 29 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ตามทฤษฎีนี้ เขาใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก ของความโปร่งใสในการรายงานเหตุที่ไม่รุนแรง โดยใช้ตัวเลข 1 หารด้วย 29 ได้ออกมา =  0.03448
สมมติ บริษัทหนึ่ง มีสถิติว่าทั้งปี
มีคนตาย 2 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย  รวมแล้ว อุบัติเหตุรุนแรง = 2+12 = 14 ราย
แต่ทั้งปีมีรายงาน อุบัติเหตุปฐมพยาบาล 4 ราย บาดเจ็บที่พบหมอแล้วกลับบ้าน 5 ราย แค่เนี็ย รวมๆแล้ว = 9 ราย

ลองคำนวณ ค่าความโปร่งใสในการรายงานเหตุที่ไม่รุนแรง หรือ
Transparency Rate of Minor Accident = 0.03448 X 9 / 12
                                                              = 0.02586  แปลว่า บริษัทนี้ โคตรโม้

ถ้าตัวชี้วัดคำนวณออกมาได้ มากกว่าหรือ เท่ากับ 1 แสดงว่า บริษัทนี้ แหม ผู้บริหาร ผู้จัดการ พนักงาน พากันร่วมอกร่วมใจรายงานอุบัติเหตุแม้จะไม่รุนแรงโดยไม่ปิดๆบังๆมุบๆมิบๆ


ทีนี้ ลองมาดูว่า ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส (Nearmiss Transparency Rate) ก็คำนวณแบบนี้ครับ

Nearmiss reporting Transparency rate =

                                 0.09667 x Nearmiss case / Minor accident case
สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง

ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊

Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044 

สมมติว่าบริษัทเดิมนั่นแหละ รณรงค์กันทั้งปี มีรายงาน เนียร์มิสมา 25 ราย ลองคำนวณดู เพื่อจะดูว่าโม้รึเปล่า
ความโปร่งใสในการรายงานเนียร์มิส = 0.09667 X 25 / 9 = 0.268
โอ้โฮ... แสดงว่าสถิติอุบัติเหตุที่รายงานมา โม้ชัดๆ บางคนยังสงสัย ตัวเลข 0.09667 ได้มาจากไหน ก็ได้มาจาก 29/300 ไง
ถ้าจะคำนวณหาความโปร่งใสในการรายงานสภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ก็ใช้ค่าถ่วงน้ำหนัก 300/3000 = 0.1
ยกตัวอย่างบริษัทเดิม เมื่อตะกี้รายงานเนียร์มิสมา 25 รายทั้งปี
รายงานสภาพการณ์อันตรายมา 11 ราย ทั้งปีเนี่ยนะ จริงดิ๊
Unsafe Behavior or situation reporting transparency rate =
0.1 x 11/ 25 = 0.044 
ถ้าเป็นแบบนี้ บอกได้เลยว่า ไอ้ที่ไม่มีอุบัติเหตุมาต่อเนื่อง ต้องเล่นของชัวร์


ของเขาแรง






 




วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ประเภทของพยาน -Types of witness


Types of witness in accident scene
 
 
ในค่ำคืนวันที่ 14 สิงหาคม 2003 หากมีกล้องวงจรปิดอยู่แถวๆถนนฉะเชิงเทรา-บางปะกง เราก็คงไม่ต้องพึ่งพาคำให้การ (พูดแบบนี้เดี๋ยวจะพลอยทำให้พวกเราที่ชอบใช้ศัพท์ว่า สืบสวนสอบสวนอุบัติเหตุ จะไปสับสนคิดว่าเหมือนกับที่ตำรวจสอบสวนคนร้าย แบบนั้นเขาเรียกว่า Interrogation บางรายอาจจะนึกถึงอุปกรณ์ประกอบการสอบสวน เช่น ตะเกียบไว้ตีไข่ ยางหนังกะติ๊กไว้กระตุ้นการตื่นตัวของวัตถุพยาน)
การสอบสวนอุบัติเหตุ พยานประเภทแรกที่เราต้องเจอ คือผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นคนบาดเจ็บ คนทำให้บาดเจ็บ บางทีมีหลายคน แบบว่าช่วยๆกันทำ พยานแบบนี้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ บางคนก็พูดไม่ได้ อย่างไอ้หนุ่มที่ไปนอนใต้ท้องรถของประยูร บางคนก็ไม่อยากพูด อย่างประยูร เพราะกลัวถูกลงโทษ กลัวติดคุกติดตะราง บางคนก็อยากพูด แต่เบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น พยานกลุ่มนี้เรียกว่า Principal Witness
จากคำให้การของประยูร มีอะไรบ้างที่ท่านสามรถจับและจดประเด็นได้ เวลาจดคำให้การ ให้จดไปตามที่เขาพูด จดแจกประเด็นเป็นข้อๆ จดไปอย่าเรียบเรียงประโยคเอง แล้วอย่ามัวไปนั่งวิเคราะห์สาเหตุ ยังก่อน อย่าใจร้อนไอ้น้อง
การสัมภาษณ์พยานก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกัน
พยานกลุ่มที่สอง คือ Eye witness พวกนี้ไม่ได้ร่วมทำอะไรกับเขา แต่ได้เห็นเหตุการณ์ เห็นนะ ไม่ใช่ เห็นเขาว่ามา แบบนั้นเรียกไทยมุง คือไม่มีใครเห็น พวกไทยมุงก็จะถามกันไปมาว่า มีอะไรกันนะ สรุปก็คือ ไม่มีใครรู้  ต่างจาก Eye witness พวกนี้เห็นจะๆ เห็นเขาทำ อย่างนั้นอย่างนี้ บางคนเห็นนานมาก จนเกิดอาการเสียวสยิวสยองกับเขาไปด้วย (อย่าคิดลึก อย่างเห็นคนกำลังถูกเครื่องตัดนิ้วหลุด ถึงกับครางซี๊ดออกมาด้วยความเสียว)

พยานกลุ่มที่สามคือ พวก Emergency team พวกนี้มาถึงที่เกิดเหตุ ใกล้กับเวลาเกิดเหตุ จะได้เห็นว่าตอนนั้นรถอยู่ตรงไหน ศพอยู่ตรงไหน นอนหงาย นอนคว่ำ ไฟมอดรึยัง ช่วยเหลือกันยังไง พวกนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตอบสนองเหตุฉุกเฉินได้ดี

พยานอีกกลุ่ม คือพยานประเภทที่ทำงานคล้ายๆกัน พวกที่เป็นหัวหน้า พวกที่เป็นคนจ่ายงาน พวกที่จัดการประชุม พวกตรวจสองเครื่องมืออุปกรณ์ พวกนี้ เราเรียกรวมๆว่า Organizational witness

อ่ะ มาลุ้นกันต่อกับคำถามเหล่านี้ ใครตอบถูก แจกตั๋วเครื่องบินไปกลับ ยะลา ปัตตานี
ก. คนที่นอนใต้ท้องรถ ตายก่อนเข้าไปนอน หรือถูกประยูรเหยียบตาย เราจะรู้ได้ยังไง
ข. เวลาเกิดเหตุที่ตรงเป๊ะที่สุด หาได้จากที่ไหน
ค. ชายคนนั้นเขาคือใคร เหตุใดจึงมาอยู่ใต้ท้องรถ
ง.ประยูรบอกว่าขับมาช้าๆ จริงหรือ
จ.ทำไมประยูรเห็นแค่เงาตะคุ่มๆ

เห็นมั๊ย ชักมันส์แล้วใช่มั๊ย สนใจหลักสูตรนี้ ติดต่อนี่เลย http://funnysafetytraining.blogspot.com


วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รักจางที่บางปะกง- คำบอกเล่าของประยูร

 
เหตุเกิดขึ้นที่ถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา ไม่ไกลจากป้อมยามของบริษัทเกษตรรุ่งเรือง และเป็นระยะทางอีกเพียง 500 กิโลเมตร ก็จะถึงคลังก็าซแอลพีจี และศุนย์ขนส่งก๊าซ เวลาที่เกิดเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด
ผมได้รับโทรศัพท์รายงานอุบัติเหตุในตอนรุ่งเช้าของวันที่ 14 สิงหาคม 2003 จึงได้ประสานงานเพื่อทำการสอบสวนอุบัติเหตุครั้งนี้
แน่นอน ผมไปในฐานะ Lead Investigator
การสอบสวน เริ่มต้นจากรายงานของหัวหน้างานที่ส่งมา ได้ความว่า รถบรรทุกแอลพีจี กำลังมุ่งหน้ากลับจากการส่งก๊าซให้ลูกค้าแถวๆฉะเชิงเทรา เมื่อใกล้จะถึงคลัง รถคันดังกล่าวได้เกิดการเฉี่ยวชนกับรถมอเตอร์ไซค์และมีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย ส่วนคนขับรถ นั่งอยู่ข้างหน้าผมแล้ว เขาชื่อประยูร
 
การสอบสวนอุบัติเหตุ เริ่มต้นจากการรวมรวมข้อเท็จและข้อจริงทั้งหมด จากพยาน ซึ่งสำหรับประยูร เขาเป็น Principal witness
หลายๆครั้ง ผมเห็นการสอบสวนอุบัติเหตุ จะมีผู้จัดการโรงงาน หัวหน้างาน เซฟตี้ นั่งเรียงหน้ากัน สอบพนักงานที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ทำราวกับเขาเป็นฆาตกร ที่กำลังจะต้องถูกพิพากษาโทษ โดยหารู้ไม่ว่า ไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุนั้นๆ ก็คือไอ้หัวหน้าและผู้จัดการที่กำลังตะคอกข่มขู่พยานอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่เคยพาดพิงถึงความล้มเหลวในการจัดการของตนเองเองเลย ตรงกันข้ามพยายามกลบเลื่อนเบี่ยงเบนประเด็นตลอด
ถ้าคุณไม่รู้ว่าใคร คือ Principal witness, ใครคือ Eye witness ใครบ้างที่อยู่ในข่ายที่ต้องสอบถามในฐานะผู้เข้าช่วยเหลือระงับเหตุ ใครคือผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงแต่เป็นผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน คุณพลาดแล้ว
 
ประยูร มีท่าทางกลัวและกังวลอย่างเห็นได้ชัด หัวหน้างานที่นั่งข้างๆผมพยายามพูดแทรกตลอด เขาด่าประยูรว่า ทำไมถึงรีบกลับไปโดยไม่แจ้งและรายงานอุบัติเหตุ และบ่นเรื่องราวต่างๆอีกมากมายจนผมต้องห้ามและขอให้เขาออกไปก่อน
 
ประยูรเล่าว่า "ผมขับรถเปล่ามาจากโรงงานลูกค้าแถวๆฉะเชิงเทรา มาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มเชลล์แถวๆบางปะกง แล้วขับมาช้าๆ ก่อนจะถึงคลัง ผมเห็นเงาตะคุ่มๆอยู่กลางถนน ไม่รู้ว่าอะไร พอเข้าไปใกล้ถึงได้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ ผมตัดสินใจขับคร่อมไป ได้ยินเสียงครูดไปกับพื้น ไปสักประมาณห้าหกเมตร ผมจอดลงไปดู เห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์อยู่ใต้ท้องรถ และมีศพอยู่ด้วย ผมจึงตัดสินใจ ปิดไฟและพยายามขับถอยหน้าถอยหลัง จนหลุด แล้วรีบเอารถกลับเข้าคลัง"
 
จากคำให้การของประยูร คุณรู้หรือยังว่าเหตุเกิดขึ้นที่ไหน เวลาเท่าไหร่ เหตุเกิดขึ้นอย่างไร และที่สำคัญ มีคนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้กี่คน ใครเป็น Witness ประเภทไหน ศพที่อยู่ใต้ท้องรถ ตายก่อนจะถูกประยูรเหยียบและลากไป หรือเสียชีวิตอยู่ก่อนแล้ว
 
การสอบสวนอุบัติเหตุที่ถูกต้อง มีขั้นตอนที่สำคัญ 8 ขั้นตอน คืออะไรบ้าง ติดตามตอนต่อไป
อ่ะ ดนตรี ม่ะ  "ใฝ่พะวงหลงฟ่าว สาวจะบางจะเกร็ง เป็นมะเร็งแข็งที่อ สะดือ โบ๋..." โอ้เวรกรรมซ้ำซาก อยากมีนมโต ไปบางโพสาวเจ้า เข้าศัลยกรรม...แด่ แด๊ แด..) สนใจเทคนิค Causal Tree, ICAM, Bow-Tie, Event Tree, Causal Tree, Fault Tree and SCAT  สำหรับการวิเคราะห์เจาะลึก สาเหตุอุบัติเหตุ คลิก
 
 
 

 

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

บอกแล้วว่าอย่าตก ไอ้ตูดเอ๊ย

 

สมัยทำงานเป็น Regional HSE Leader Asia Pacific- แหม ชื่อตำแหน่ง ฟังดู บะเฮิ่มเทิ่มดี ดูแลโรงงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ครอบคลุมประเทศ ไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ อินโดนีเซียและจีน รวมๆแล้ว 15 โรงงาน แต่ละโรงงาน มีสภาพไม่แตกต่างกัน ถ้าจะจัดลำดับความเพียบพร้อมของระบบการบริหารจัดการ ก็ไล่ไป ตั้งแต่ ทุเรศทุรัง...ห่วยแตก...พอเอาได้...ไม่ขี้เหร่...เท่ห์ขั้นเทพ

โรงงานที่อินโดนีเซียจัดอยู่ในขั้น ทุเรศทุรัง น่าสมเภทเวทนา

ฝนตกมาแต่ละที หลังคารั่ว ตู้ไฟฟ้าที่สัปปะรังเคก็ถูกน้ำฝนไหลเข้าไป พื้นโรงงานเจิ่งนองเป็นท้องทุ่ง เราก็จัดการกระแซะจนกระทั่งได้งบมาก้อนหนึ่งเพื่อเปลี่ยนหลังคา ตอนนั้น ทั้งผู้จัดการโรงงานและเซฟตี้เอวเด้ง (ไอ้นี่เต้นรุมบ้า เอ็วกระดิ๊กๆ มันเก่งมาก) ล้วนดีอกดีใจ ที่ปัญหาคาราคาซังมาเป็นชาติจะได้รับการแก้ไขซะที เห็นมะ ตำแหน่งใหญ่เนี่ยมันดียังงี้แหละ ชี้อะไรมันก็ได้ตังค์ ถ้าเป็นเซฟตี้ตัวเล็กๆ ขนาดเอานิ้วยัดเข้าไปในเครื่องจนกุดทั้งห้านิ้วแล้วบอกว่า เครื่องจักรไม่มีฝาครอบ มันก็ไม่มีใครสนใจ แถมถูกไล่ออกอีกข้อหาทำให้เกิดอุบัติเหตุ
พอได้งบมา ก็จัดแจงพูดคุยวางแผนงานเปลี่ยนหลังคา หลังคาโรงงานเป็นกระเบื้องซีเมนต์ที่มีแอสเบสทอสผสมอยู่ มันเก่างั๊ก หลังคาทรงจั่ว ชันประมาณสักสามสิบองศา เพราะฉะนั้น ความเสี่ยงเฉพาะหน้าก็คือ ความเสี่ยงจากการตกจากที่สูง ก็ราวๆ 14 เมตร เพราะกระเบื้องมันผุ แถมพวกแป พวกคานบางจุดก็ผุ มิหนำซ้ำ แอสเบสทอส ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุม
คุยขั้นตอน เกี่ยวกับระบบป้องกันตก (Fall Protection) กำหนดทางขึ้น ทางลง เรื่องการทำ Safe Working Platform เพื่อการขึ้นลง และการลำเลียงวัสดุ คุยกันเรื่องระบบ Fall Arresting System อธิบายขั้นตอนการติดตั้ง ABCD-E, Anchoring Point, Body Harness, Connectors, Decererating device และ Emergency Rescue. บ๊ะ!!.. กับว่าต่างเข้าใจทะลุปรุโปร่ง
พอเรากลับไปอีกที เลี้ยวรถเข้าประตูโรงงาน แหงนไปดูบนหลังคา อุ๊ย จะว๊าย แม่เจ้าโว๊ย!! หัวใจจะวาย มีคนบนหลังคา วิ่งไปวิ่งมา บ้างก็ลำเลียงกระเบื้องใหม่ขึ้นไป บ้างแบกกระเบื้องเก่ามาวางบนไม้ไผ่คู่หนึ่งที่พาดจากหลังคาถึงพื้นใช้เป็นสะพานกระดานลื่น แผ่นกระเบื้องเก่าไหลพรวดเดียวแตกกระจายฝุ่นตลบ
เลยให้ผู้จัดการโรงงานและเซฟตี้เอ็วอ่อน เรียกคนทั้งหมดลงมา สอบถามได้ความว่า ทั้งผู้จัดการและผู้รับเหมา เห็นตรงกันว่า ไอ้ระบบที่ยูแนะนำไว้นั่นนะ ใช้ไม่ได้ ไม่น่าจะมีใครตกหรอก โอ้ว !!
ก็เลยเรียกคนทั้งหมดมาเข้าแถว แล้วขอร้องไอ้เซฟตี้เอวอ่อนแปลเป็นภาษาบาฮาซาห์อินโดให้ นึกในใจ ถ้ากูพูดบาฮาซาร์ได้ละมึง กูด่าแหลก
เอาละ ใครไม่อยากใส่เซฟตี้ฮาร์นเนสและเกี่ยวสายกันตกกับไลฟ์ไลน์บ้าง มันยกมือพรึ่บ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เวลาพวกชวายิ้มเนี่ย มันดูแปลก มันยิ้มเหมือนไอ้เท่งในหนังตะลุง
เอาละ ในเมื่อพวกยูไม่อยากใส่อุปกรณ์ที่จะป้องกันไม่ให้ตกถึงพื้น ฉันเข้าใจ แหม คราวนี้มันยิ้มใหญ่กว่าเดิม
เอาละ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า สภาพที่พวกยูกำลังเผชิญอยู่ มันเสี่ยงต่อการตก ถ้าเหยียบไปโดนแผ่นผุๆ ร่วงปุ๊เดียวสิบสี่เมตร ใช่มั๊ย พวกนั้นพยักหน้าเป็นภาษาบาฮาซาร์
เอาละ พวกยูจะไม่ใส่อุปกรณ์ป้องกันตกก็ได้นะ แต่มีข้อแม้ข้อเดียว คราวนี้มัยยิ้มราวกับเทวดามาโปรด
พวกยู บินได้มั๊ย ทำท่ากระพือปีกให้มันดู เงียบ จ้องหน้าปะล่อกปะแล่ก พวกยูฟังไม่ผิดหรอก ใครบินได้มั่ง เพราะคนที่บินได้ เวลาตก ก็แค่กางปีก กระพือพั่บๆ บินขึ้นแล้วค่อยๆร่อนลงจอด พวกยูกตกกี่ทีก็ไม่ตาย
เอาล่ะ เดี๋ยวจะทดสอบว่าใครบินได้และบินเก่ง จะไม่ต้องใส่อุปกรณ์ป้องกันตก ว่าแล้วก็ต้อนไอ้พวกนี้ไปที่แพลทฟอร์ม บอกให้ขึ้นไปกระโดด บินให้ดู สุดท้าย ไม่มีใครบอกว่าบินได้สักคน
ส่วนไอ้ผู้จัดการโรงงาน กับไอ้เซฟตี้หัวขวดเอ็วอ่อน เผ่นแนบ ไปหลบในออฟฟิส เพราะกลัวถูกจับมาบินให้ดู
ใครอยากรู้ว่าตัวเองต้องใส่หรือไม่ต้องใส่อุปกรณ์กัยตก ถามตัวเองซะก่อน ว่าบินได้มั๊ย
 
การทำงานบนที่สูง ป้องกันก่อนการตกให้ได้ ถ้าป้องกันไม่ได้ มันจะต้องตกไม่ถึงพื้น แค่นั้นแหละ มันยากตรงไหนวะ
อยากรู้ว่าฟิสิกส์ของการตกเป็นยังงัย ไปอ่านในบล๊อกแรกๆ เขียนไว้ ไม่มีใครอ่าน อ่านเองก็ได้วะ หุๆ เรื่องเซฟตี้ ในภูมิภาคนี้ ห่วยแตกทุกประเทศ ยกเว้นเกาหลีใต้ มันรวย ส่วนประเทศอื่น ยังวนเวียนอยู่ในวงจร โง่ จน เจ็บ เหมือนกันหมด เฮ่อ
 


วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โรคไอคร่อกแคร่กของแขกโพกผ้า

 

 

 

สองสามวันมานี่มีข่าวสะเทือนขวัญแฟนๆวงบอยแบนแดนกิมจิ และบรรดาพี่ป้าน้าอาที่ติดซีรี่ส์เกาหลีอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นห่วงว่าพวกเขาจะได้รับอันตรายจากการแพร่ระบาดของโรคชื่อแปลกๆ ที่เรียกว่า เมอร์ส

MERS- ย่อมาจากคำว่า Middle East Respiratory Syndrome

อาการเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจของคนตะวันออกกลาง หรือโรคไอคร่อกไอแคร่ก ไอกระด๊อกไอกระแด๊กของแขกตะวันออกกลาง ซึ่งสำนักควบคุมโรคสหรัฐอเมริการ หรือ CDC ให้ข้อมูลไว้ว่า เชื้อที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้ มันคือ ไวรัสโคโรน่า บางคนอาจจะเริ่มกังวลแล้วสิว่าอีกหน่อยคงมี ไวรัสอัลติ๊ด ไวรัสวีออส ไวรัสแคมรี่  เพราะฉะนั้น ถ้าจะเรียกโรคที่ระบาดในตะวันออกกลาง เขาจึงเรียกมันว่า MERS-CoV (Middle East Respiratory Syndrome- Corona Virus)
เชื้อไวรัสตัวนี้มีฤทธิ์ต่อปอดและทางเดินหายใจ  ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการ ไข้ ไอโคร่กเคร่ก และหายใจขัด บางรายมีอาการท้องเสีย คลื่นใส้ อาเจียนร่วมด้วย บางรายมีอาการคล้ายเป็นหวัดธรรมดา พอจะใช้อ้างลาป่วยไม่มาทำงานได้ บางรายไม่แสดงอาการเลยก็มี จากสถิติ พบว่าผู้ป่วย 10 ราย จะเสียชีวิตไป 3-4 ราย โรคนี้พบครั้งแรกที่ประเทศจอร์แดน และแพร่ระบาดในซาอุดิอาระเบีย ตลอดจนประเทศในแถบตะวันออกกลางระหว่างปี ค.ศ. 2012 ระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 5-6 วัน หรืออาจจะอยู่ในช่วง 2-14 วัน

เชื้อไวรัสโคโรน่า ติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรงกับผู้ติดเชื้อ เช่นสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสลด สารคัดหลั่ง จูบจ๊วบจ๊าบกัยผู้ติดเชื้อ แบบนี้ติดชัวร์ บางคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเกิดผู้ติดเชื้อ ไอ โคร่กๆ เราอยู่ใกล้ๆจะติดไหม คำตอบคือ ติด เพราะเวลาไอจามแต่ละที ละอองที่กระเด็นกระดอนออกมาจากปากของผู้ป่วยก็จะลอยไปในอากาศ เราสูดเข้าไป มันก็ย่อมติดกันได้ง่าย แต่นั่นต้องใกล้มากเลยทีเดียว ตอนนี้ยังไม่ยืนยันว่าเชื้อแพร่ได้นานๆในอากาศมากน้อยแค่ไหน รอแป๊บ แพร่ได้เมื่อไหร่แล้วจะมาบอก

 
ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
 
ก็บอกไปแล้วว่า โรคนี้เกิดขึ้นและแพร่ระบาดแถวๆตะวันออกกลาง
คนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อก็คือคนที่เดินทางไปตะวันออกกลาง
อ้าว ยังงี้น้องซองจีฮอน น้องยอนจังฮู น้องรูยังป๊าค จะติดได้ยังงัย


มีรายงานด้วยว่า อูฐก็พบเชื้อไวรัสโคโรน่าด้วยเช่นเดียวกัน ในรายงานของ CDC จึงมีคำแนะนำสำหรับพวกที่สัมผัสอูฐ ควรล้างไม้ล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการกอดจูบลูบคลำอูฐ พวกที่อยู่กลางทะเลทรายนานๆอาจจะเผลเห็นอูฐสวยเข้าก็ได้ ใครจะไปรู้ เดี๋ยวนี้มีโรคแปลกๆ อย่างอีโบล่า ก็เริ่มมาจากลิง โรคเอดส์ก็ว่ากันว่าเริ่มจากมีคนไปแอบอิอ๊ะ อะซี๊ดอะซ๊าดกะลิงแล้วเอามาแพร่ระบาดในคน โรคไข้หวัดนก ก็เริ่มจากตัวอะไรไม่รู้ โรคซาร์ส ก็มาทำนองเดียวกัน เอาเป็นว่า หมั่นล้างมือหลังสัมผัสกับสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงคนด้วย

 

ประเทศไหนบ้างที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด

คำตอบคือ ทุกประเทศที่ดัดจริต ไม่โปร่งใส ไม่เอาจริง ผู้คนเห็นแก่ตัว ขุนนางชั่วครองเมือง เห็นแต่เรื่องเศรษฐกิจ ปกปิดการพบผู้ติดเชื้อ ไม่มีความน่าเชื่อถือในการกักกันโรค บริโภคอาหารดิบๆสุก ผู้คนมีความสุขในการไอโคร่กเคร่กในที่สาธารณะโดยไม่มีผ้าปิดปากปิดจมูก  ถูกกดดันให้มาทำงานทั้งๆที่เป็นหวัดขี้มูกยืด สรุป คือประเทศที่ไร้ระบบในการจัดการการแพร่ระบาดในระดับที่เรียกว่า Pandemic พูดไปก็เปลืองกระดาษ เอาเป็นว่า รักษาสุขนิสัยส่วนตัว กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ อย่าถือวิสาสะ ใช้สิ่งของร่วมกับคนอื่น ใช้แฟนร่วมกับคนอื่น ไม่สบายก็ลางาน ปิดปากปิดจมูกนอนเล่นเฟสอยู่บ้าน แค่นี้ก็สกัดการแพร่เชื้อไปได้มากโข จิตสำนึกสาธารณะที่ดีจะป้องกันโรคจำพวกนี้ได้
ข้อมูลเพิ่มเติมหาอ่านเอาเองที่ http://www.cdc.gov/coronavirus/mers/index.html
ษมน รจนาพัฒน์  4 June 2015

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หมอบ มุด หยุดแป๊บ


แผ่นดินไหวที่เนปาล ยังสั่นสะเทือนความรู้สึกคนทั่วโลกไม่หยุด เห็นคนเจ็บ คนตาย ซากปรักหักพังแล้วน้ำตาจะไหล เปิดหาข้อมูลในเว็ปของ OSHA    https://www.osha.gov/dts/earthquakes/preparedness.html

ไล่ดูไปเจอเทคนิคการเอาตัวรอดยามเกิดแผ่นดินไหว DROP! COVER! HOLD ON! พออ่านไปได้สองบรรทัดแรก ป๊าด!! นี่มันเทคนิคเดียวกันกับที่พวกกลัวเมียในเมืองไทยชำนิชำนาญที่สุดเลยนี่หว่า เทคนิค หมอบ มุด หยุดแป๊บ

http://www.dropcoverholdon.org/

ประมาณว่า กำลัง อะจิอะจึ๋ย เข้าด้ายเข้าเข็ม มีคนตะโกนบอก เฮ้ย เมียมึงมา... พร้อมๆกับเสียงครืนๆ พื้นลั่นเอี๊ยดอ๊าดตามจังหวะการก้าวเดินของนางยักษ์น้อย สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หมอบ   ใช่แล้ว หาที่หมอบ ตามสถิติพบว่า คนที่ได้รับบาดเจ็บจากแผ่นดินไหวน้อยที่สุดคือพวกที่ควบคุมสติได้ ไม่วิ่งเพล่นพล่านไปมา ยิ่งเคลื่อนไหวน้อยที่สุดเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น เพราะฉะนั้น หาที่หมอบก่อนเลย ก่อนจะหมอบ ดูตาม้าตาเรือด้วย ไม่ใช่ไปหมอบข้างชั้นหนังสือ ตู้กับข้าว ตู้เย็น ชั้นวางทีวี พวกนี้มันสามารถหล่นล้มลงมาได้ นั่นแหละ ใต้เตียง เหมาะมาก หมอบแล้ว ขั้นต่อมาคือ มุด น่านแหละมุดเข้าไป หาที่กำบัง เวลาแผ่นดินไหว ข้าวของ แผ่นฝ้าเพดาน อะไรต่อมิอะไรร่วงหล่นลงมา เฟอร์นิเจอร์ที่แข็งแรงอย่างพวกโต๊ะ จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ ถ้าไม่เชื่อว่าพวกที่ตายๆในแผ่นดินไหว ครึ่งค่อน ตายเพราะการถูกของหล่นกระแทกใส่ สลบไปไหนต่อไม่ได้ ลองเล่นผีถ้วยแก้ว เรียกมาถามดู อ่ะ มุดเสร็จ รอหยุดแป็บ คอยฟังเสียง นางยักษ์น้อยไปรึยัง อย่าเพิ่งออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าอาจจะถึงฆาตได้ แผ่นดินไหวก็เหมือนกัน รอให้มันหยุดก่อน แล้วค่อยออกไป

ทีนี้เอาไปฝึกกันนะ หมอบ มุด หยุดรอแป๊บ รับรอง รอด  เอ้อ... ลืมบอกไปอย่าง ข้อแตกต่างระหว่างแผ่นดินไหวกับหลบเมียเนี่ย คือ ก่อนหมอบ มุด อย่าลืม เก็บกางกุ้งกางเกงที่ถอดไว้ข้างเตียงเข้าไปด้วย เดี๋ยวจะกลายเป็นศพชีเปลือยใต้เตียงซะก่อน เหอๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

Noise Reduction Rate


ห.อูหู ห.อีอี๋


 

นี่เป็นบทความแรกที่ยอมลงทุนเป็นนายแบบเอง ดูจากด้านข้าง เฉพาะตรงใบหู เรานี่ก็หล่อไม่เบาเลยนี่หว่า ส่วนเอียร์ปลั๊กดำๆนั่น ก็ของเรา พกจนดำ

 

เพื่อนร่วมงานเก่า และค่อนข้างแก่ โทรมาถามข้อสอบ จอปอเทคนิค ว่าวิธีคำนวณหาค่าความดังของเสียงหลังจากที่สวมใส่อุปกรณ์ลดเสียงแล้ว ทำยังไง... แถมเล่าต่อว่าพวกที่ไปเรียนจอปอ ตกวิชานี้กันระนาว..

ฉบับนี้ ก็เลยจะมาสาธยายวิชาการป้องกันการสูญเสียการได้ยินแบ่งปันความรู้กันฟัง

 

ก่อนอื่น ถามพวก จอปอก่อนเลย คำถามแรก เวลาที่คุณวัดเสียงที่เกิดจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน เช่นเสียงจากเครื่องจักร คุณวัดด้วยเครื่องวัดที่บอกค่าความดังของเสียงเป็นสเกลอะไร สเกล เอ (dB(A))  หรือสเกล ซี dB (C).. บางคนทำหน้าหมาสงสัย เคยเห็นหมาทำหน้าสงสัยมั๊ย น่านแหละ แบบนั้นแหละ ที่กำลังทำนั่นแหละ ไม่เชื่อลองส่องกระจกดู

ถามต่อ ก่อนคุณจะซื้อปลั๊กอุดหู หรือซื้อที่ครอบหูมาให้พนักงานใช้ คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือก บางคนบอก เลือกจากเซลล์ที่มาขายพีพีอีครับ ถ้าขาวสวยหมวยอึ๋ม ผมไม่ซื้อครับ เพราะผมชอบกระเทย บางคนบอกก็ดูจากระดับเสียงที่ได้จากการตรวจวัดครับ อือแล้วไง ฟังดูเข้าที ถ้าเสียงดังเกินหรือใกล้เคียงมาตรฐานที่กฎหมา-กำหนดก็หามาตรการลดเสียงครับ พูดถึงตรงนี้ จอปอทำหน้าหมาเศร้า...น้ำตาคลอ ... เรื่องจะลดเสียงด้วยวิธีทางวิศวกรรม ฝันไปเถอะครับ บริษัทผมให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยครับ แต่ไม่มีงบ...ว่าแล้วก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น...แล้วสาธยายต่อพร้อมสะอื้นฮักๆ ผมก็เลยต้องซื้อเอียร์ปลั๊กให้พนักงานใส่ครับ... น่ะ กูว่าแล้วเชียว แล้วอีตอนจะซื้อเอียร์ปลั๊กเนี่ย เคยลองคำนวณดูมั๊ยว่า เอียร์ปลั๊กรุ่นที่เซลล์กระเทยมาเสนอนั้น สามารถลดเสียงลงได้จนอยู่ในระดับปลอดภัย หรือที่ผรั่งเรียกว่า Protected Exposure สุดท้ายเหลือเท่าไหร่

 

เอองั้นถามต่ออีกหน่อย ว่าเวลาจะแจกเอียร์ปลั๊กให้คนงานใส่ เคยอธิบายเค้ามั๊ยว่าต้องใส่ยังไง ทำไมต้องใส่ให้ถูก ถ้าใส่ไม่ถูกจะเป็นยังไง เสียงที่ลดได้จะเหลือเท่าไร พอๆ ไม่ต้องตอบแล้ว...

ข้างๆกล่องเอียร์ปลั๊กหรือเอียร์มัฟ จะมีเลเบลติดไว้ เคยอ่านมั๊ย.. ทำหน้าเหมือนหมาเคยอ่านซิ น่านแหละ..

เห็นมั๊ย มีคำว่า Noise Reduction Rate มีตัวเลขอยู่ บางยี่ห้อก็ 14, 19, ยี่ห้อนี้ 25 หน่วยเป็น เดซิเบล มีวงเล็บบอกว่า (ถ้าใส่อย่างที่บอก)

คราวนี้มาดูกันว่า ไอ้คำว่า Noise Reduction Rate หรือ NRR เนี่ยมันหมายความว่าอย่างไร เอานะ หายใจลึกๆ จะพูดเรื่องที่มีประโยชน์แล้วนะ

ค่า NRR เป็นตัวเลขตัวหนึ่ง ที่บอกให้รู้ว่า อุปกรณ์ลดเสียงนั้นสามารถลดเสียงได้เท่าไหร่ ตัวเลขนี้ได้มาจากการทดสอบในห้องทดลอง อย่าเพิ่งรู้เลยว่าเค้าทดสอบยังไง มีกี่วิธี เอาเป็นว่ามีหลายวิธี และมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะ ใครสนใจไปหาอ่านเอาจากลิงค์นี้  http://www.cdc.gov/niosh/z-draft-under-review-do-not-cite/hpdcompdev/pdfs/NIOSH_Compendium_Calculation.pdf

 แปลง่ายๆ หยิบเอียร์ปลั๊กมาอันหนึ่ง เห็นตัวเลข NRR = 25 dBs แปลว่า มันจะลดเสียงได้ 25 dBs จบป่ะ

ทีนี้ก็มาดูต่อว่า ถ้าระดับเสียงที่วัดได้ในที่ทำงาน สมมติว่า เท่ากับ 95 dB(A) ถ้าใส่เอียร์ปลั๊กอันนี้เข้าไป จะเหลือเสียงที่ทะลุเข้าไปในห.อูหู เท่าไหร่ ม่ะ มาดูสูตรคำนวณกัน

ถ้าวัดด้วยสเกล เอ ให้ใช้สูตรคำนวณ

ระดับเสียงที่เหลืออยู่  = (ระดับเสียงที่ไม่ได้ใส่อะไร) – (NRR-7)  

ม่ะแทนค่าสูตรกัน

ระดับเสียงที่เหลืออยู่ = 95 – (25-7)  = 95-18 = 77 dB

ถ้าวัดด้วยสเกล ซี ให้ใช้สูตรคำนวณ

ระดับเสียงที่เหลืออยู่  = (ระดับเสียงที่ไม่ได้ใส่อะไร) – (NRR) 

ม่ะแทนค่าสูตรกัน

ระดับเสียงที่เหลืออยู่ = 95 – (25) = 70 dB

 

อธิบายมาถึงตรงนี้ พวกขี้สงสัยชักเริ่มมีคำถาม อยากรู้ว่า สเกลเอ กับสเกล ซี ต่างกันยังไง เอาแบบนี้นะไอ้น้อง มึงกลับไปลงเรียนวิชา Industrial Hygiene อีกรอบไป ขี้เกียจอธิบาย มันยาว

เอาสูตรไปใช้ทำข้อสอบก่อน

ทีนี้จะอธิบายต่อว่า NIOSH ยังแนะนำต่อว่า ในโลกแห่งชีวิตบัดซบ เวลาแจกเอีย์รมัฟ เอียร์ปลั๊กแต่ละแบบ แต่ละรุ่นให้คนงานไปใช้เนี่ย ค่า NRR ควรจะต้องถูกปรับลดลงไป เช่น

เอีร์ยมัฟ ต้องเอาค่า NRR คูณด้วย 75% จะได้ค่า NRR ที่มันทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริง เช่น ถ้าตอนซื้อมา ข้างกล่องมันบอกว่า NRR = 45  คูณด้วย 75%  ก็คือ = 33.75 

ถ้าเอียร์ปลั๊กแบบโฟม ที่ก่อนใส่ต้องบี้ๆๆๆๆแล้วมันไปพองในรูหู (Slow recovery foam) แบบนี้ ให้เอา 50% คูณ  ถ้าข้างกล่องบอกว่ารุ่นนี้ ลดได้ NRR = 25  คูณด้วย 0.50 = 12.5 แปลว่า NRR จะเหลือแค่ 12.5

ถ้าเป็นเอียร์ปลั๊กแบบในรูป ให้เอา 30% คูณกับ NRR ก็จะเหลือแค่ 25x 0.30 = 7.5

 

ถ้าใช้วิธีของ NIOSH เอาค่า NRR ที่ปรับลดค่าลงตามโลกแห่งชีวิตจริงไปใส่สูตรข้างบน ก็จะเห็นว่า โอ้วแม่เจ้า  ถ้าวัดด้วย สเกลเอ ใส่เอียร์ปลั๊กเข้าไปในที่เสียงดัง 95 dB(A) เอียร์ปลั๊กที่อีกระเทยขายให้ จะลดเสียงลงเหลือเพียงแค่  = 95 – (12.5-7) = 75.5 

 

ทีนี้ลองคิดดู  ถ้าคนงานเจียร์ชิ้นงาน เสียงดังปานฟ้าผ่า วัดออกมาได้ 140 dB(A)  ใส่เอียร์ปลั๊กอีกระเทยนั่นเข้าไป เสียงที่เขาได้ยิน จะ =  140- (12.5-7) = 120.5 dB(A) เกินมาตรฐานมั๊ยหละ เกิ้น....

 

สรุปก็คือ อย่าเชื่อกระเทย อย่าเฉยเมยต่อรายละเอียด อย่าขี้เกียจคำนวณ อย่าชวนทะเลาะ จบดีกว่า

 

ษมน รจนาพัฒน์

23 January 2015



วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

สมัยเด็กๆ อยู่บ้านนอกที่สุพรรณ


สมัยเจ้าคุณตาเจ้าคุณยายส่งไปดูงานที่บ้านนอก

 

เวลามีงานบวช งานแต่ง งานตาย งานขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก ทุกงานแถวๆนั้น ต้องมีขนมชั้นสีฉูดฉาดเป็นของหวาน คู่กับขนมหม้อแกง ขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมเม็ดขนุน อย่างหลังนี่เป็นของโปรดผมเลย เพื่อนฝูงญาติมิตรที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ในโอกาสหน้า อย่าลืม ขนมเม็ดขนุน แต่ขนมชั้นไม่เอา มันใส่สี สมัยนั้นเป็นสีย้อมผ้าตรารถไฟ แม่เจ้าประคุณรุนช่อง สีชมพู สีเขียว สีแดง แป๊ด คนที่เขาทำขนมแต่ละคน พอสีติดมือ กว่าจะล้างออก ก็หลายอาทิตย์ สมัยนั้นมันไม่รู้ เราก็กินกันเข้าไป ตอนนี้ กูรู จะมาบอกเรื่องราวที่เกี่ยวกับสารเคมี จะได้กลายเป็นกูรู้ และระมัดระวังตัวกันมากขึ้น


 


ผมหยิบ เอกสารกำกับความปลอดภัยของสารเคมี หรือที่เรียกว่า แมททีเรียลเซฟตี้เดต้าชีต (Material Safety Data Sheet) มาสักฉบับ แล้วจะค่อยๆอธิบายไปช้าๆ

เอกสารนี้ มันมีประโยชน์ก็อีตรงที่มันถูกบังคับให้ผู้ผลิตสารเคมี ผู้จำหน่าย ต้องบอกให้ผู้ใช้รู้จักสารเคมีตัวนั้นในทุกแง่ทุกมุม เพราะในเมืองนอก ขืนมีคนเอาสารเคมีไปใช้แล้วเกิดอันตราย เพราะไม่รู้ ไอ้บริษัทนั้นมันมีหวังโดนฟ้องล้มละลายกันไปข้างหนึ่ง นั่นเมืองนอกนะครับ เมืองไทย ยังไม่เคยได้ยินว่าใครฟ้องใคร เบื่อพูดแล้ว เรื่องการบ้านการเมือง ความเจริญขึ้นความเจริญลงของประเทศสาระขันธ์นี่ เอาเป็นว่า เรามาเข้าเรื่องดีกว่า

แมททีเรียลเซฟตี้เดต้าชีต (กูจะอ่านเดต้าชีตหนักกะบาลใครหือ มึงอยากอ่านดาต้าชีต ก็เรื่องของมึงดิ ปฏิรูปก่อน ค่อยเถียง...ขออภัย ผีผู้ชุมนุมเข้าสิง)
 
 
 
ในท่อนที่ 1 เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวสารเคมีและผู้ผลิตผู้จำหน่าย เวลาฟ้องร้องจะได้ฟ้องถูกชื่อถูกคน
อย่างสารเคมีตัวนี้ ชื่อทางการค้าว่า ดิสโซฟวีน (ทำปากจู๋ๆเอาฟันล่างไปชนกับริมฝีปากบน เวลาออกเสียงวีน มันจะคล้ายเสียง หวึๆๆ) ชื่อทางเคมีของมันคือ ไดเอทธิลีนเอมีนเพ็นตะอะซีติคแอสิด หรือ เพ็นตะโซเดี่ยมซ้อลท์ (ถึ)
มีตัวย่อถัดมาเขียนว่า C.A.S. Registry No. มันย่อมาจากคำว่า เคมิคอล แอบสะแตรค รีจีสตรี้ นัมเบอร์ ถ้าจะว่าไปก็คือ เลขประจำตัวประชาชนของสารตัวนี้แหละ ที่ขึ้นทะเบียนไว้ บางคนทำหน้างงๆ ขึ้นทะเบียนไว้กับใคร โอ้โห อยากรู้ลึก ขึ้นไว้กับกำนันมั๊ง !! ฮึ่ย ไว้จะมาขยายความให้ ตอนนี้เอาแค่ว่า ถ้าสารเคมีตัวนี้มีปัญหา จะโทรแจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการกรณีสารเคมีหกรั่วไหล ตามกฎหมา ไทย ก็กระทรวงอุตสาหกรรม โทรไปป๊าบ กระทรวงนี้ พิมพ์หมายเลขนี้เข้าไปป๊าบ ดึงข้อมูลออกมาปรื๊ดดด รู้เลยว่าต้องจัดการยังงัย เมืองนอกเขาทำได้นะ เขามีเค็มเทรค บ้านเราไม่รู้มีรึยัง เพราะ พรบ.นี้ออกมาตั้งแต่ปี 2535 นู่นสมัยพฤษภาทมิฬนู่น ทำรึยังไม่รู้ ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี ส่วนไอ้พวกมานั่งเป็นรัฐมนตรีก็ไม่รู้เรื่อง วันๆตีกอลฟ์ตีอีกบอีก้อยไปเรื่อย มันไม่รู้หรอก อย่าไปยุ่งกะมันเลย เอาเป็นว่าตัวเลข CAS สำคัญมาก เพราะเป็นเลขประจำตัวประชาชน ไม่ซ้ำกัน เมืองไทยมีเลขประชาชนซ้ำกันได้ด้วยนะ จะบอกให้ ไทยแลนด์โอนลี่ ที่ไหนไม่มี กูมีหมด พูดไปเดี๋ยวไอ้พวกขวาจัดไล่ไปอยู่ประเทศอื่นอีก คร๊าบพี่ ผมรักชาติค๊าบพี่ แหม บ่นนิดบ่นหน่อย ทำขยับนกหวีด เดี๋ยวตบนกหวีดเข้าคอเลย ฮึ่ย
ถัดมาก็เป็นสูตรทางเคมี พวกที่เขาเรียนเคมีมาเห็นป๊าบ รู้เลย ว่าสารตัวนี้อยู่กลุ่มไหน กปปส. เสื้อแดง เสื้อเหลือง มีฤทธิ์ทางการเมือง มีแบ็ค ไม่มีแบ็ค อะตอมจับกันแบบไหน มีกี่แขน มีมือที่มองไม่เห็นจับอยู่ด้วยมั๊ย รู้หมด
ถัดมาก็ ชื่อ ที่อยู่เบอร์โทร ผู้ผลิต และที่สำคัญ เบอร์โทร กรณีเกิดเหตุฉุกละหุก



 

ข้อมูลในส่วนนี้สำคัญมาก ต้องอ่าน และทำความเข้าใจให้ดี บางคนบอก โหพี่ ภาษาอังกฤษ ผมไม่ได้ใช้นานแระ ตั้งแต่ย้ายไปเรียนเยระมัน พอเจ้าคุณปู่เสีย กลับมาเรียนที่บุรีรัมย์ ไม่ได้ใช้นาน อ่านไม่ออก.. มะจะอ่านให้ฟังทีละบรรทัด โอเข

 

บรรทัดแรก สิ่งที่พึงรู้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน มันบอกว่า สารเคมีตัวนี้จัดได้ว่าเป็นสารที่อันตราย ตามกฎหมายกระทรวงแรงงานสหรัฐ เรื่องมาตรฐานการสื่อให้รู้ถึงอันตราย (29 CFR 1910.1200) อ่ะ ข้างหลังยกมือ จะถามว่าอะไร อ๋อ...บ้านเรามีมั๊ย กฎหมา แบบเนี๊ย... คำตอบคือ...แถ่น แทน แท๊น... มีครับ กฎหมาเราชื่อว่า กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.. ๒๕๕๖

 

ไว้จะมาชำแหละให้ฟังอีกที เกี่ยวกับกฎหมาฉบับนี้ เดี๋ยวไม่จบ

บรรทัดถัดมา มีคำว่า Warning! วาร์นนิ่ง แปลว่า คำเตือน

·       สารเคมีตัวนี้กัดกร่อนโลหะอะลูมิเนียม

·       สารตัวนี้เจือปนด้วยไตรโซเดี่ยม หรือ เอ็นทีเอ เล็กน้อยซึ่งทำให้เกิดอันตรายต่อไต หรือทำให้เกิดมะเร็งที่ไตของสัตว์ทดลอง (ไม่ได้บอกว่าไตของคนนะ ไปคิดเอาเองมั่ง บางเรื่องให้คิดไม่รู้จักคิด บางเรื่องไม่ให้คิดมากก็ดันเอาไปคิด)

·       สารเคมีตัวนี้ทำให้เกิดอันตรายต่อฟีตัส อันนี้หมายถึงตัวอ่อนที่ยังอยู่ในครรภ์ ของสัตว์ทดลอง

·       หลีกเลี่ยง อย่าให้เข้าตา ผิวหนัง หรือเปื้อนเสื้อผ้า เอาไปฝากลูกเมียที่บ้าน เขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่

·       สารเคมีตัวนี้ ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เวลาใช้งานมัน อ่ะ มีคำถาม ทำไมต้องใส่ ไม่ใส่ได้มั๊ย ด๊าย... แต่นายจ้างต้องห้ามลูกจ้างทำงานกับสารเคมี ผิดกฎหมาย เอ็งก็ด้วย ไม่ใช่เฉพาะนายจ้าง .. แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย รู้รึยังว่ามันอันตราย.. บางคนเถียง ผมไม่มีตัวอ่อนในครรภ์ครับพี่ มีแต่ตัวอ่อนห้อยอยู่นอกครรภ์ ตัวเท่าใส้กรอก โตเป็นบางที ฉี่ทีต้องประคอง

·       บรรทัดถัดมา บอกว่า สารเคมีตัวนี้ สีเหลืองจางๆใส เป็นของเหลว มีกลิ่นแอมโมเนียอ่อนๆ พูดง่ายๆ สีเหลืองคล้ายฉี่ กลิ่นก็คล้ายๆ ใครไม่รู้กลิ่นฉี่เป็นงัย ไปขอดมของเพื่อนไป

บรรทัดถัดมา ผลกระทบต่อสุขภาพ

 

สารเคมีตัวนี้เข้าสู่ร่างกายได้ด้วยเส้นทางหลักได้แก่ ทางตา ทางผิวหนัง และการสูดดม

ถัดมา มีคำว่า แอคคิ้วท์ถึ เอ็กโพเชอร์ แปลว่า ผลกระทบแบบเฉียบพลัน

·       เข้าตา ทำให้ระคายเคืองตา

·       ถูกผิวหนังแค่แป๊บๆไม่เป็นไร ถูกทุกวัน ซ้ำๆ ระคายเคืองผิว

·       หายใจเอาไอระเหยเข้มข้นเข้าไป ฮู่ย เชื่อกูดิ อย่างมึง ไม่เป็นไรหรอก ล้อเล่น ระคายเคืองทางเดินหายใจ

เอาล่ะ เห็นยังว่า เอกสารฉบับนี้มีประโยชน์มาก อย่างน้อยๆ ก็ห่อกล้วยแขกได้ เช็ดก้นก็ได้ ถ้าอ่านก็ดี อ่านแล้วคิดตามก็เกิดประโยชน์ เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ

 

ษมน รจนาพัฒน์

17 December 2014

ประวัติศาสตร์เซฟตี้

 Abraham Maslow พูดถึงเซฟตี้ไว้เมื่อปี 1943 ว่าลำดับขั้นของความต้องการของคนนั้นมีอยู่เป็นลำดับๆ เริ่มตั้งแต่ความต้องการพื้นฐาน อย่างอาหาร อา...