วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

Telematics Technology

 


ระบบ Telematics กับการบริหารการขนส่งสมัยใหม่ (Telematics and new era of logistic management)

 

หากวันนู้น ผมหิ้วกระเป๋าที่บรรจุบรรดาโบรชัวร์ และสาระพัดอุปกรณ์เดินเข้าไปหาอาเสี่ย อาเฮีย อาซ้อ ที่เป็นเจ้าของบริษัทรับจ้างขนส่ง ไม่ว่าจะขนคน ขนของ ทั้งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือขนาดกลางๆ เป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือแม้แต่ธุระกิจเล็กๆในครอบครัว ตระกูล เล้ง ตระกูลฉ่าง ตระกูลหวัง ตระกูลฮั่ว แล้วบอกว่า เอ่อ ครือๆๆๆ ผมจะมาเสนอขายระบบ เทเลแมติกส์ ก็คงจะเจอคำถามประมาณว่า

·       อารายของลื้อวะ เทเลแมติ๊ก...

·       มังช่ายทามอารายวะ เทเลแมติ๊กเนี่ย

·       มังแพงม๊าย

·       ช้าย ทามอารายวะ

·       อั๊ว ชอบแบบทามมะดา เทคโนโลยีเยอะๆ อั๊วช้ายม่ายเป็ง 

บอกตรงๆนะครับ มันก็ออกจะเข้าใจยากอยู่เหมือนกัน ที่จะอธิบายให้บรรดา เฮียเข้าใจได้ง่ายๆ เอาเป็นว่า ผมจะพยายามถามๆ ว่าเฮียๆ เคยเจอปัญหาแบบนี้มั่งไหมครับ

ปัญหาโลกแตก เลยครับ น้ำมันหาย แบบว่าเติมเต็มถัง แล้วอยู่ๆไปมันไม่พอ ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง รถแอบเลี้ยวเข้าคอก เสมียนกับคนรถมันรู้กัน ตัวเลขบัญชีน้ำมันไม่ตรงความจริง

ปัญหาที่สอง รถออกนอกเส้นทาง บางทีไปเกิดอุบัติเหตุในเส้นทางที่เราไม่ได้อนุญาตให้มันวิ่ง

ปัญหาที่สาม ไปถึงที่หมายล่าช้า ถูกลูกค้าด่าเช็ด

ปัญหาที่สี่ คนขับตีนผี เทกระจาด นี่ถ้าไม่ได้ซื้อประกันไว้ บรรลัยกันไปหลายรอบ

ปัญหาที่ห้า รถเสียกลางทาง หารถเปลี่ยนไม่ทัน ส่งของผิดเวลา ลูกค้ายกเลิกสัญญา ฉิบหายกันไปหมด

ปัญหาที่หก คนขับรถ เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออก อยู่กันไม่ทน

ปัญหาที่เจ็ด ถ้าเป็นรถส่งสินค้าแบบตู้เย็น ไปถึงที่หมาย ตู้เย็นดันเสียไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ หมู ไก่ เน่าหมดเลย

ปัญหาที่แปด เวลาให้นอนมันไม่นอน ไม่จอด หลับใน เทกระจาด

ปัญหาที่ เก้า กำหนดเส้นทางไม่ได้ บางทีมีการสร้างสะพาน ทำทาง รถไปไม่ถึงที่หมายตามเวลา

ปัญหาที่สิบ ทุนหายกำไรหด หมายศาลกองเต็มโต๊ะ  

 

ที่พรรณามานั่นน่ะ ถ้าเป็นสมัยก่อน ก็ต้องพึ่ง เจ้าพ่อเห้งเจีย กุมารทอง หรือไม่ก็ฮกลกซิ่ว จิวแปะทง ให้ท่านคอยสอดส่องให้ แต่เดี๋ยวนี้ ท่านมี เจ้าพ่อ เทเลแมติกส์ ตอบได้ทุกโจกท์ที่สาธยายมา เทเลแมติกส์ ย่อมาจากคำว่า คอมมิวนิเคชั่น บวกกับคำว่า อินโฟร์แมติกส์  เกริ่นมาตอนแรกเกือบจะดีแล้วเชียว พอเจอไอ้สองคำนี่เข้า อาเฮียก็หันกลับไปซดน้ำชาทำตาปริบๆต่อ

เอางี้ ระบบเทเลแมติกส์เนี่ย มันประกอบไปด้วย การติดตั้งอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์อย่างเช่น ระบบ จีพีเอส ระบบนำร่อง และเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้าไป แล้วมันส่งข้อมูลผ่านระบบการสื่อสารสมันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบ สามจี สี่จี ห้าจี ทำให้เฮียๆสามารถดูข้อมูลเหล่านั้นผ่านคอมพิวเตอร์ แทบเบล็ท หรือมือถือ  ได้แบบเรียลไทม์  พูดง่ายๆก็คือ อาเฮีย อาซ้อจะลดค่าใช้จ่ายต่างๆและทำการบริหารจัดการระบบการขนส่ง

เริ่มต้นง่ายๆ แบบนี้นะครับ

ระบบเทเลแมติกส์ จะทำให้ข้อมูลต่างๆ ถูกส่งผ่านระบบสื่อสารไร้สายมาถึงผู้ที่บริหารจัดการได้โดยตรง ยกเป็นกรณีตัวอย่างเช่น

มีบริษัทรับเหมาขนส่งสินค้ารายหนึ่ง สมมุติว่าชื่อบริษัทลี้กิมเฮงทรานสปอร์ต เข้าไปรับสินค้าที่โรงงานซึ่งเป็นลูกค้า ที่มีข้อกำหนดเข้มงวดมากมาย อาทิเช่น คนขับรถทุกคันจะต้องมีใบขับขี่ ท.3 ขึ้นไป ต้องไม่เกิดอุบัติเหตุเกินกว่า 2 ครั้งต่อระยะทางรวม 200,000 กิโลเมตร ถ้าเกินนั้นจะถูกยกเลิกสัญญา ต้องส่งสินค้าตรงเวลา และอื่นๆอีกมากมาย อยู่มาวันหนึ่ง คนขับรถหัวใส มีใบขับขี่ตามที่กำหนด เข้าไปรับสินค้าออกมา ขับพ้นประตูโรงงานก็ลงรถ แล้วให้ลูกชายอายุ 18 ปีขึ้นขับแทน ปรากฎว่าไปเกิดอุบัติเหตุ พลิกคว่ำ สินค้าหกล้นรั่วลงคลอง ไฟไหม้เป็นวงกว้าง นี่ถ้าเป็นระบบเทเลแมติกส์ เมื่อเปลี่ยนคนขับรถที่ไม่ได้อนุญาต รถจะไม่สามารถสตาร์ทติดได้ แม้แต่แอบเปลี่ยนคนขับ กล้องที่ตรวจจับใบหน้าก็จะตรวจพบอยู่ดี แบบนี้ เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น อาเฮียเองก็จะได้รับข้อมูลแม้ว่าตอนนั้นเฮียอาจจะกำลังตีกอล์ฟอยู่

รถที่ใช้ความเร็วเกิน เฮียก็รู้

รถอยู่ตรงไหน มันก็โชว์บนแผนที่ อีกกี่กิโลจะถึงลูกค้า เฮียก็รู้

อธิบายมาถึงขั้นนี้ เฮียเริ่มมองหน้าอาซ้อเลิกลั่ก แกแอบกระซิบว่า อั๊วไม่เอาฟังก์ชั่นนี้ได้มั้ยวะ ขืนอาซ้อรู้ว่ามันทำได้ขนาดนี้ เอามาติดรถเฮียเข้ามั่ง ชิกอ๋ายเลยกู

รถใช้น้ำมันไปมากน้อย เพิ่มขึ้น ลดลงเท่าไหร่เฮียรู้หมด

รถออกนอกเส้นทาง ไปจอดนิ่งๆ ดูดน้ำมันในคอก เฮียก็รู้

รถคันไหนครบกำหนดเข้าซ่อมบำรุง เฮียก็รู้

โอย... อีกสาระพัดประโยชน์เลยครับ

อาซ้อ ชะโงกหน้ามาถาม แล้ว มังแพงมั๊ย อาตี๋

โอ่ย ซ้อ ไม่แพงเลยครับ ถูกกว่าค่าน้ำมันที่ถูกแอบดูดไปในคอก ถูกกว่ายางที่แอบไปถอดเปลี่ยนเอายางหล่อดอกมาใส่แทนซะอีก เอาแบบที่ว่า รถติดเครื่อง ถ้าไม่วิ่ง จอดตรงไหนซ้อเห็นหมดเลย

เอ่ยมาถึงตรงนี้ อาซ้อแกมีแววปล๊าบขึ้นมาในสายตา แกกวาดหางตาไปทางอาเฮียซึ่งตอนนี้ก้มหน้าก้มตาลูบคลำนาฬิกาหลายเรือนบนข้อมืออย่างไม่รู้ไม่ชี้

ลื้อจาคลำอารายนักหนา ไอ้นาฬิกาเนี่ย บอกไอ้ตือเพื่อนลื้อให้มันเอามาคืนซะมั่งนะ เพื่อนชิกหายอาราย ยืมแล้วไม่คืน เก๋าเจ๊ง 

อาตี๋ พรุ่งนี้เอามาติดรถเฮียแกก่อนเลยทุกคัน 



ไฟลุกตอผุด

 




สมัยที่ผมสอนเทคนิคการสอบสวนอุบัติเหตุด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า Causal Tree Analysis และ Bow-Tie ซึ่งจะเปิดโปงความบกพร่องล้มเหลวของระบบการจัดการ (Management system failure) ที่มีมาเนิ่นนาน ในแบบที่แบบจำลอง Swiss Cheese Model เรียกว่า Latent Failure แทนที่จะไปสาละวนแก้ปัญหาโทษเอากับพนักงานผู้ปฏิบัติงาน แบบว่า คนขับหลับใน คนขับเผลอเรอ คนขับไม่มองทาง รถคันหน้าเบรคกระทันหัน หมาวิ่งตัดหน้า เรื่อยไปจนโทษผีสางนางไม้สิ่งที่ไม่มีตัวตนชนิดที่ว่า แยกผีสิง โค้งร้อยศพ ไปเรื่อยเปื่อย กรณีนี้ มันสะท้อนภาพของความบกพร่องในระบบการจัดการแบบชนิดที่เรียกว่า ไฟลุกตอผุดกันเลยทีเดียว


ไม่ว่าคุณจะไถไปทางไหนก็ไม่พ้นอยู่ดี ม่ะ มาลองไถๆกันดู

1.      เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ รถบรรทุกน้ำมันพุ่งชนท้ายรถพ่วงที่จอดติดไฟแดงอยู่อย่างรุนแรงใช่หรือไม่ ??  - ไถไปว่า โอโนว์ การเฉี่ยวชนครั้งนี้ไม่รุนแรงเรย (ทำเสียงอาฉีเสียงหล่อ จะได้อารมย์มากขึ้น)

2.       อ่อ เรอะ!!! งั้น ถ้าไม่รุนแรงเหตุใดน้ำมันมากมายจึงทะลักทะลายออกมานองพื้นถนน ไหลไปตามท่อระบายน้ำ และเกิดไฟลุกไหม้ในวงกว้างได้ ??? เอ่อ ครือ... ข้อนี้เรากำลังรอกองพิสูจน์หลักฐานรวบรวมข้อมูล เรายืนยันได้ว่า รถที่บรรทุกน้ำมันนั้นไม่มีการรั่วไหลชำรุดขณะเกิดเหตุ ???  ถ้าจะไถต่อให้ดูดีขึ้นก็อาจจะเอ่ยเปรยๆว่า เรากำลังสงสัยว่ามีการพยายามขโมยน้ำมันโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดี (น่าน  เติมประเด็นให้เบี่ยงไปอีกนิด) แต่ข้อเท็จและจริงที่ปนกันก็คือ รถคันนี้บรรทุกน้ำมันใช่หรือไม่ หรือจะไถว่าเป็นรถบรรทุกน้ำหวาน เมื่อน้ำมันเกิดรั่วไหลออกมาก็แสดงว่าถังเกิดความเสียหายขณะชน ถ้าอ้างว่ามีคนพยายามขโมยน้ำมันก็ต้องมีหลักฐานพิสูจน์ได้ มีพยานรู้เห็น ไอ้ที่จะไถไปนั้น ไปไม่รอด

3.       เป็นการชนที่รุนแรง ?? ทำไมคนขับไม่เบรค  ??? อันนี้ไถไปทางไหนก็โดนทุกดอก เบรคแล้ว แต่เบรคไม่อยู่... เบรคไม่ทัน รถคันหน้าหยุดกระทันหัน ... ไม่ได้เบรคเพราะกำลังหลับใน... อ่ะ ไถไปเรื่อยๆ

4.       ถ้าอ้างว่ารถเบรคไม่อยู่ ข้อนี้ก็พิสูจน์ได้จากวัตถุพยานเลยเชียว ถ้าอ้างว่ารถคันหน้าหยุดกระทันหัน ก็ยิ่งพิสูจน์ได้จากพยาน เผลอๆอาจจะมีวงจรปิดที่บังเอิ้นบังเอิญ ปิดไม่ทัน เลยพอจะมีคลิปไว้ให้ดูกันได้ ส่วนเรื่องคนขับหลับใน ถ้าเป็นที่ประเทศออสเตรเลีย ว่าด้วยก็หมาย Chain Of Responsibility -COR รับรองได้งานนี้เถ้าแก่มีสิทธิ์ติดคุก แทนที่จะเป็นคนขับรถ แต่ที่เมืองที่ยังไม่รู้แลยว่า บิ๊กตุ่ยที่ไปสั่งปิดเหมืองทองเขา... ที่ไปทำอะไรห่วยๆไว้มากมาย ...เป็นตัวอะไรแน่ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือเป็นไอ้ตัวที่ยึดอำนาจประชาชนไป เมืองนี้คนที่ส่อติดคุกน่าจะเป็นคนขับซะมากกว่า ผมไม่หวังไกลว่าประเทศนี้เมืองนี้จะมีกฎหมายการขนส่งทางบกที่ไล่เบี้ยให้ผู้ประกอบการต้องมีระบบการจัดการนั่นนู่นนี่แบบเมืองนอก กลัวจะโดนไล่ไปอยู่ต่างประเทศกะเขาด้วย แต่ผมก็หวังลึกๆว่า บริษัทผู้ว่าจ้าง ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ น่าจะมีมาตรฐานการจัดการที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ที่ถูกถ่ายทอดความคาดหวังไปยังผู้รับจ้างผ่านกระบวนการต่อรองกดดันด้วยระบบการบริหารสัญญาจ้างแบบจริงจัง เน้นนะครับ แบบจริงจัง

5.       มาลองดูกันสิว่า ระบบการบริหารการจัดการขนส่ง ที่กระจอกและพื้นๆที่สุดที่บริษัทกระจอกๆทุกแห่งควรจะมีนั้นมีอะไรบ้าง เอาแบบคร่าวๆนะ ไม่ต้องทุกตัวหรอก 

a.       มีระบบการบริหารความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสุขภาพ (Safety, Health Environmental Management system) บางที่ก็ย่อว่าระบบชีเมเนจเม้นท์ เอาเถอะจะชีจะเถร ก็ต้องมีกระบวนการเหล่านี้ ได้แก่ มีนโยบาย Policy  มีการวางแผน มีการดำเนินการ มีการประเมินผล และปรับปรุง นี่เป็นขั้นพื้นฐานสุดๆ กฎหมายความปลอดภัยก็บังคับไว้เป็กฎกระทรวงให้สถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 50 คนต้องมีไอ้ระบบชีเถรเมเนจเม้นท์ ไอ้รถคันนี้ เพื่อนผมมันแซว ว่าเป็นบริษัทเมิงเรอะ แหมอ่านชื่อไม่ทัน พวกเล่นเอาผ้าเขียวมาคลุมไว้ก่อน คุณว่าเขามีระบบที่ว่านั่นไหม มี๊!!!! ตอบเสียงสูง  ไม่มีจะไปประมูลวิ่งน้ำมันให้บริษัทนี้ได้ยังไง เอาเป็นว่า เชื่อว่ามี แต่ว่า เขามีมาตรฐานไหม โอ๊ยยยยยคู้น  เรื่องนี้มันคงต้องคุยกันยาว ว่าแต่ว่าจะเอาเรื่องไหนล่ะ เรื่องรถ เรื่องถัง เรื่องคน เรื่องเวลาหลับเวลานอน มีหมดแหละ!!!! แต่ว่า แหะๆๆๆ มันจะให้เป๊ะไปทุกเรื่องมันก็ไม่ได้หรอกนะคุณ ... หงึกๆๆๆๆ

b.       ระบบการจัดการเรื่องรถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมาตรฐานยาง มาตรฐานรถ มาตรฐานถัง ปั๊ม ท่อ โอย!!!! ก็อย่างที่บอก ...เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องต้นทุน ผมว่าบริษัทไหนๆเขาก็ซีเรียส ยกเว้น!!!! บริษัทที่คนเขาเอารถมาร่วมวิ่ง แบบว่า คนขับกับเมีย มาทำงานเป็นคนขับรถเด็กติดรถ และเป็นเจ้าของรถ แบบนี้จะไปบังคับกันมากๆก็ไม่ได้หรอก คุณเข้าใจไหม??? หงึกๆๆๆๆๆๆ

c.       ระบบการจัดการคนขับ โอ่ย คู้นๆๆๆๆๆ หาคนขับรถบ้านเราไม่ใช่หากันง่ายๆนา เดี๋ยวเข้า เดี๋ยวออก ขับทางไกล ทางเสี่ยงๆ ไม่มีใครอยากวิ่ง เดี๋ยวนี้คนขับรถ จ้างไม่แพงหรอก แต่เขาก็ได้รายได้จากจำนวนเที่ยวมั่งอะไรมั่ง แบบว่าทำมากได้มาก ขับมากได้มาก จะให้มามัวนอนตามที่กฎหมายบังคับจะไปพอกินอาราย ส่วนมากเขาก็รู้กันหมดแหละ ขึ้นรถปั๊บ ใครจะไปโง่รูดใบขับขี่ !!! ขืนรูดก็รู้สิว่าใครขับ !! อ้าวแบบนี้ขนส่งเขาไม่รู้หรอกรึ ??? รู้ สิ แต่ไม่รู้ว่าใครขับ ใครเร็ว.... อ้าวเรอะ แล้วเขาไม่มาตรวจกันหรอกเรอะ???  ....ยิ้มแหยๆ ....ตรวจครับ ...โต๊ะนึง จบ!!

ที่พูดๆมานั้น ผมพูดกับตัวเอง ด้วยความหงุดหงิด ในวันที่ผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่งมาขอให้เตรียมข้อมูลสำหรับสอนผู้ประกอบการขนส่งผลิตภัณฑ์ และถามแล้วถามอีกว่าจะพูดอะไรให้พวกเขาฟัง จะออกไปในแนวโน้มน้าว หรือออกแนวบังคับให้ทำตาม...

ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบการบริหารจัดการ ไม่ใช้ความพยายามอย่างสมเหตุสมผล ในการที่จะควบคุมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มงวด แบบนี้....ก็จะเป็นไปในอีหรอบนี้ชั่วนิจนิรันดร.... 

อยู่ๆกันป่ะ  เฮ้อ จบดีกว่า เครียดจังเนอะไอ้หมีเนอะ ม่ะ มาให้พ่อหอมที ฟ๊อดดดดดดด.... อ่ะ เพลงม่ะ วัน ทู ทรี โฟร์ ไคว้ ....


วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ระยะ (ไม่รู้จักคิด)

 


ระยะ (ไม่รู้จักคิด)

ผมเคยแนะนำเพื่อนฝูงไว้ว่า การขับรถในประเทศนี้ ประเทศที่มีอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับสองของโลก ประเทศที่ทำสถิติอุบัติเหตุทางถนนอันดับหนึ่งในเอเชีย นอกจากจะต้องพกพาใบอนุญาตขับขี่ แล้ว สิ่งที่ต้องมี ขาดไม่ได้เลย ก็คือ บัตรโรงพยาบาลบ้า สักใบ เอาให้ชัวร์ก็สักสองสามใบ ซองยา ที่มียาแก้บ้าเหลืออยู่สักเม็ดสองเม็ด เอะอะจวนตัว ควบเฟอรารี่ ควบพอร์ช ควบนิสสัน ควบฟอร์จูเนอร์ ไปเหยียบใครตายเข้า ก็ต้องทำท่าชักแง่กๆๆๆๆ เอาให้เนียนก็แบบน้ำลายฟูมปาก ขี้เยี่ยวแตกราดกางเกง แบบนี้รอด แต่ล่าสุดที่ไปได้ยินมาจากเซียนหวยแถวบ้าน เดี๋ยวนี้ของขลังที่ทุกคนต้องหามาติดรถก็คือ เครื่องดื่มยี่ห้อควายแดง (ไม่รู้จริงๆว่า ควายป่า วัวป่า กระทิงเปลี่ยว มันเป็นตัวเดียวกันรึเปล่า) ผมชอบอ่านเรื่อง เพชรพระอุมา เลยเขียนคดีหมาดำไว้ด้วย คลิกอ่านต่อได้ถ้าอยากหาเรื่อง

สูตรคำนวณความเร็ว (Velocity) สมัยที่เรียนฟิสิกส์ ที่ไหนๆ ก็คือ V = S คือระยะทางที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ไป หารด้วย t คือเวลาที่ใช้ไปในการเคลื่อนที่

V = S/t

ข่าวครึกโครมเมื่อสองสามวัน ว่าคดีรถเฟอรรารี่ชนแล้วลากตำรวจไปสองร้อยเมตร จากนั้นขับหนีเข้าบ้าน จากนั้น...ผ่านไปแปดปี อัยการสั่งไม่ฟ้อง และหนึ่งในหลักฐานใหม่คือ มีท่านผู้เชี่ยวชาญ สาขาอะไรสักอย่าง ตามข่าวว่าเป็นหนึ่งเดียวในประเทศ ทำการคำนวณใหม่ พบว่า รถเฟอรารี่คันนั้น ขับด้วยความเร็วต่ำกว่า 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ซึ่งไม่ถือเป็นการขับรถเกินความเร็วที่กฏหมายกำหนด โอว!!! พระเจ้า !!!! อีมาสด้าแก่ๆของผมเนี่ย แตะนิดแตะหน่อยก็ขึ้นร้อย ร้อยสิบร้อยยี่แล้ว นี่โดนใบสั่งไปสี่ใบแล้วครับ 

นี่ยังไม่รวมข้อกล่าวหา ขับรถในขณะเมาสุรา หรือของเมาอย่างอื่น ตามมาตร 9 พรบ. จราจรทางบก 2562 ด้วยเหตุผลพิสดารว่าตอนขับไม่ได้เมา อาจจะเมาหลังขับ แหมๆๆๆๆ ไหนผลตรวจเลือดพบสารอนุมูลโคเคน ป๊าด คำชี้แจงว่าน่าจะเกิดจากยารักษาฟัน

ตายห่าละซี!! ยาสีฟันสูตรโบราณที่ใช้อยู่อาจจะมีฝิ่น กระท่อมเข้าสูตร เอาละเว้ย!!! ปล่อยให้เขาเถียงกันไป ใครแพ้ก็หน้าแหกไปเอง งานนี้ ทั้งตำรวจ อัยการ กระเตงกันไป ตั้งคณะทำงานมาไม่รู้กี่ชุด รอดูว่าจะลงเอยยังไง

การที่รถสักคันวิ่งไปแล้วจะหยุดทันหรือไม่ทัน ก่อนที่จะเกิดการเฉี่ยวชน มันก็มีสูตรคำนวณ


เปลี่ยนโหมดเป็นซีเรียสแล้วนะครับ ทำหน้าซีเรียสเหมือนนายตำรวจที่ออกมาแถลงข่าวว่า เอ่อ ผมไม่ค่อยมีความรู้ด้านกฏหมาย โธ่ ไอ้กระทิง !!สูตรนี้คือ

มีวิธีคำนวนหยาบๆ ซึ่งผมไม่แนะนำ เพราะเดี๋ยวจะหาว่าใช้ไม่ได้

ระยะหยุด S- (Stopping Distance) = ระยะคิดและตอบสนอง (Perception-Reaction Distance) + ระยะเบรก (Braking Distance) 

สูตรคำนวณของ ASSHTO - American Association of State Highway and Transportation Official

S = (0.278 *t *V)+(V)2 ÷(V)2÷(254 *(f+G))

 ไปอ่านข้างล่างก่อนแล้วค่อยมาดูการแทนค่า

S = (0.278 * 0.75 *79)+(79)2 ÷(79)2÷(254 *(0.7+30))

S= 16.47 +0.8 = 17.2703334 เมตร

 

เอาคดีเฟอรรารี่นี่ก็แล้วกัน  คดีนี้ชนกระจาย ตำรวจ อัยการ นายก สอวอ สอ นอ ชอ สอ สอ คอ รอ มอ เทคโน ลอ กอ บอ  กระจายเกลื่อน ให้ได้อายกันไปถ้วนหน้า ชนยับเยิน ชนกระเด็นกระดอน ชนจนหน้ารถยุบเป็นรูปท้ายมอเตอร์ไซค์ กระจกหน้ายุบ แบบนี้ เซียนอย่างผมบอกได้เลย

ระยะหยุด (Stopping Distance) ไม่พอ  ผมไปค้นมาว่ารถสูตรหนึ่ง แบบซีอิ้วขวดเขียวเนี่ย รถอะไร มีระยะหยุดเจ๋งที่สุด เฟอรารี่ 488 GTB มีระยะหยุดที่ผ่านการทดสอบในสนามอยู่ที่ 39.6 เมตร เมื่อรถคันนั้นวิ่งด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง แปลงหน่วยเป็นกิโลเมตรก็อยู่ที่ 112.654 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง  ถือว่าเป็นระยะหยุดชนิดสั่งได้ สมราคาจริงๆ ถ้าเป็นอีแก่ของผม ความเร็วขนาดนั้น ใครมายืนขวาง ในระยะ 39 เมตร อย่างตำรวจจราจร มียืนโบกกระทันหัน รับประกันได้ กระจาย!!! แบบว่า พอลงจากรถไปจะเอาใบสั่ง อ้าว จ่าหายไปไหนว๊ะ เห็นแว่บๆ

ถ้าค่ำคืนนั้น จ่าเขาขับรถอยู่ไกลๆ และน้องเขาขับมาช้าๆ อย่างที่กูรูผู้นั้นเขาคำนวณมา ว่าน้องเขาขับมาแค่ V= 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคืนนั้น น้องเขาตาใสแจ๋ว ไม่ง่วง ไม่คึก ไม่ดีด ไม่ตัดสินใจช้ากว่ามนุษย์ขี้เหม็นทั่วไป เวลาเห็นอะไรตัดหน้า สมองสั่งตีน ตีนกระทืบเบรก ระยะนี้คนที่ประสาทเฉียบคมประมาณ 0.75 วินาที คนทั่วไปราวๆ t= 1 วินาที หลังจากเหยียบเบรก ระบบเบรกทำงาน ห้ามล้อกึก รถจะยังไถลไปต่อได้อีก ขึ้นกับความเร็วรถก่อนเบรก ขึ้นกับสภาพยาง แรงเสียดทานกับถนน สถาพถนนแห้งหรือเปียก เคสนี้ถนนแห้งแกร่ก และขึ้นกับสภาพถนนว่าลาดเอียงหรือไม่ รวมๆแล้วรถจะพุ่งไปอีกระยะหนึ่งก่อนหยุดสนิท

กรณีนี้ ความเร็วรถ V =ประมาณ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามที่กูรูเขาคำนวณและตามที่อัยการยกคำสั่งไม่ฟ้อง ถนนแห้งรึเปล่า เหตุเกิดเวลาตีห้า กทม.อาจจะขยันรถน้ำต้นไม้มั้ง เอาๆๆๆ ถนนเป็นยางมะตอย ค่าความเสียดทานคงประมาณ 0.7 ถ้าจะช่วยผู้ต้องหาก็เอาใส่ไปน้อยๆ ถนนไม่ลาดเอียง หรือถ้าจะช่วยๆกันก็ใส่ไป 30 องศา   

จากที่ได้คำนวณมาตามสูตรของแอชโต (ASSHTO) แปลความโดยแอชโชล (ชื่อเหมือนลูกครึ่งเกาหลีเหนือกับอเมริกัน) ก็แปลได้ว่า

ถ้าน้องเค้า (เดี๋ยวนี้ตัวอะไรๆพอขึ้นเป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นพะยูน หมาขี้เรื้อน หอยทาก คนในโลกออนไลน์ก็จะเรียกว่าน้องเก๊า) ขับรถด้วยความเร็วแค่ 79 กิโลเมตรต่อชั่งโมง บนนถนนสุขุมวิท ถนนแห้งแกรก รถของน้องเก๊า ยางใหม่เอี่ยม ถนนตรงนั้นมีความลาดเอียงตามสำนวนของจ่าฉุนที่ไปดูที่เกิดเหตุ หลังจากห่อศพเพื่อนของตัวเองเสร็จก็ลงบันทึกไปว่า ความลาดเอียง 30 องศา แหมกะจะลงเยอะกว่านี้ก็อาย ) สรุปแบบเมาๆเลยละกัน

รถคันนี้จะหยุดได้ในระยะ 17.2703334 เมตร ก่อนการชน พูดง่ายๆคือ ยังไงก็ไม่ชน ถ้าจ่าเขาไม่คิดสั้น ไม่จงใจขับตัดหน้าน้องเก๊า ยังไงน้องก็ต้องเบรกทัน  สำนวนที่วิเคราะห์โดย มิสเตอร์แอสโชล์ มันน่าจะไม่ฟ้องให้น้องเก๊าตกใจหนีไปอยู่เมืองนอกเสียตั้งนาน และที่สำคัญ คนที่ต้องเอาตังค์ 300 ล้านไปจ่าย น่าจะเป็นพี่จ่าเขานะแหละ

เพราะฉะนั้น ยกฟ้องไปเหอะ

ถ้าไม่อายกันมั่ง 

อยากจะฝากไว้ว่า รู้จักระยะหยุด ต้องหัดคิด คิดเป็นแล้วตัดสินใจเบรกซะ อย่าลากไปเรื่อยๆ มันจะตายกันหมดเลยนะหมู่


วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เป่าสาก



บังเอิญ เปิดไปเจอกระทู้ในหน้าเพจของกรมนี้เข้า เห็นคำถามที่เจ้าของกระทู้เค้าถามแล้วน่าสนใน และคิดว่าบรรดา จป.อีกไม่น้อยที่น่าจะมีคำถามคล้ายๆกัน  บางทีคำถามไม่มีคำตอบ เงียบเหมือนเป่าสาก 
เวลาเป่าสากเนี่ย มันไม่เงียบสนิท มันจะมีเสียง พรูด แพรด เสียงลมเล็ดออกมา แต่มันฟังไม่รู้เรื่อง  



หนูเป็น จป.วิชาชีพในโรงงานค่ะ พอดีมีเรื่องอุบัติเหตุในงานมาปรึกษาค่ะข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับขั้นตอนรายงานอุบัติเหตุของบริษัท


  1. เวลากะกลางวัน/วันทำงานปกติ ถ้าเกิดเหตุขึ้น จป จะไปดูอาการร่วมกับหัวหน้างาน พิจารณาว่าต้องส่งโรงพยาบาลหรือไม่ ถ้าต้องส่งโรงพยาบาล จป.จะเป็นคนไปส่งเอง
  1. กะกลางคืนหรือทำงานนอกวันเวลาปกติ (จป หรือพนักงานระดับสตาฟ ไม่ได้มาทำงาน) หัวหน้างานจะเป็นคนพาพนักงานๆ รักษาที่โรงพยาบาล
  1. ตอนนี้ บริษัทมีตู้เก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้อยู่ในไลน์ผลิต เพื่อให้พนักงานหยิบใช้งานได้ทันท่วงที และมีเอกสารให้บันทึกการใช้ยาติดอยู่ที่ตู้ยานั้น ไว้ให้สำหรับกะดึกเขียน (หรือกะกลางวันบางคนไม่เดินมาแจ้ง แต่เราก็มีให้เขียนไว้บ้างก็ยังดี) (ส่วนยารับประทานที่ไม่ใช่สำหรับเหตุฉุกเฉิน จป.เป็นคนจ่ายยาให้อยู่ในออฟฟิศ (ไม่มีพยาบาล)) 


ปัญหาคือ
1.1 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย แล้วพนักงานมาทำแผลเองที่ตู้ยา โดยไม่แจ้งหัวหน้างาน , ไม่แจ้งจป. และไม่ลงบันทึกในเอกสาร สรุปว่าไม่หลักฐานยืนยันการเกิดอุบัติเหตุในงานเลย
กรณีนี้ จะมีบางเคสที่ไปแสดงอาการอักเสบ/รุนแรงหลังเลิกงาน (เช่น ฝุ่นเข้าตา มาล้างตาที่ตู้ยา กลับไปทำง่นต่อ (แต่ไม่บันทึก) แล้วไปตาแดงอักเสบหลังกเลิกงาน , งานบาดมือ มาทำแผลแต่ไม่บันทึก แล้วไปอักเสบ บวมแดงหลังเลิกงาน) พนักงานจึงไปพบแพทย์เอง และแพทย์สอบถามแล้วทราบว่าเกิดจากการทำงาน 
• บางโรงพยาบาลจะรับเข้ากองทุนเงินทดแทนเลย โดยให้พนักงานนำใบเสร็จและ กท16 มามอบให้บริษัทฯ ภายหลัง 
- กรณีนี้ ทางบริษัทสามารถปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาได้ไหมคะ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเกิดในเวลางาน (คำถาม 1)
- แล้วถ้าบริษัท ไม่จ่ายค่ารักษาให้ แล้วใครจะเป็นคนจ่าย (โรงพยาบาลออกใบ กท16 มาให้แล้ว) แบบนี้ต้องเคลียร์อย่างไรคะ (คำถาม 2)
- ถ้าบริษัทต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาให้ แต่บริษัทให้ใบเตือนพนักงานเนื่องจากไม่ดำเนินการตามขั้นตอนการรายงานอุบัติเหตุ ได้หรือไม่ (คำถาม 3)
- กรณีนี้บริษัทแก้ไขโดยการแจ้งไปทางโรงพยาบาล ถ้ามีพนักงานของบริษัทนี้ ไปใช้สิทธิ์กองทุนเอง ให้โรงพยาบาลโทรมาแจ้งบริษัทก่อนได้ไหมคะ (กรณีนี้ควบคุมยาก เพราะโรงพยาบาลมีคนไข้มากมาย รวมทั้งโรงงานก็มีจำนวนมาก โรงพยาบาลคงจะจำไม่ได้ว่าโรงงานไหน กำหนดอย่างไร) (คำถาม 4)
• บางโรงพยาบาลจะปฏิเสธการรักษา โดยให้พนักงานนำหลักฐานจากบริษัทมายืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุจากงานจริงๆ ทางโรงพยาบาลถึงจะยอมรับการรักษา
- กรณีนี้คือ พนักงานไม่มีหลักฐานอุบัติเหตุในงาน แต่ไปรักษาเอง ใช้สิทธิ์กองทุนฯ บริษัทสามารถปฏิเสธการออกเอกสารยืนยัน (ใบส่งตัวรักษา, รายงานอุบัติเหตุในงาน) ได้หรือไม่คะ (คำถาม 5)
- ถ้าบริษัทไม่จ่ายค่ารักษาให้ แล้วแจ้งให้พนักงานรักษาโดยใช้สิทธ์ประกันสังคมได้หรือไม่ (คำถาม 6) (บางครั้งเขาเกิดจากในงานจริงๆ แต่บริษัทก็ไม่ได้รู้ว่าจริงทุกครั้งไป)
- ทางบริษัทยืนยันกลับไปทางโรงพยาบาลว่า พนักงานไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่โรงพยาบาลเห็นว่าพนักงานแจ้งว่าเป็นอุบัติเหตุในงาน รวมทั้งออกเอกสาร กท16 ให้เรียบร้อย กรณีนี้จะสรุป/เคลียร์เป็นเช่นไรคะ (คำถาม 7)

ต้องเรียนทาง กรมสวัสดิฯ นะคะว่าทางบริษัทฯ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่รับผิดชอบพนักงาน บริษัทได้แจ้งขั้นตอนการายงานอุบัติเหตุไป รวมถึงขั้นตอนการเบิกอุปกรณ์ การลงบันทึกให้กับพนักงานทราบแล้ว วัตถุประสงค์คือ 
1. เพื่อจะได้ทราบสาเหตุ/ความถี่/ลักษณะการเกิดอุบัติ แล้วจะได้นำมาปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน 
2. ควบคุมการใช้ยา เพราะตู้ยาที่เก็บในไลน์ บริษัทต้องการให้พนักงานใช้งานในเหตุฉุกเฉินเท่านั้น เวลาที่เกิดเหตุจริงๆ จะได้หยิบใช้ได้ทันท่วงที แต่พนักงานบางคนชอบแอบเก็บไปใช้ที่บ้าน หรือเอาไปใช้ผิดวัตุประสงค์ 
ขั้นตอนที่บริษัทกำหนดนี้ พนักงานจะชอบด่าบริษัทว่า งก บริษัทเห็นแก่ตัว ซึ่งจริงๆ แล้วโรงงาน ไม่ใช่โรงพยาบาลที่จะรักษาพนักงานหมดทุกอย่างทุกโรค บริษัทมียารักษาโรคให้ตามอาการ เพื่อให้เบาเทาอาการป่วยให้ทำงานได้ด้วยความปลอดภัย ไม่ใช่รักษาให้จนหมดโรคหมดภัย บริษัทไม่มีพยาบาลมาจ่ายยาให้ คนจ่ายยาเป็น จป ไม่ได้มีความรู้เรื่องยารักษาโรคอะไรมากมาย เพราะเรียนมาแค่พื้นฐาน พนักงานก็เบิกใช้ยาจำนวนมาก และยาบางตัวก็เป็นยาอันตราย จป.ก็ไม่อยากจ่ายมั่วๆ หรือจ่ายตามใจคนใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายทั้งแก่คนใช้และคนจ่ายยาได้ 
คำตอบที่ได้รับจากท่าน เราจะได้นำไปแจ้งเตือนพนักงานที่ชอบทำผิดขั้นตอนเพื่อจะได้ทำให้เขาให้ความร่วมมือค่ะ เช่น 
- ถ้าไม่มีหลักฐานรายงานอุบัติเหตุ โรงงานจะไม่จ่ายค่ารักษาให้ 
- หรือโรงงานจะออกใบเตือน ถ้าไปใช้สิทธิ์กองทุนฯ โดยพละการ
ขอบพระคุณค่ะ
อ่านกระทู้จากต้นฉบับ



คำตอบคือ!!!!

กระทู้คำถามที่ถามมานี้เป็นเรื่องของความปลอดภัยในการทำงานรบกวนถามเข้าไปในส่วนของความปลอดภัยฯ จะได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่เฉพาะ เนื่องจากส่วนนี้เป็นส่วนของคุ้มครองแรงงานจะเชี่ยวชาญไม่เท่าสำนักความปลอดภัยแรงงาน หรือจะโทร.สอบถามโดยตรงก็ได้ที่ 0 2448 9128-39

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2562

N95 เดอะเบสจริงหรือ


หน้ากาก N95 ขาดตลาด ผู้คนแตกตื่นกลัวตายกันยกใหญ่

ผมนั่งดูปรากฏการณ์ความแตกตื่นของผู้คนในสังคมมาสักพักใหญ่ พร้อมๆไปกับการดูปรากฏการณ์ของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผ่านทางสื่อ โดยหน่วยงานของรัฐ และข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อโลกออนไลน์ ชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดดีหรือจะนิ่งเสียตำลึงทอง ใจหนึ่งก็คิดว่ายุคสมัยนี้ ใครๆก็สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้พอๆกัน ใจหนึ่งก็คิดว่า เราก็ร่ำเรียนมาในสายวิชาชีพ อาชีวอนามัย และความปลอดภัย เรียนสุขศาสตร์อุตสาหกรรม เรียน พิษวิทยา เรียนอะไรต่อมิอะไรมา จะพูดดีมั๊ยว๊า

PM 2.5 คืออะไร

ถึงตอนนี้ ใครรู้บ้างว่ามันคืออะไร --- ตอนที่มีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มกรีนพีซออกมาให้ข่าว เมื่อราวๆ กลางๆปีที่แล้ว ตอนนั้นไม่มีใครสนใจอะไร นักข่าวก็เรียกมันว่า สาร พีเอ็ม 2.5 แหมทำเอากรูละงง สารอะไรวะ แถมโหมกระพือซะว่ามันอันตรายอย่างโน้นอย่างนี้ สูดเข้าไปถึงตายทีเดียว แต่จนแล้วจนรอด ไม่มีใครสนใจอะไร



มลพิษในอากาศที่เราสูดดมกันเข้าไปในแต่ละวัน มันมีอยู่หลายแบบ ได้แก่

  • ฝุ่น (Dust) ซึ่งก็คือ อนุภาคของของแข็ง ที่เกิดจากการบด การขัด การตัดการกระแทก ฟุ้งกระจายไปในอากาศ ฝุ่นบางอย่างก็ใหญ่มาก จนศาลรัฐธรรมนูญ ไอ้คนหัวล้านๆบอกว่า ให้รัฐบาลยุติโครงการรถไฟความเร็วสูงไปกำจัดถนนลูกรังในประเทศนี้ให้หมดเสียก่อน ฝุ่นซิลิกา ฝุ่นแอสเบสทอส ฝุ่นที่นักศึกษาจบใหม่ต้องฝึกเตะกันไว้ ก่อนจะได้งาน
  • ละออง (Mist) ซึ่งก็คือ อนุภาคของของเหลว   ที่เกิดจากการฉีดอัดมันผ่านหัวฉีดเล็กๆ เช่นสีสเปรย์ ยาฉีดยุง น้ำหอม ลอยฟุ้งไปในอากาศ หรือเวลาเราไอ จาม น้ำลายกระเซ็นเป็นละอองไปทั่ว ตอนที่มีโรคระบาด อย่างไข้หวัดนก ผู้คนจะกลัวกันมาก ใครจามออกมาทีในลิฟท์ แทบอยากจะถีบกระเด้งออกไปเลยเชียว ละอองน้ำในอากาศในฤดูหนาว ที่เราเรียกว่าหมอก พยัพหมอก นั่นก็เป็น Mist ประเภทหนึ่ง หรือเวลาเขาเล่นคอนเสริต เอาน้ำแข็งแห้งใส่ลงไปในน้ำร้อน นั่นก็เป็นละอองเหมือนกัน กรดบางอย่าง เปิดฝาป็อกออกมา มีละอองลอยฉุยขึ้นมาเชียว

  • ฟูม (Fume)    เป็นอนุภาคของโลหะหนัก    ที่เกิดการควบแน่นในอากาศ เช่นโลหะที่กลายเป็นไอระเหยจากเตาหลอม จากการเจียร์ การเชื่อม การตัดด้วยแก็ส อันนี้น่ากลัว เพราะช่างทั้งหลายสูดกันทุกวัน ให้ใส่หน้ากากก็ไม่ใส่

  • ไอ (Vapor) เป็นอนุภาคของของเหลวที่เปลี่ยนสถานะเป็นแก็ส ลอยไปในอากาศ

  • ก๊าซ (Gas) มันคือสถานะหนึ่งของสาร

  • ควัน (Smoke) เป็นชื่อเรียกรวมๆสำหรับมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้  มีทุกอย่างที่เอ่ยมาข้างบนนั่น

คำว่า อนุภาค หรือ Particulate - Particle จึงเป็นคำรวมๆ

อนุภาคที่เล็กกว่า 0.5 ไมครอน มันจะเข้าไปถึงปอดได้ พอไปถึงปอดมันก็แพร่ไปได้ทุกที่ แล้วแต่ว่าอนุภาคพวกนั้นมันเป็นอะไร ถ้าเป็นก๊าซ คาร์บอนมอนนอกไซด์ ก็ไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ได้ดีกว่าออกซิเจนตั้งหลายร้อยเท่า ถ้าเป็นฝุ่นซิลิกา ก็ไปทำให้เกิดแผลในถุงลมปอด เป็นซิลิโคซิส ถ้าเป็นควัน ก็อมกันทุกวัน พวกนั้นก็เล็กกว่า 2.5 ไมครอนทั้งนั้นเลย แหม

PM 2.5 น่ากลัวไหม

ขนาด 2.5 ไมครอน นี่มันเล็กขนาดไหน
ไมครอน มันย่อมาจากคำว่า ไมโครเมตร หรือ 1 ใน 1,000,000 ส่วนของหนึ่งเมตร หรือ 0.00004 ของหนึ่งนิ้ว ป๊าด ยังนึกไม่ออกอยู่ดี  อ่ะดูรูปเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับเม็ดเลือดแดง ซึ่งมีขนาด 7 ไมครอน ถุงลมปอด หรือ Alvioli ของเราจะมีเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กๆสานกันระหว่างเส้นเลือดแดงกับเส้นเลือดดำ คล้ายๆลูกตะกร้อ นึกออกมั๊ย แสดงว่า PM 2.5 มันจะผ่านจากถุงลมปอดเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยตรง ฟังดูแล้วน่ากลัวเชียว แต่ช้าก่อน อย่าเพิ่งตกใจ เพราะท่านที่เป็นสิงห์อมควันทั้งหลาย ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว ด้วยการสูดเอา PM 2.5 ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือเป็นประจำ วันละหลายๆมวน แล้วไม่เห็นพวกมันจะตายชักกระแด่วๆซะที  ดังนั้น อย่าแตกตื่นตกใจไป พีเอ็มสองจุดห้า ไม่ทำอันตรายให้ตายได้ในทันที ผมกล้ารับประกัน ถ้าไม่จริง ผมให้โทรมารังควานได้สามวันโดยจะไม่ตอบโต้ใดๆ



เส้นผม ซึ่งมีขนาด 70 ไมครอน บางคนผมเส้นใหญ่ บางคนไม่มีผม ก็เทียบกับขนตรงไหนก็ได้ ขนาดของมันก็ราวๆ 70-75 ไมครอน
อะไรที่มันทะลุทะลวงถึงระบบทางเดินหายใจ มันน่ากลัวทั้งนั้นแหละ คำว่า พีเอ็ม สองจุดห้า มันคืออนุภาคที่มีขนาด เล็ก 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่านั้น มันไม่ใช่แค่ฝุ่น มันมีหลายๆอย่างรวมๆกัน การที่มีดอกเตอร์ท่านหนึ่งออกมากล่าวหาว่ามันเกิดจากการก่อสร้าง จึงไม่ถูกต้อง ยิ่งจะขอให้หยุดก่อสร้างไปจนกว่าฝุ่นจะตกลงพื้นหมด ยิ่งบ้ากันไปใหญ่ แค่นี้ก็แทบจะอดตายกันอยู่แล้ว 


สรุปสั้นๆ มันน่ากลัว มันมาจากหลายแหล่งกำเนิด และต้องมีการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น ระยะยาว แต่ไอ้ที่เอาน้ำมาพ่นเป็นละอองตามสี่แยก อันนี้ ปัญญาอ่อนไปหน่อย แต่จะทำไงได้ มันคิดได้แค่นั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวเขาจะด่าสวนเอาว่ามือไม่พายเอาตีนราน้ำ


ดังนั้น ถ้าจะถามว่า อนุภาคขนาด 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่านั้น มันมาจากไหน คำตอบก็คือ มันมาจากพวกเรานี่แหละครับ  เราไม่ว่ากัน ไม่โทษนั่นโทษนี่ จะว่าอากาศเสียมาจากรถ ก็จะโทษกันไปโทษกันมา ว่าเพราะอีปูว์ ปล่อยให้ซื้อรถคันแรกเยอะเกิน พวกเศรษฐีจะพาลของขึ้น คว้านกหวีดมาเป่า ปรี๊ดๆๆๆ เผลอสูดเอามลพิษตายไปเสียก่อน ส่วนคนยากจนอย่างผม ก็จะเกิดอาการหัวร้อน ที่อดทนการกดขี่ ดูถูกเหยียดหยามแบ่งแยกชนชั้น ไพร่สถุล ก็จะเกิดอาการของขึ้นพาลจะยกพวกมาปิดถนนให้รถติดเล่น เดือดร้อนบรรดาพวกขุนทหารต้องลากสไนป์เปอร์มายิงหัวพวกไพร่เล่นกันอีกหน มันจะยุ่งกันใหญ่


เอาเป็นว่า เมืองใหญ่ๆหลายๆประเทศ เขาประสบปัญหาแบบนี้มาก่อนเรา แล้วเขามีวิธีจัดการ
หลายประเทศ จัดการระบบการจราจรอย่างได้ผล มีระบบราง ระบบขนส่งที่ดี รถไม่มาก รถไม่ติด ถึงมี เขาก็เป็นรถไฟฟ้า แต่ประเทศสี่จุดสูญ (สูญเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งอิสระภาพ) อย่างเรา ยังทะเลาะกันไม่เลิก คงอีกนาน
หลายๆประเทศ เขาเข้มงวด กับแหล่งมลพิษ จับปรับกันหนักๆ
หลายๆประเทศ เขาเข้มงวดแม้กระทั่งเมรเผาศพ ไม่เหมือนบ้านเรา มีวัดทุกหัวมุม แต่ละวัดมีงานเผาศพแต่ละวันไม่รู้กี่เมร ตั้งแต่บ่ายไปจนเย็นค่ำ เผากันโขมง ไอ้ที่เผาๆนะ สาระพัดอย่างยัดเข้าไป ชุดหรู กระเป๋า เสื้อ ผ้ารองเท้า ไหนจะมีพวกโละหะหนัก อย่างสารอุดฟัน ฟอร์มาลีน ที่อัดกันเข้าไป แต่ละศพไม่รู้กี่ขวด เผาส่งวิญญานสู่สรวงสรรค์ แต่ดันไปไม่ไกล ลอยปกคลุมอยู่ วันดีคืนดี เกิดปรากฏการณ์ฟ้าสีน้ำตาล ที่ต่างประเทศเขาเรียกว่า Photo Chemical Smog เอาเป็นว่าปัญหาแบบนี้ ด้วยสติปัญญาของท่านผู้นัม แกคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้


หน้ากากแบบไหน เหมาะกับ PM 2.5 จำเป็นไหมต้อง N95


เรื่องหน้ากาก N95 นี่ก็มั่วกันมาตั้งแต่สมัยโรค SAR ระบาด

ตอนนู้น สมัยโรคไข้หวัดนก ไข้ซาร์ โรคอีโบล่า ระบาด ทางองค์การอนามัยโลกออกประกาศว่าให้เจ้าหน้าที่สวมใส่หน้ากาก N95 คราวนี้ก็เกิดการโกลาหล หน้ากากที่ไม่มีเลเบลว่า N95 คนก็หาว่าใช้ไม่ได้ มันกรองฝุ่นขนาดเล็กไม่ได้ บ้างก็ว่า หน้ากากแบบ N95 สามารถกรองอะไรเล็กๆได้ ขนาดเชื้อไวรัสยังกรองได้ ว่าไปนั่น ทีนี้ก็เกิดขาดตลาด พ่อค้าที่หัวใสก็เอาหน้ากากอะไรก็ได้มา ทำตรายาง N95 ปั๊มจึ๊กๆไป ขายดิบขายดี หมอบางคนก็ออกมาแนะนำว่า เอาหน้ากากอนามัย แล้วเอากระดาษเช็ดตูดพับสองชั้น ก็จะกรองได้เท่า N95 แหมๆๆๆ นี่ถ้ามีขี้ติดด้วยนิดส์นึง จะกรองได้เยอะกว่านะหมอ




ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักสิ่งที่เราเรียกๆว่าหน้าก่ง หน้ากากกันซะก่อนดีมั๊ยครับ ที่เราเรียกๆว่าหน้ากากเนี่ย จริงๆแล้วมันไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ เพราะหน้ากากมันคือ Face Mask-- อย่างที่พวกหมอ พยาบาล ใส่ในห้องผ่าตัด แบบนั้นเขาเรียกว่า Surgical Mask ซึ่งออกแบบมาเพื่อ แต่น แตน แต๊น  กันน้ำลายหมอกระเด็นใส่คนใข้เวลาพวกเขาพูด คุย ไอ จาม เพื่อกันละอองของเหลวที่จะกระเซ็นออกมา ดังนั้น Surgical Mask จึงไม่สามารถกันอนุภาคเล็กๆอะไรที่จะสูดหายใจเข้าไป ส่วนเอากระดาษเช็ดตูดมาพับรองอีกสองชั้น ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะว่า สิ่งที่เราใส่เพื่อป้องกันระบบทางเดินหายใจของเรา เรียกว่า Respirator บังเอิ้นที่ภาษาไทยมันไม่รู้จะแปลว่าอะไร ก็เลยเรียกมันว่าหน้ากาก เหมือนๆกับเวลาใครได้เป็นนายก ต่อให้ห่วยแตกแค่ไหน ออกทีวีทีเหมือนหมาบูลด็อก ออกมาเห่าโฮ่งๆๆ ก็ยังต้องเรียกพวกมันว่า พณ.ท่าน ผมไม่รู้ว่าแปลเป็นภาษาหยาบๆว่าอะไร ถ้าแปลได้จะแปลให้ฟังเลย เอาเป็นว่า Respirator ถูกออกแบบมาและใช้กันมานานมากแล้ว จำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
  1. Air Purified Respirator --ชนิดกรองอากาศ

  2. Air Supplied Respirator --ชนิดที่ได้อากาศจากถัง หรือท่อจ่ายอากาศ ที่เราเห็นในหนังเวลานักดับเพลิง ใส่เข้าไป

หน้ากาก N95 ที่เราเรียกๆกัน มันก็คือ Air Purified Respirator ชนิดหนึ่งนั่นเอง ต้าดา  หน้ากากแบบกรองอากาศเนี่ย แยกย่อยออกไปได้หลายแบบ อย่างที่เห็น คือแบบใช้แล้วทิ้ง กับอีกแบบที่มีโครงเป็นยาง ครอบจมูก มีตลับใส้กรอง ถอดเปลี่ยนได้ บางรุ่นก็ครอบทั้งใบหน้า มีตลับยาวๆ เหมือนในหนังสตาร์วอร์




บางรุ่นก็มีปั๊ม ดูดเอาอากาศ ผ่านใส้กรอง แล้วจ่ายอากาศเข้าไปให้เราหายใจ แต่ละรุ่นก็จะมีขีดความสามารถในการปกป้องเราไม่เท่ากัน หรือที่เรียกว่า Assigned Protective Factor เริ่มเยอะแระ พวกเรียนน้อยจะเริ่มตากลับ เริ่มหลับ เอาเป็นว่า หน้ากากแบบ N95 เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง และมีค่า Assign Protective Factor แค่ 10เอ็กซ์ (ไว้จะมาเล่าต่อ)

ตัวอักษร N 95 มันคืออะไรอ่ะ

ก่อนอื่น ต้องบอกว่า หน่วยงานที่เขาจัดระดับประสิทธิภาพการกรองของ Respirator เนี่ย เขาคือองค์กรที่เรียกว่า NIOSH- National Institute for Occupational Safety and Health สถาบันอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) เป็นหน่วยงานวิชาการ ไม่ได้ออกกฎหมาย ไม่เหมือนบ้านเรา ไม่มีหลักวิชาการ ออกแต่กฎหมาย
NIOSH เขามีหน่วยงานที่ทำการทดสอบ Respirator และให้การรับรอง ในอเมริกา หน้ากากที่จะเอาไปให้ลูกจ้างใช้ มักจะต้องดูว่าผ่านการรับรองมาตรฐานมาก่อนรึเปล่า ถ้าเป็นบ้านเรา ข้างกล่องมีแต่ภาษา กว่างตุ้ง ภาษาแต้จือ ผมก็ไม่แน่ในว่าใช่รึเปล่า
นี่กำลังพูดถึงแบบใช้แล้วทิ้งนะครับ ส่วนที่เอามาทำหน้ากาก มักจะทำมาจากเส้นใยเซรามิค เส้นใยมิเนอร์รัลไฟเบอร์ ใครนึกไม่ออกก็นึกถึงฝอยขัดหม้อ ยี่ห้อสกอตไบร้ท์ละกัน แม่ผมพูดภาษาอังกฤษได้หลายคำก็ไอ้พวกนี่แหละ ไปซื้อแฟ๊บ ไปซื้อสกอตไบ้ท (แกออกเสียงแบบนี้) เอาละ นึกดูนะว่า ฝอยขัดหม้อ อัดกันจนบางเฉียบ เป็นหน้ากากที่พวกเราใส่ คิดดูละกันว่ามันจะสามารถกรองอนุภาคได้มากมายขนาดไหน


เวลาที่อนุภาคที่ลอยอยู่ในอากาศ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เล็ก ใหญ่แค่ไหน ไม่รู้แหละ ผ่านเข้าไป อนุภาคพวกนี้ก็จะถูกกรองโดยวิธีการเหล่านี้คือ เอาวิชาการหน่อยนะ จะได้หายงง จะได้เลิกเถียงกันว่า อึ้ย อันนี้ไม่ใช่ เอ็นเก้าสิบห้านะมึง ใส่ไม่ได้นะ
  • Impaction --อนุภาคใหญ่ๆมักจะชนปั่กเข้ากันเส้นใย แล้วติดอยู่
  • Interception --อนุภาคเล็กลงมาหน่อยรอดรูไปได้บ้าง ก็ผ่านไม่ได้ ติดอยู่ข้างใน บางคนบอก ไหน ไม่เห็นมีเลย เดี๋ยวปั๊ด ก็มันเล็กจนมองไม่เห็นไง
  • Diffusion --ที่เล็กกกกกมากกกกก อย่าง PM 2.5  เชื้อไวรัส อนุภาคนาโน พวกนี้ จะผ่านเข้าไปตามการไหลของอากาศ แล้วโดนอัดเข้าไปติดอยู่ ไปไม่รอด
  • Electrostatic attraction-- หน้ากากบางรุ่น เส้นใยมีประจุไฟฟ้า ช่วยในการจับอนุภาคได้อีกต่างหาก







อย่างนี้ มันก็กรองอนุภาคได้พอๆกันละสิ

ทำหน้าเหมือบรรลุธรรม ใช่ครับ โดยหลักการแล้วเป็นเช่นนั้น อนุภาคก็คืออนุภาค ใหญ่เล็ก กูจับหมด ถึงตรงนี้หลายคนยังทำหน้าเป็นหมาสงสัย อ้าวแล้ว N95 มันไม่ใช่รุ่นที่กรองได้ดีที่สุด ละเอียดที่สุดหรอกรึ
โนครับ N แปลว่า NOT -เส้นใยที่ใช้ไม่สามารถจับอนุภาคที่มีน้ำมัน อย่างไอน้ำมัน น้ำมันเครื่อง ไอระเหยที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ไม่เชื่อลองใส่ไปยืนข้างๆผัดกระเพราะดูดิ
หน้าการแบบใช้แล้วทิ้งมีสามเกรด คือ N, R และ P




R= Resist  แปลว่า ใช้กับไอน้ำมันได้บ้าง ในงานที่ไม่โดนจังๆ อย่างงานพ่นสีนี่ไม่ได้เลย ต้องใช้รุ่นที่เป็นรหัส P= Proof
แต่ละแบบนั้นก็จะมีประสิทธิภาพในการกรอง ตั้งแต่ เอาละตั้งสติดีๆนะ
95%
99%
99.97%




ทีนี้ก็ลองแปลดูนะครับ หน้ากากรุ่น N95 แปลว่ามันกรองอนุภาคต่างๆได้ 95 เปอร์เซ็น ชัดยัง ฝุ่นใหญ่ฝุ่นเล็ก ไอ ละออง ไอระเหย ฟูม อะไรกูไม่รู้แหละ กูกรองได้ประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนหน้ากากสีเขียวที่เรียกว่า เซอร์จิคอลแมส ที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาบอกว่าต้องมี อย. นั้นมันไม่่ผ่านการรับรองจากผู่้ใดว่ามันกรองได้เท่าไหร่ เพราะเขาเอาไว้กัน Droplet น้ำลาย ส่วนกระดาษเช็ดตูดนั้น เอาไปขยายด้วยกล้องจุลทรรศน์ มันจะทำให้การกรองเป็นไปได้อย่างที่ผมเล่ามารึเปล่า อันนี้ต้องส่งไปให้ NIOSH ทดสอบครับ




มีหน้ากากหลายรุ่น ที่ไม่มี N95 Mark แต่เป็นของที่อ้างมาตรฐานยุโรป เช่น P1, P 2 P3 P4 ซึ่งถ้าจะเทียบๆก็คือ

P1 กรองได้ 80 %
P2 กรองได้ 95%
P3 กรองได้ 99%
P4 กรองได้ 99.97%




จุดใหญ่ใจความของการเลือกหน้ากาก ผู้เลือกจะต้องรุ้ว่า ใส่เพื่ออะไร
  1. ใส่เพื่อกันนายด่า --อันนี้ มึงไม่ต้องใส่ก็ได้ เปลือง ชิ้นนึงหลายบาท
  2. ใส่เพื่อกันอนุภาคที่มีอันตรายและมีระดับความเข้มข้นในอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆ มีแต่ไม่เกินมาตรฐาน ก็ต้องไปดูลักษณะงาน ระยะเวลาในการสัมผัส วิธีทำงาน และการยากง่ายในการจัดการ บางทีให้หน้ากากแบบมีตลับกรองที่มีค่า APF สูงๆ ก็จะได้ปลอดภัย แต่ใส่ลำบากอึดอัด เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใส่ ตายคือเก่า
  3. ผลการตรวจวัดสภาพแวดล้อม ปริมาณสารอันตรายในอากาศ ถ้าอยู่ในระดับ IDLH- Immediate Danger To Life and Health เป็นอันตรายคอขาดบาดตาย แบบนี้ N95 ก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้รุ่น Air Supplied Respirator เท่านั้น
เอาละครับ ใครที่ยังข้องใจว่ารุ่นนั้น รุ่นนี้ ใช้ได้ไหม ก็ถามมานะครับ อ่ะ N95 เจ๋งสุดเลยมั๊ย   NO!  it is NOT !






ติดคุกเพราะชำนาญการ

 พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 มีข้อกำหนดมากมายหลายมาตรา รับกันมาเป็นทอดๆ ไล่ไปตั้งแต่มาตรา 4 ที่เ...